ตะลุย 5 ร้านชวนผ่อนคลายที่ไลฟ์สไตล์แบบไหนก็ห้ามพลาด

ความสุขของแต่ละคนคืออะไรบ้าง? ร้านน่าช้อป

อาจเป็นการได้ตื่นเช้ามาจิบกาแฟหอมกรุ่นร้อนๆ อาจเป็นการได้อ่านหนังสือวันละเล่มสองเล่ม อาจเป็นการออกไปรับไอแดดแล้วสรรหาสารพัดของจุกจิกมาไว้ในครอบครอง หรืออาจเป็นการทำหลายๆ อย่างพร้อมกันไปเลยก็ย่อมได้

ในยามที่สถานการณ์สังคมทำให้เราทุกข์ใจ เราจึงอยากชวนทุกคนออกไปสรรรหาสารพันของเพิ่มความสุขให้มากกว่าเก่าผ่าน 5 ร้านน่าช้อป ที่ไม่ว่าคุณจะมีไลฟ์สไตล์ไหนก็ห้ามพลาด ตั้งแต่ร้าน selected shop เสื้อผ้า ต้นไม้ แผ่นเสียง ไปจนถึงเครื่องเขียน แต่ละร้านล้วนคัดสรรของที่มีเอกลักษณ์มาเสิร์ฟให้คนมีของจากหลายไลฟ์สไตล์ทั้งนั้น 

พร้อมแล้ว ก็อยากชวนไปลุยกันเลย ร้านน่าช้อป

mediums 
ร้านเครื่องเขียน 24 ชั่วโมงที่อยากให้ศิลปะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน

อาคารสีขาวตั้งเด่นเป็นสง่าตรงหน้าเราคือ mediums ร้านเครื่องเขียนปากซอยสุขุมวิท 42 ของ พีท–กษิดิศ ประสิทธิ์รัตนพร ชายหนุ่มวัย 16 ปีผู้ใช้แพสชั่นในงานศิลปะที่มีมาสร้างสรรค์พื้นที่ให้คนที่รัก (และอยากจะรัก) ศิลปะได้สนุกไปด้วยกัน ร้านน่าช้อป

“เราทำงานศิลปะตั้งแต่อายุ 11-12 ปี แต่เพิ่งมาเริ่มจริงจังและอยากเข้าเรียน Fine Art ช่วง 2-3 ปีมานี้เอง ปัญหาที่เจอคือคนรอบข้างตั้งคำถามกับสิ่งที่เราจะเรียนเพราะเขามองว่ามันทำเป็นอาชีพไม่ได้ มันเข้าถึงยาก และที่สำคัญคือเขามองว่าศิลปะเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นกับชีวิต

“ปัญหาที่ว่าจึงเป็นไอเดียตั้งต้นที่ทำให้เราอยากทำคอมมิวนิตี้ศิลปะเพื่อทำให้คนไทยเข้าใจว่าศิลปะไม่ได้เป็นสิ่งที่เข้าถึงยากขนาดนั้นและคนที่มีแพสชั่นด้านนี้ก็ประกอบอาชีพนี้ได้นะ เราตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปีนี้ เราอยากให้ mediums เป็นสื่อกลางที่ทำให้ศิลปะกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตคน อยากได้ยินคนพูดว่าเสาร์-อาทิตย์นี้ไปคอมมิวนิตี้งานศิลปะกันไหม และอยากได้ยินคนบอกว่าเวลาว่างชอบวาดรูปเหมือนที่บอกว่าชอบฟังเพลงหรือดูหนัง” 

พีทจึงออกแบบ mediums ให้เหมือนแคนวาสผืนใหญ่ที่ช่วยเติมเต็มแรงบันดาลใจด้านศิลปะให้คนไทยผ่านทีเด็ด 3 ข้อ

