ตามไปกิน ‘Siangpure Table’ มื้ออาหารเคล้าความทรงจำของผู้ก่อตั้งยาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว

Highlights

  • Siangpure Table คือมื้ออาหารจากความทรงจำของผู้สร้างยาหม่องน้ำตราเซียงเพียวอิ๊ว ที่เชฟประจำร้าน Mint Cafe 2 นำมาถ่ายทอดในรูปแบบของ chef's table
  • เมนูพิเศษ 7 คอร์ส มีทั้งถุงเงินถุงทอง เมี่ยงสามปลา พาสต้ากุ้งแม่น้ำย่าง ปลากะพงย่างพริกเชื่อม สะเต๊ะหมูกรุ่นกาแฟ สเต๊กอกเป็ดซอสน้ำผึ้ง และกล้วยหอมเชื่อมกับไอศครีมกะทิ
  • มาร่วมโต๊ะ กินอาหารแล้วฟังเรื่องราวต่างๆ ไปพร้อมกัน

เพื่อไม่ให้มีใครตกใจเหมือนเราก่อนหน้านี้ เราเลยขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเซียงเพียวอิ๊วไม่ได้มีแค่ยาหม่องน้ำหรือยาดม แต่เขายังมีอีกหนึ่งธุรกิจที่ต่อยอดออกมาเป็นร้านอาหารไทยฟิวชั่นที่ชื่อว่า Mint Cafe ที่ตอนนี้มีถึง 2 สาขา คือ Mint Cafe by Peppermintfield แถวซอยโยธินพัฒนา 3 และ Mint Cafe Express (Mint Cafe 2) แถวซอยลาดพร้าว 80

‘สำรับแห่งความทรงจำ’ หรือ Siangpure Table คือมื้ออาหารที่ร้านคิดขึ้นมาใหม่ในช่วงนี้ เพื่อให้คนได้จับจองที่นั่งมาใช้เวลาร่วมกันที่ Mint Cafe Express 

ร้อยเรียงเอาเรื่องเล่าอิงประวัติศาสตร์จากความทรงจำของบุญเจือ เอี่ยมพิกุล หรือผู้อยู่เบื้องหลังการเกิดขึ้นของยาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว มาถ่ายทอดเป็นอาหารแบบเชฟเทเบิล ที่คิดขึ้นหลังได้อ่านหนังสือ บุรุษเบื้องหลังตำนานเซียงเพียว 

7 คอร์สที่ว่าจะมีอะไรบ้าง เดินเข้าไปนั่งรอใน Siangpure Table คลี่ผ้ากันเปื้อนวางบนตัก แล้วรออาหารเข้ามาเสิร์ฟไปพร้อมๆ กัน

ย้อนไปคว้า ‘โอกาสทอง’ ผ่าน Siangpure Table เมนูแรก

ย้อนไปช่วงทศวรรษ 1930 ตอนนั้นมณฑลซานโถว ประเทศจีนเกิดภัยธรรมชาติขึ้นอย่างหนัก ทำให้ข้าวยากหมากแพง กันดาร ไร้อาหารการกิน ชาวจีนจึงต้องอพยพย้ายถิ่นไปตั้งรกรากที่อื่นเพื่อหลีกหนีความหิวโหย 

เมนูแรกอย่างถุงเงินถุงทอง จึงเป็นเมนูที่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนั้น ตีความมาจากการอพยพหนีภัยพิบัติมาแสวงโชคในไทยของยงเชียงและตั้งเช็งจู (พ่อและแม่ของบุญเจือ) ด้วยความหวังว่าจะมีโอกาสสร้างเงินสร้างทอง เริ่มต้นชีวิตในดินแดนใหม่

ตามคำแนะนำคือให้เริ่มด้วยถุงทองที่เป็นหมูสับ ล็อบสเตอร์และสามเกลอห่อหุ้มด้วยแป้งปอเปี๊ยะกรอบๆ ที่เข้ากันได้ดีกับน้ำจิ้มบ๊วยก่อน แล้วค่อยเพิ่มความเข้มข้นให้รสชาติด้วยถุงเงินที่เป็นเนื้อเป็ดบดห่อด้วยตับห่านกับสามเกลอ จิ้มกับน้ำจิ้มมะขาม ที่สำคัญคืออย่าลืมปิดท้ายด้วยไวน์ Chateau d’Esclans Whispering Angel Rose 2018 นะ