ข้อแรก–ในสถานการณ์ปกติ mediums ตั้งใจเปิดร้านอุปกรณ์งานศิลป์ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะเขาเข้าใจคนทำงานศิลป์ที่หัวแล่นและจำเป็นต้องปั่นงานส่งกลางดึก แต่อุปกรณ์ดันหมดจนต้องหยุดสร้างงานกะทันหัน

ข้อสอง–ความที่ประเทศไทยมองว่าศิลปะเป็นของฟุ่มเฟือย อุปกรณ์งานศิลป์ทั้งหลายจึงมีราคาสูงเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าถึงได้ เขาจึงตั้งใจขายอุปกรณ์ในร้านด้วยราคาที่ย่อมเยาและต่ำกว่าร้านอื่นๆ โดยที่ mediums ยังต้องอยู่ได้เช่นกัน

ต่อเนื่องจากข้อสองนั้นเอง เขายังพบว่าอุปกรณ์ศิลปะในไทยไม่หลากหลาย ไปร้านไหนก็เจอแต่แบรนด์เดิมๆ ที่ไม่ตอบโจทย์การสร้างสรรค์งานใหม่ๆ ทีเด็ดข้อที่สามของที่นี่จึงเป็นอุปกรณ์สำหรับงานศิลปะที่มีแบรนด์แปลกแตกต่างจากร้านอื่น เช่น กระดาษสีน้ำแบรนด์ BAOHONG ทำจากคอตตอนแท้ปราศจากสารเคมี และสีน้ำแบบแผ่นกระดาษแบรนด์ Viviva ที่เจอวิวสวยๆ ที่ไหนก็หยิบขึ้นมาละเลงได้ทันที 

นอกจากอุปกรณ์งานศิลปะที่ว่า พีทยังตั้งใจให้ภายในร้านมีนิทรรศการหมุนเวียนเพื่อสื่อสารว่าศิลปะนั้นเข้าถึงได้ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ที่แวะไปเวียนมาอยากหยิบจับดินสอปากกามาทำงานศิลปะเล็กๆ ของตัวเอง ที่สำคัญไม่ต้องห่วงว่าจะเลือกซื้ออุปกรณ์ผิดประเภทไปเพราะพนักงานขายทุกคนจะต้องผ่านการปรับพื้นฐานด้านศิลปะกว่า 2 เดือนเพื่อให้แนะนำสินค้าและวิธีทำงานศิลปะขั้นพื้นฐานแก่ทุกคนได้

หรือถ้าใครต้องการผู้แนะนำวิธีการสร้างงานศิลปะที่ลึกซึ้งกว่านั้น ที่นี่ก็มีโซน make[space] คอยจัดเวิร์กช็อปสนุกๆ ให้คนได้ร่วมทำงานศิลปะตามใจอยาก ทั้งมี Nmbr สตูดิโอสำหรับลูกค้าที่อยากใช้พื้นที่ถ่ายทำโฆษณา จัดงานประชุม อีเวนต์ขนาดย่อม และนิทรรศการส่วนตัวให้บริการ แถมมีคาเฟ่เล็กๆ ชื่อ ‘เวลา’ ที่มีกาแฟรสชาติน่าสนใจอย่าง Dawn (รุ่งสาง) และ Dusk (พลบค่ำ) พร้อมเสิร์ฟตลอด 24 ชั่วโมงด้วย

Unfound Projects
ร้านแฟชั่นสตรีทที่รวบรวมแบรนด์ที่คนไทยทำมาให้
คนไทย (และเทศ) ใช้

ใจกลางกรุงเทพฯ อย่างสยามมีร้านรวงเปิดมากมาย แต่ละร้านล้วนมีเรื่องเล่าเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ หนึ่งในนั้นคือ Unfound Projects ร้านแฟชั่นมัลติแบรนด์อายุกว่า 6 ปีของ เดฟ–เดวิด สตีเวนสัน ชายหนุ่มผู้หลงรักวัฒนธรรมสตรีทจนสร้างแบรนด์และร้านของตัวเองเพื่อรวบรวมเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายจากสารพัดแบรนด์ไทยที่ใส่ได้ทุกเพศทุกวัย

แรกเริ่มเดิมที UNFOUND Projects เป็นเพียงแบรนด์เสื้อผ้ายูนิเซ็กซ์สายสตรีทที่เดฟตั้งใจปั้นขึ้นมา แต่เมื่อเก็บฐานแฟนคลับและเก็บเงินจากการทำแบรนด์ได้ส่วนหนึ่ง เดฟจึงตัดสินใจเปิดหน้าร้านเล็กๆ ที่โรงหนังสกาล่ากระทั่งหมดสัญญาจึงขยับขยายพื้นที่มายัง LIDO Connect เมื่อไม่นานมานี้

“พื้นที่ตรงนี้ใหญ่กว่าที่สกาล่ามาก เราจึงปรับแนวทางใหม่ทั้งหมด จากเดิมที่เน้นขายสินค้าอย่างเดียว ตอนนี้เรามีดิสเพลย์หน้าร้าน มีบาร์กาแฟ มีลิสต์เพลงไว้ให้ลูกค้าฟัง และมีหนังสือเกี่ยวกับวัฒนธรรมสตรีทให้เขาได้ศึกษา แถมยังจัด live session ในร้านได้ด้วย เพราะเราไม่ได้แค่อยากขายของแต่อยากสื่อสารว่าสตรีทคัลเจอร์มันคือทุกอย่าง ทั้งวิถีชีวิต บทเพลง การแต่งกาย และศิลปะ”

แต่แม้จะเปลี่ยนสถานที่ คอนเซปต์ของร้านก็ยังคงเดิมคือเน้นความโลคอลเป็นหลัก เสื้อผ้าในร้านที่เขาคัดสรรจึงมีแบรนด์ต่างชาติเพียง 2-3 แบรนด์ ส่วนอีก 80 เปอร์เซ็นต์ของร้านเป็นแบรนด์คนไทยทั้งหมด เช่น Madworks และ Homeward Bound หรืออย่างเสื้อสีแดงสกรีนลายสุดเท่แบรนด์ BLAQ LYTE ที่เราหยิบจับมามิกซ์แอนด์แมตช์กับหมวกและถุงเท้าของ UNFOUND ด้วย

“เราได้ไอเดียนี้จากการไปญี่ปุ่นและเห็นว่าคนที่นั่นเขาสนับสนุนแบรนด์ของประเทศตัวเองจนแบรนด์ไปได้ไกล เราก็อยากให้แบรนด์คนไทยไปได้ไกลกว่านี้เหมือนกันนะ เพราะเราเห็นศักยภาพ และที่สำคัญเราอยากให้คนต่างชาติมาซื้อแบรนด์ไทยกลับไปบ้าง”

ร้านแผ่นเสียง
ร้านขายแผ่นเสียงชื่อตรงตัวที่อยากให้เสียงเพลงเป็น
ส่วนหนึ่งของทุกคน

หากเดินเข้าซอยประดิพัทธ์ 19 ซึ่งเป็นย่านชุมชนคนอาศัย คงไม่คิดว่าจะเจอร้านแผ่นเสียงในบ้านทรงคลาสสิกอันเป็นร้านของ นก–พงศกร ดิถีเพ็ง ผู้เติบโตมากับเสียงเพลงและเป็นผู้ที่คนในวงการเพลงแทบทุกคนต้องรู้จัก

“เกิดมาก็เห็นแผ่นเสียงแล้ว แม่ให้ฟังเพลงทุกวัน วัยรุ่นหน่อยก็ไปซื้อแผ่นเสียงกับแม่ที่ร้าน แม่เขาฟังสุนทราภรณ์ ส่วนเราก็ซื้อดิอิมพอสซิเบิล แถมที่บ้านทำร้านอาหารก็เปิดเพลงทุกวัน เรียกว่าซึมซับการฟังเพลงไปโดยไม่รู้ตัวกระทั่งอายุ 30 กว่าๆ ถึงได้ค้นพบตัวเองว่าอาชีพของเราคืออาชีพคนขายแผ่นเสียงนี่แหละ”

จุดเริ่มต้นที่ว่าคือการที่เขาได้ไปเป็นพนักงานขายแผ่นเสียงที่ร้าน Bangkok Hifi ที่ห้างฟอร์จูน ด้วยสนิทกับเจ้าของร้านเป็นทุนเดิม จากวันนั้นกระทั่งวันนี้ เขาวนเวียนเวียนวนในอุตสาหกรรมแผ่นเสียงกว่า 25 ปี ก่อนเพิ่งมีร้านเป็นของตัวเองเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาในนาม ‘ร้านแผ่นเสียง’ ที่ขายสินค้าตรงตามชื่อที่รุ่นพี่ที่เคารพตั้งให้

“แรกเริ่มเราถนัดเพลงแนวป๊อป-ร็อกยุค 70s-80s ตอนเปิดร้านของตัวเองจึงเน้นขายเพลงแนวนี้และเป็นแผ่นมือสองหายาก แต่พออยู่ในวงการนี้มาเรื่อยๆ ค่ายเพลงไทยเริ่มหันมาทำแผ่นเสียง เราก็ต้องขยายความรู้ไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เรามีทุกแนวเพลงทั้งแผ่นใหม่และแผ่นเก่า เราจึงต้องย้อนกลับไปฟังเพลงยุค 60s และต้องฟังเพลงไทยยุคใหม่ๆ ตลอดเวลา ต้องรู้ว่าแสตมป์ อภิวัชร์เป็นใคร เพลงของเขียนไข อภิรมย์เป็นยังไง (หัวเราะ)”

ภายในบ้านสีขาว 2 ชั้นหลังนี้มีแผ่นเสียงมากกว่า 10,000 แผ่น ทั้งแผ่นเสียงเก่าเก็บหายาก และแผ่นเสียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นของวง Gorillaz ซึ่งทำเพลงแนวฮิปฮอป-อัลเทอร์เนทีฟร็อก หรือจะเป็นแผ่นของวง Metallica ที่มีแนวเพลงแบบเฮวี่เมทัลก็ตาม

นอกจากนี้ที่นี่ยังมีเครื่องเสียงให้เลือกฟังโดยเฉพาะ และในสถานการณ์ปกติ สนามหญ้าที่รายล้อมบ้านยังกลายเป็นพื้นที่จัดคอนเสิร์ตขนาดย่อมของวงดนตรีใหญ่และเล็กเกือบทุกสัปดาห์

Yarnnakarn + Ago 
อาคาร 3 ชั้นย่านนางลิ้นจี่ที่คัดสรรของจุกจิก
และเซรามิกมาไว้ในที่เดียวกัน

ถ้าใครเป็นสายของจุกจิกและของแต่งบ้านต้องไม่พลาด Yarnnakarn + Ago อาคาร 3 ชั้นย่านถนนนางลิ้นจี่ ที่เกิดจากความร่วมมือของ AGO Designed Selected Shop ของอู๋–ภฤศธร​ สกุลไทย และพี–รวมพร​  ถาวรอธิวาสน์​ และร้านเซรามิกเลื่องชื่ออย่าง Yarnnakarn​ ของ กริน–กรินทร์​ พิศลยบุตร​ และนก–พชรพรรณ​ ตั้งมติธรรม​ ที่ตั้งใจเป็นศูนย์รวมสารพัดสินค้า ทั้งจากสองแบรนด์เองและจากเพื่อนบ้านรอบข้างเพื่อมอบประสบการณ์พิเศษภายในอาคารเดียว

หากเริ่มต้นเดินทางจากด้านล่าง เราจะพบสวนเล็กๆ ด้านหน้าอาคารที่เชื่อมต่อกับ Yarnnakarn ร้านเซรามิกที่มีอายุกว่า 10 ปี ที่นี่ กรินปั้นงานขึ้นด้วยมือตนเองก่อนจะทำพิมพ์และหล่อเป็นเซรามิกหลากสไตล์ ทั้งจานชามใบงาม ตุ๊กตาน่ารักอย่างนก กวาง และรูปมืออันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ กระทั่งเหยือกสีฟ้าใบสวย กระถางต้นไม้ลวดลายเก๋ และงานไม้อย่างเชิงเทียน นอกจากนั้นด้านหลังร้านยังมีโรงปั้นเซรามิกที่ในสถานการณ์ปกติจะเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ด้วยนะ 

เมื่อเดินจากชั้นล่างขึ้นไปยังชั้นสอง ที่นี่คือพื้นที่ที่ทั้ง Ago และ Yarnnakarn ใช้ร่วมกันเพื่อจัดเป็นนิทรรศการทดลองความสนใจของผู้ก่อตั้งทุกคน อย่างนิทรรศการเชิงทดลองนาม  ‘คอนเทนเนอร์’ ที่จัดขึ้นก่อนหน้านี้ Yarnnakarn ตั้งคำถามต่อคุณค่าของงานศิลปะและงานฝีมือผ่านงานปั้นรูปทรงต่างๆ และเร็วๆ นี้ Ago กำลังจะจัดนิทรรศการเกี่ยวกับแสงที่อู๋กำลังสนใจเพื่อนำผลลัพธ์ต่อยอดเป็นชิ้นงานอื่นๆ ต่อไป 

“เราออกแบบว่าคนที่เข้ามาจะนั่งกินกาแฟตรงไหนก็ได้ในตึก จะเอาแก้ว Yarnnakarn มาซื้อกาแฟที่ชั้น 3 ของ Ago ก็ได้ หรือเอาขนมจาก Ago ไปนั่งกินชั้น 1 ก็ได้ เราออกแบบให้มันเป็นพื้นที่ที่ให้เราได้ทดลองอะไรใหม่ๆ และชวนทุกคนมาทดลองด้วยกันในทุกๆ ชั้นของอาคาร เพราะเราอยากมอบประสบการณ์โดยรวมของ Yarnnalarn + Ago ให้คนที่เข้ามาที่นี่” อู๋เล่าแนวคิดตั้งต้นของพื้นที่ทั้งสามชั้นให้เราฟัง

เมื่อเดินขึ้นมายังชั้น 3 ด้านขวาของชั้นคือ selected shop ของ Ago ที่นกและอู๋คัดเลือกของจุกจิกที่พวกเขาสนใจมานำเสนอ ทั้งงานดีไซน์ของศิลปินไทย ของเก่าเก็บของพีและอู๋ รวมถึงหากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายจนเดินทางไปต่างประเทศได้ดังเดิม ทั้งคู่ก็ตั้งใจซื้อหาของวินเทจและของดีประจำพื้นที่นั้นๆ มานำเสนอ ทั้งหนังสือ แผ่นเสียง เสื้อผ้า และสารพัดของจุกจิก

“เวลาเดินทางแล้วเราเจอบางอย่างที่น่าประทับใจเราก็อยากเก็บกลับมาฝากทุกคน มาเล่าให้ฟังว่าเราเจออะไรบ้าง ที่นู่นมันเป็นยังไง เราอยากให้ร้านนี้เก็บบรรยากาศนั้นเอาไว้” พีแห่ง Ago เสริม

ส่วนคาเฟ่ขนาดย่อมในชั้นเดียวกัน ทั้งคู่ไม่เพียงเสิร์ฟขนมและเครื่องดื่มของร้าน แต่ยังรวมของอร่อยจากเพื่อนบ้านย่านนางลิ้นจี่มาเสิร์ฟด้วย นอกจากนั้นโซนดาดฟ้าของอาคาร Yarnnakarn + Ago ยังมีเวิร์กช็อปสนุกๆ หมุนเวียนให้ทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาได้ร่วมแจมด้วย เช่น หากพวกเขากำลังสนใจเรื่องการทดลองรสชาติอาหารก็อาจจัดเป็นกิจกรรมเชฟเทเบิลเล็กๆ ให้ได้ลองชิมกัน

พลูโต Houseplant Studio
ร้านขายต้นไม้ลับๆ ที่อยากให้คนได้พลูต้นโตไปช่วย
ผ่อนคลายจิตใจ

ในย่านสาทรที่คนพลุกพล่านและเต็มไปด้วยตึกออฟฟิศ ลึกเข้าไปในนราธิวาสซอย 4 มีร้านต้นไม้ลับๆ อย่างกับสวนลับใน Alice In Wonderland ตั้งอยู่บนชั้น 3 ของอาคารเก่าที่นำมารีโนเวต 

ที่นี่คือร้านต้นไม้ของคนงานยุ่ง 2 คน อย่าง วริศ ลิขิตอนุสรณ์ และกิม–นิรัช ตรัยรงคอุบล ที่อยากให้ พลูโต Houseplant Studio เป็นพื้นที่หลบหนีและคลายเครียดจากโลกความเป็นจริง จากครั้งแรกที่ทั้งคู่อยากได้ต้นไม้ที่ไม่ต้องดูแลมากกลายเป็นความบ้าต้นไม้โดยเฉพาะต้นไม้ตระกูลพลูและสารพัดต้นไม้ในบ้านจนไม่มีที่เก็บ สู่การคิดทำร้านต้นไม้ฉบับลับๆ ที่ต้องนัดวันล่วงหน้าเข้ามาและมีบริการระหว่างขายและหลังขายที่น่าประทับใจ

ภายในห้องใต้หลังคาแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ที่พบเห็นได้ง่ายๆ แต่สวยสะพรั่งแบบที่เราต้องถามแล้วถามอีกว่าเลี้ยงยังไงให้งามขนาดนี้ อย่างพลูงาช้างที่เป็นพุ่มสวย ลิ้นมังกรด่างที่ด่างได้ใจ กระทั่งต้นพลูหัวใจแนบหรือ Scindapsus Exotica ที่จริงๆ แล้วไม่ใช่ต้นไม้ตระกูลพลูแต่คนไทยมักเรียกว่าพลูเพราะใบที่คล้ายกัน

“เวลาคนซื้อต้นไม้เขามักจะซื้อต้นไม้ราคาแพง หายาก แต่ซื้อไปแล้วมันอาจจะไม่ได้เลี้ยงง่ายขนาดนั้น เรากลับพบว่าต้นไม้ตระกูลพลูที่คนมองว่าเป็นต้นไม้ธรรมดาก็มีความน่าสนใจ มีความสวยแบบของมัน เราจึงอยากให้ที่นี่เป็นที่ที่ทำให้คนหันมาเลี้ยงพลูกันบ้าง” กิมเล่าถึงความตั้งใจแรกเริ่ม

“ร้านจึงขึ้นต้นว่า ‘พลู’ มีคำว่า ‘โต’ มาต่อท้ายเพื่อสื่อความถึงการเจริญเติบโตงอกงาม ขณะเดียวกันคำว่า ‘พลูโต’ ก็เหมือนกับดาวพลูโตที่อยู่ดีๆ คนก็ทิ้งให้มันออกจากการเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจนดูเหมือนเป็นดาวที่มีอยู่แต่ก็เหมือนไม่มีอยู่ด้วย ซึ่งตรงกับที่อยู่ของร้านที่ค่อนข้างลับ เหมือนเป็นสถานที่ที่ทำให้เราได้หนีออกมาจากโลกการงานที่เครียดๆ”

ความหมายซ้อนสองชั้นในชื่อยังถูกเติมเต็มด้วยคำว่า Houseplant Studio เพื่อสื่อสารว่าต้นไม้จากที่นี่ไม่ได้ถูกซื้อมาและขายไป แต่ถูกบำรุงและทดสอบมาอย่างดีว่าควรปลูกในที่แบบไหน ได้รับแสงมากน้อยยังไง เรียกว่าถ้าเลี้ยงในห้องใต้หลังคาของทั้งสองได้รอด ก็ต้องอยู่กับลูกค้าผู้รักต้นไม้ได้รอดเช่นกัน

ความน่ารักและสร้างสรรค์อีกอย่างคือต้นไม้ทุกต้นจะมีแท็กประจำตัวระบุปริมาณน้ำและแสงที่ต้องการ แถมยังมีความท้าทายในการเลี้ยงตั้งแต่ 0-10 ให้พิจารณาก่อนซื้อด้วย เช่น “0/10 เลี้ยงไปเถอะไม่ตาย” หรือ “2/10 เลี้ยงง่ายมากๆ แต่แนะนำว่าไม่ต้องให้น้ำเยอะ” 

“เราคงเศร้าถ้ารู้ว่าต้นไม้ที่เขารับจากเราไปมันไม่รอดก็เลยอยากแนะนำเขาให้ได้มากที่สุด”

New Honda Lead 125
มอเตอร์ไซค์สำหรับคนมีของ

หลังเดินทางครบ 5 ร้านที่ทำให้เราได้สารพัดของเพิ่มความสุขหลายชิ้นจนกลายเป็นคนมีของมากขึ้นไปอีก เชื่อว่าการมีตัวช่วยอย่างมอเตอร์ไซค์คู่ใจอย่าง New Honda Lead 125 ใหม่ คงทำให้เหล่าคนมีของสนุกกับการสรรหาสารพันของเพิ่มความสุขได้ไม่น้อย

เพราะ New Honda Lead 125 ใหม่ มี U-BOX ใต้เบาะที่จุสัมภาระได้มากถึง 37 ลิตร จะใส่หมวกกันน็อก 2 ใบก็ไหว หรือใส่แจกัน เชิงเทียน กระดาษสีน้ำ จานใบงาม แผ่นเสียงหรือเสื้อผ้าที่เลือกสรรมาจากทั้ง 5 ร้านก็เหมาะเจาะสุดๆ ส่วนถังน้ำมันความจุ 6 ลิตรก็ย้ายมาไว้ด้านหน้าเพื่อให้คนมีของทุกคนเติมน้ำมันได้ง่ายและสะดวกกว่าเดิม 

แต่ถ้าของที่เลือกซื้อมานั้นมีมากเกินกว่าจะเก็บใต้เบาะก็ไม่ต้องห่วง เพราะมอเตอร์ไซค์คันนี้ออกแบบให้แร็กด้านหลังมีขนาดใหญ่กว่าเดิมเผื่อติด Top Box จุของจุกจิกหรือบิ๊กเบิ้มอย่างต้นไม้ก็ไหว

ส่วนพื้นที่ด้านหน้าก็ไม่ทิ้งให้เสียเปล่าเพราะมีที่แขวนที่พับเก็บก็ได้หรือจะกางไว้แขวนของเพิ่มเติมก็ดี แถมยังมี AC Socket ชาร์จมือถือระหว่างเดินทางและใส่ขวดน้ำขนาด 500 มล.ไว้แก้กระหายอีกด้วย

ภายในเก็บของได้มากแต่ภายนอกออกแบบให้คลาสสิกและมินิมอล หน้าจอแสดงผลครบทุกฟังก์ชั่นแถมไฟหน้าเป็นแบบ LED ส่วนเครื่องยนต์นั้นเป็นเครื่องยนต์ eSP 125 ซีซี ที่ประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 50 กม./ลิตร จะบิดไปสอบ ไปหาเพื่อน ไปออกเดต หรือไปซื้อของต่อก็ทันใจ 

เรียกว่าจะมีไลฟ์สไตล์แบบไหน ต้องแบกของอะไรก็เหมาะจริงๆ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

วริทธิ์ โพธิ์มา

รักหมูกรอบ และข้าวมันไก่