ป่าช้าล่าถอย

จัดการออร์เดิร์ฟไปเรียบร้อย จานที่สองก็มาเสิร์ฟ เมนูฟิวชั่นจานนี้นำเอาเรื่องราวสมัยเด็กๆ ของบุญเจือมาตีความต่อ เพราะด้วยความที่เกิดในครอบครัวคนจีนเขาจึงต้องช่วยครอบครัวทำงานแต่เด็ก ในสมัยนั้นเขาและพี่ชายจึงต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ เดินผ่านป่าช้าวัดดอนแสนวังเวง ไปซื้อปลาทูที่ตรอกจันทน์ทุกๆ วันเพื่อเอาไปขายที่ตลาดวัดแขก วิ่งหนีบ่อยเข้า ก็เริ่มมาคิดได้ว่าจริงๆ วิธีที่จะเอาชนะความกลัวได้ดีที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับความกลัว สุดท้ายความกลัวเหล่านั้นก็หมดไป กลายเป็นนิสัยติดตัวที่ใช้มาจนโต คือกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต

จานหลักใน Siangpure Table

กิมมิกหลักของจานนี้จึงมีการนำเอาปลาทูมาเพิ่มรส เพิ่มความพิเศษ กลายเป็นเมนูเมี่ยงสามปลา ที่มีปลาแซลม่อนย่างแบบสุกกำลังพอดิบพอดี ปลาทูน่าซากุท็อปด้วยไข่ปลาคาเวียร์ และปลาทูจากแม่กลอง ให้กินคู่กับเส้นหมี่และใบชะพลูแบบเรียงกันตามลำดับ 

แนะนำว่าให้เริ่มจากคลุกเส้นหมี่กับน้ำจิ้มให้มีรส โปะหอมแดงและกระเทียมเจียว และตักมะพร้าวคั่วเข้าไปหน่อย จากนั้นก็เตรียมรับความหอมของกลิ่นใบชะพลูได้เลย จิบไวน์ขาว Oxford Landing Sauvignon Blanc White 2018 ตามไปด้วย แค่นี้ก็ถือเป็นเมนูที่น้ำย่อยในกระเพาะเรารู้สึกปรีดามากๆ 

กุ้งอดทน

เริ่มโตเข้าหน่อย บุญเจือได้เข้าทำงานที่ร้านขนมแถวท่าเตียน สมัยนั้นบ้านเมืองเรายังอุดมสมบูรณ์ ในแม่น้ำมีกุ้งตัวใหญ่ให้จับกินได้ตลอด เถ้าแก่จึงทำข้าวต้มกุ้งเลี้ยงลูกน้องแทบจะทุกมื้อ จนเล่นเอาบุญเจือเบื่อ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้เรียนรู้ว่าคนเราต้องมีความอดทน ทุ่มเท ถ้าต้องการฝึกฝนเรียนรู้งาน ต่อให้ต้องกินกุ้งอยู่บ่อยๆ ก็ต้องอดทน เพื่อจะได้มีงานทำ แลกกับความรู้ทางวิชาชีพ

นั่นเองจึงเป็นที่มาของจานที่สามอย่างพาสต้ากุ้งแม่น้ำย่างเตาถ่าน ที่นอกจากความนุ่มแน่นของกุ้งและไข่ปลาแซลมอนแล้ว จุดอร่อยของจานนี้ยังอยู่ที่การเอามันในหัวกุ้งมาคลุกเคล้ากับเส้นสปาเกตตี และราดด้วยน้ำจิ้มวาซาบิ  

ใบเมนูใน Siangpure Table

รักแรก แรกรัก

เมนูต่อไปคือปลากะพงย่างพริกเชื่อม จุดเด่นของจานนี้แทบไม่ต้องบอกก็รู้กันได้เลยจากกลิ่นพริกที่หอมโชยมาแต่ไกล ซึ่งเกิดจากการนำเอาพริกมาลอกเม็ดออกแล้วต้มถึงสี่ครั้งก่อนจะนำไปเชื่อมน้ำตาลเพื่อลดความเผ็ดลง แล้วเพิ่มรสให้กลมขึ้นด้วยเครื่องเคียงอย่างราทาทุย 

ส่วนเหตุผลที่เมนูนี้ต้องใช้วัตถุดิบหลักอย่างพริกก็เพราะว่าพริกคือจุดเริ่มต้นความรักของบุญเจือและสุชาดา น้องสาวของเจ๊ร้านขายพริกที่เขาไปซื้ออยู่เป็นประจำ แถมพริกก็เหมือนกับรักที่มีทั้งความเผ็ดและความหวานนั่นเอง

ไอศครีมใน Siangpure Table

จบอาหารทะเลที่เข้ากันได้ดีกับไวน์ขาว ก่อนจะเปลี่ยนไปจิบไวน์แดง Bodegas Salentein Barrel Selection Malbec DC 2016 เชฟเลยจัดของล้างปากมาให้เป็นเกร็ดน้ำแข็งเลมอนมินต์ กินแล้วเย็นชื่นใจลงไปถึงในคอ พร้อมรับจานต่อไปแทบจะทันที 

กาแฟ 9 ชีวิต

จานต่อไปที่ว่าคือหมูสะเต๊ะไม้ใหญ่เนื้อนุ่ม ที่นำกาแฟเข้ามาเป็นส่วนผสม สำหรับเราแล้วถ้ากินเปล่าจะรู้สึกหวานจัดไปนิดหน่อย แต่ถ้ากินคู่กันกับอาจาดหัวหอมที่มีรสชาติเปรี้ยวก็เรียกได้ว่ากำลังเหมาะ แก้เลี่ยนได้ดี

ส่วนสาเหตุที่เชฟเพิ่มกาแฟเข้ามาเป็นกิมมิกหลักของจาน นั่นก็เพราะหลังพ่อและแม่ของบุญเจือเข้ามาทำสวน ตั้งครอบครัวในไทย ครอบครัวก็เริ่มขยายใหญ่มากขึ้นทุกวัน ด้วยความที่ตั้งเช็งจูชงกาแฟอร่อย พวกเขาจึงตัดสินใจเปิดร้านกาแฟขึ้นในตรอกพิกุล เพื่อจะได้มีรายได้เข้ามาเลี้ยงดูครอบครัวมากขึ้น

เป็ดรวยมิตร

มาถึงอาหารคาวจานสุดท้ายอย่างสเต๊กอกเป็ดซอสลูกเกดน้ำผึ้งผสมว็อดก้า ที่มาพร้อมเรื่องเล่าตอนบุญเจือคอยทำงานเก็บลูกเทนนิสให้ทหารอเมริกันที่เข้ามาในไทยตอนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เพื่อแลกกับทิปแล้วนำเงินไปซื้อเป็ดย่างมากินกับเพื่อนๆ

อาหารใน Siangpure Table

ความพิเศษของจานนี้อยู่ที่กระบวนการทำที่ต้องนำอกเป็ดไปซูวีที่ 78 องศา เป็นเวลา 3 ชั่วโมง ก่อนจะนำมาเสิร์ฟเคียงคู่กับผักสด และเพราะเป็นอาหารคาวจานสุดท้าย เชฟเลยขอจัดหนักจัดเต็มแอบผสมผสานเอาสมุนไพรที่ใส่ในยาหม่องน้ำอย่างอบเชยและกานพลูมาเป็นสมุนไพรหลักของจานด้วย (ขอเตือนว่าให้มองดีๆ ก่อนกิน ไม่งั้นจากลูกเกดรสหวานอาจจะกลายเป็นสมุนไพรเต็มคำได้) 

บานาน่าบอย

ปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วยของหวานอย่างกล้วยหอมเชื่อมกับไอศครีมกะทิ ที่ด้านบนของกล้วยหอมเชื่อมคือเกล็ดน้ำตาลที่นำมาเบิร์นไฟจนกลายเป็นคาราเมล ส่วนรอบๆ ก็โรยขนมตุ๊บตั๊บให้กินคู่กันกับไอศครีมกะทิเพื่อเพิ่มความหวาน นอกจากนี้ยังมีมะม่วงสุกและสตรอว์เบอร์รีแช่น้ำเชื่อมรสมินต์ด้วย

จานนี้มีที่มาว่าเมื่อครั้งสมัยแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งฐานทัพในไทยถูกกักตัวไว้ไม่สามารถไปไหนได้อย่างอิสระ พวกเขาจึงเรียกใช้บุญเจือว่า ‘บอย บอย (boyboy) กลมๆ แบนๆ บานาน่า บานาน่า” นั่นคือขนมตุ๊บตั๊บและกล้วยหอมนั่นเอง

ใครอยากกินอาหารจากความทรงจำแบบนี้บ้าง จองโต๊ะได้ที่ 065 096 4650 นะ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย