“ฉันก็ฝันถึงเธอเหมือนกัน” Moonlit Winter หนังที่ว่าด้วยจดหมาย หิมะ พระจันทร์ และเพศหลากหลาย

Highlights

  • Moonlit Winter คือภาพยนตร์ LGBTQ+ แนว coming of age ของเกาหลีใต้ที่นำเสนอความรักของหญิงรักหญิงในสมัยก่อนท่ามกลางสังคมชายเป็นใหญ่และไม่ยอมรับเพศหลากหลาย โดยเล่าผ่านตัวละครแม่ผู้เป็นชาวเกาหลี และรักแรกของเธอที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น
  • นอกจากความสัมพันธ์แบบคนรักแล้ว ในเรื่องยังนำเสนอความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ยอมรับในตัวตน และพยายามช่วยเหลือให้ตัวละครทั้งสองได้พบกัน แม้วิชวลหลักในเรื่องจะขาวโพลนไปด้วยหิมะจนดูหนาวเหน็บ แต่ความอบอุ่นของสายใยความรักในเรื่องอาจทำให้คุณยิ้มกว้างพลางปาดน้ำตาไปด้วยได้ง่ายๆ

Moonlit Winter ถึงคุณ

สบายดีไหม? ฉันอยากถามคุณมานานแล้ว คุณอาจลืมฉันไปแล้วก็ได้ อยู่ดีๆ ฉันก็อยากส่งข่าวคราวให้คุณได้รับรู้ อาจเป็นเพราะเมื่อคืนฉันฝันถึงคุณก็ได้นะ เวลาที่ฝันถึงคุณ ฉันมักเขียนจดหมายถึงคุณเสมอเลย

ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกหนักหนาสาหัส โดยเฉพาะเรื่องการเมืองที่ทำให้ฉันโกรธ เศร้า และหดหู่แทบทุกวัน นอกจากอ่านหนังสือ ฉันพยายามพาตัวเองหลีกหนีโลกแห่งความจริงด้วยการดูหนังดีๆ สักเรื่อง ล่าสุดฉันเพิ่งดู Moonlit Winter หนัง LGBTQ+ ของเกาหลีที่เข้าโรงตั้งแต่ปี 2019 และเข้าฉายทาง Viu เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา คุณเคยได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้บ้างไหม

ความพิเศษของหนังเรื่องนี้คือได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทั้งหมด 7 รางวัลใน Blue Dragon Film Awards ครั้งที่ 41 งานประกาศรางวัลแวดวงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี ถ้าให้เทียบก็คงคล้ายๆ รางวัลออสการ์ของอเมริกา อีกทั้งนักแสดงและหนังเองยังได้รางวัลส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศจากกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวของเกาหลีด้วย

อีกอย่าง คิมฮีแอ นักแสดงนำเรื่องนี้ยังเป็นดาราหญิงยอดฝีมือที่รับบทมาหลากหลาย เรื่องหนึ่งที่เธอแสดงได้ประทับใจฉันมากๆ คือซีรีส์ตีแผ่ชีวิตคู่ A World of Married Couple ที่เธอรับบทเป็นคุณหมอผู้ทุกข์ระทมจากสามีและลูกชาย ครั้งนี้เธอรับบทเป็น ‘ยุนฮี’ ผู้หญิงที่หย่าร้างกับสามี มักเก็บความรู้สึกไว้ข้างใน พูดน้อย ไม่ยิ้ม ทำงานหนัก และใช้ชีวิตเพื่อลูกเท่านั้น โดยหนังยังได้ คิมโซฮเย อดีตไอดอลวง I.O.I ที่มารับบท ‘แซบม’ ลูกสาวของยุนฮี นับเป็นการแสดงหนังยาวเรื่องแรกของเธอ

ตายล่ะ! ฉันพร่ำบ่นอะไรตั้งยืดยาว แค่อยากชวนคุณดูหนังเรื่องนี้ด้วยกันก็เท่านั้นเอง

Moonlit Winter คือผลงานเขียนบทและกำกับของอิม แดฮยอง ผู้เคยทำหนังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกชายมาก่อน โดยเรื่องนี้นับเป็นผลงานลำดับที่ 2 ของเขาที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องเล่าในวัยเด็กของแม่ เขาจึงเลือกทำหนังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของแม่กับลูกสาวบ้าง ที่น่าสนใจคือแม้จะเป็นหนังที่เล่าเรื่องผู้หญิงกับความรักของเพศหลากหลายเป็นหลัก แต่อิม แดฮยองกลับถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดี ไม่มีกลิ่นของ male gaze แบบที่หนังแนวนี้ของฮอลลีวูดหลายเรื่องเป็น (ฉันเปล่าโจมตีเรื่องไหนเป็นพิเศษนะ) เขาเล่าว่าได้ไถ่ถามความเห็นจากผู้หญิงรอบตัวมากมาย และต้องแก้ไขบทหลายตลบกว่าจะออกมาให้ทุกคนได้ชมกัน

เห็นหิมะขาวโพลนดูเย็นเยียบขนาดนี้ แต่ที่จริงแล้ว Moonlit Winter เป็นหนังที่อบอุ่นหัวใจเหมือนดื่มกาแฟในยามเช้าหน้าหนาวเชียวล่ะ ตัวละครหลักๆ ของเรื่องมีสองตัวคือยุนฮีกับแซบม แม่-ลูกที่อาศัยอยู่ในเมืองหนึ่งของเกาหลี ในฤดูหนาวอยู่ๆ ยุนฮีก็ได้รับจดหมายของหญิงสาวผู้เป็นรักแรกจากเมืองโอตารุ ประเทศญี่ปุ่น โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าลูกสาวแอบอ่านไปแล้วเรียบร้อย และได้วางแผนชวนแม่ไปเที่ยวที่นั่นด้วยเหตุผลที่อยากให้แม่เดินทางไปหาความสุขที่ปิดกั้นตัวเองไว้

การเดินทางข้ามจากเกาหลีไปยังญี่ปุ่นทำให้หนังน่าสนใจมากขึ้นด้วยโลเคชั่นอันสวยงาม บทพูดที่มีทั้งภาษาเกาหลี ญี่ปุ่น และอังกฤษนิดหน่อย รวมทั้งสภาพสังคมที่แตกต่างกัน เนื่องจากโอตารุเป็นเมืองที่หิมะตกหนักในฤดูหนาว ทำให้ภาพออกมาสวยงามราวกับภาพวาด เรียกว่าแคปจอฉากไหนก็นำมาตั้งเป็นวอลเปเปอร์ได้สบายๆ ถ้าคุณได้ดูรับรองว่าต้องอยากเก็บกระเป๋าไปเที่ยวที่เมืองนี้แน่ๆ (แม้ตอนนี้จะยังทำไม่ได้ก็เถอะ)

นอกจากการนำเสนอประเด็น LGBTQ+ ที่ไม่ค่อยได้เห็นในแวดวงสื่อบันเทิงเกาหลีแล้ว ฉันยังชอบการก้าวพ้นช่วงสำคัญของชีวิต (coming of age) ของตัวละครยุนฮีที่มีลูกสาวเป็นคนช่วยซัพพอร์ต (ฉันมักพ่ายแพ้ให้กับสายสัมพันธ์แม่-ลูกแบบนี้) เท่านั้นยังไม่พอ ฝั่งของจุนผู้เป็นรักแรกของยุนฮีที่อยู่ญี่ปุ่นก็มีคุณป้าของเธอคอยปลอบประโลมอยู่เสมอ เอาเป็นว่าถ้าไม่มีสองคนนี้ ยุนฮีกับจุนคงได้แต่คิดถึงกันเงียบๆ แล้วปล่อยให้หิมะละลายผ่านพ้นไปปีแล้วปีเล่า

พอได้เห็นเหล่าผู้หญิงที่ซัพพอร์ตกันแบบนี้แล้วทำให้นึกถึงนิยายแปลญี่ปุ่นเล่มโปรดของฉันอย่าง คาเฟ่ลูส เมนูที่รักจากการเดินทาง ของสำนักพิมพ์ Sunday Afternoon ตัวละครหญิงในเรื่องต่างพูดคุยปรึกษาและช่วยเหลือกันด้วยความเห็นอกเห็นใจ อีกทั้งมู้ดแอนด์โทนก็ค่อนไปทางสบายๆ เนิบๆ คล้ายกับได้จิบเครื่องดื่มอร่อยๆ ในวันหยุด ถ้าคุณพอมีเวลา จะลองไปหามาอ่านบ้างก็ได้นะ รับรองว่าต้องชอบแน่ๆ

กลับมาที่หนังกันต่อดีกว่า ขอโทษทีที่พาคุณเถลไถลไปไกล หวังว่าคงไม่ถือสากัน

จากจดหมายของจุนฉบับนั้น เรื่องค่อยๆ พาเราไปพบกับรักแรกของผู้หญิงทั้งสองคน ที่แม้เวลาจะผ่านไป 20 ปีแล้วพวกเธอก็ยังคงจดจำความรู้สึกนั้นได้อย่างแจ่มชัด เพียงแต่ต้องกลบฝังความสัมพันธ์และความทรงจำนั้นไว้ไม่ให้สังคมรู้ นั่นทำให้ตัวละครยุนฮีที่แต่งงานไปแล้วต้องเลิกรากับสามีและปฏิเสธที่จะเล่าเรื่องราวความหลังให้ใครฟัง สีหน้าของเธอดูเศร้าและครุ่นคิดถึงใครบางคนตลอดเวลา ไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังสีหน้านั้นมีตัวตนที่บอกใครไม่ได้ของเธอซ่อนอยู่

Moonlit Winter

ส่วนจุนที่แม้จะย้ายจากเกาหลีมาอยู่ที่ญี่ปุ่นถึง 20 ปีแล้ว และมีหญิงสาวอีกคนที่เข้ามาสานสัมพันธ์ เธอก็เลือกที่จะยึดติดกับอดีต ฝังใจกับยุนฮีต่อไป เพื่อหวังว่าสักวันจะได้พบกันและรับรู้ว่าคนที่เฝ้าฝันถึงมาตลอดเป็นยังไงบ้าง ขนาดจดหมายที่ส่งให้ยุนฮีเธอก็เขียนขึ้นเพราะฝันถึงรักแรกอยู่เสมอ

แม้หลักๆ แล้ว Moonlit Winter จะนำเสนอความรักของผู้หญิงสองคนที่ไม่เป็นที่ยอมรับในยุคสมัยเก่า แต่ขณะเดียวกันหนังก็วิพากษ์แนวคิดปิตาธิปไตยที่ฝังลึกในสังคมเกาหลีอย่างแยบคาย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยุนฮีไม่ได้เรียนต่อเพราะต้องเสียสละให้พี่ชายได้เรียนมหาวิทยาลัย หรือกระทั่งการกระทำของตัวละครชายที่มองว่าผู้หญิงต้องมีผู้ชายมาเติมเต็ม หรือผู้หญิงไม่สามารถใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้ และอาจจะเพราะด้วยเหตุนี้ผู้กำกับจึงวางให้มีฉากที่ยุนฮีกับจุนสูบบุหรี่อยู่บ่อยครั้ง เพื่อเป็นการท้าทายต่อขนบสังคมที่มักกำหนดคุณค่าของผู้หญิงผ่านการแสดงออกและการกระทำ

สำหรับฉัน การตัดสินใจไปญี่ปุ่นของยุนฮีถือเป็นการปลดล็อกความทรงจำที่ถูกกาลเวลาพันธนาการไว้ รวมถึงตัวตนที่พยายามซุกซ่อนมาตลอด ฉากที่เธอพบกับจุนนั้นแสนเรียบง่ายทว่าอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมายจนฉันเองถึงกับอยากร้องไห้ออกมา เพราะตั้งแต่ต้นจนจบยุนฮีคือตัวละครที่ฉันเห็นใจมากที่สุด และปรารถนาที่จะเห็นเธอมีความสุขเหมือนคนอื่นบ้าง ซึ่งถ้าคุณอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วชีวิตของเธอจะเป็นยังไง ฉันคงทำได้แค่แนะนำให้คุณไปติดตามชมเอง

Moonlit Winter

แม้ว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีจะเริ่มหยิบประเด็นเพศหลากหลายมานำเสนอตามสื่อต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในซีรีส์ที่มีการสอดแทรกตัวละครกลุ่มนี้เข้าไปด้วย เช่น My Unfamiliar Family, Graceful Family และ Itaewon Class แต่สังคมบ้านเขาก็ยังไม่เปิดรับเท่าที่ควร ฉันคิดเอาเองว่าถ้าฝ่าด่านมุมมองเรื่องเพศของสังคมเกาหลีไปได้ เราคงได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ในการนำเสนอศิลปะรูปแบบใหม่ๆ ที่มีเนื้อหาหลากหลายมากขึ้น ทั้งยังเป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนมูฟเมนต์เพศหลากหลายระดับโลกอีกด้วย คุณเห็นด้วยไหม

เห็นทีฉันต้องไปแล้วล่ะ หวังว่าจะชอบหนังที่แนะนำไป หรือถ้ายังไม่ว่างดู ฉันแนบเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ร้องโดยวง Se So Neon มาให้ด้วย เผื่อจะทำให้คุณอยากดูมากขึ้น ดูแลสุขภาพด้วยนะ จะตั้งใจรอจดหมายจากคุณอย่างใจจดใจจ่อ

ป.ล. Moonlit Winter กำหนดฉายครั้งแรกในวันพระจันทร์เต็มดวง เข้ากับชื่อเรื่องพอดี เป็นกิมมิกที่น่ารักดีเนอะ

ฉันเอง

ส่วนจุนที่แม้จะย้ายจากเกาหลีมาอยู่ที่ญี่ปุ่นถึง 20 ปีแล้ว และมีหญิงสาวอีกคนที่เข้ามาสานสัมพันธ์ เธอก็เลือกที่จะยึดติดกับอดีต ฝังใจกับยุนฮีต่อไป เพื่อหวังว่าสักวันจะได้พบกันและรับรู้ว่าคนที่เฝ้าฝันถึงมาตลอดเป็นยังไงบ้าง ขนาดจดหมายที่ส่งให้ยุนฮีเธอก็เขียนขึ้นเพราะฝันถึงรักแรกอยู่เสมอแม้หลักๆ แล้ว จะนำเสนอความรักของผู้หญิงสองคนที่ไม่เป็นที่ยอมรับในยุคสมัยเก่า แต่ขณะเดียวกันหนังก็วิพากษ์แนวคิดปิตาธิปไตยที่ฝังลึกในสังคมเกาหลีอย่างแยบคาย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยุนฮีไม่ได้เรียนต่อเพราะต้องเสียสละให้พี่ชายได้เรียนมหาวิทยาลัย หรือกระทั่งการกระทำของตัวละครชายที่มองว่าผู้หญิงต้องมีผู้ชายมาเติมเต็ม หรือผู้หญิงไม่สามารถใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้ และอาจจะเพราะด้วยเหตุนี้ผู้กำกับจึงวางให้มีฉากที่ยุนฮีกับจุนสูบบุหรี่อยู่บ่อยครั้ง เพื่อเป็นการท้าทายต่อขนบสังคมที่มักกำหนดคุณค่าของผู้หญิงผ่านการแสดงออกและการกระทำ

สำหรับฉัน การตัดสินใจไปญี่ปุ่นของยุนฮีถือเป็นการปลดล็อกความทรงจำที่ถูกกาลเวลาพันธนาการไว้ รวมถึงตัวตนที่พยายามซุกซ่อนมาตลอด ฉากที่เธอพบกับจุนนั้นแสนเรียบง่ายทว่าอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมายจนฉันเองถึงกับอยากร้องไห้ออกมา เพราะตั้งแต่ต้นจนจบยุนฮีคือตัวละครที่ฉันเห็นใจมากที่สุด และปรารถนาที่จะเห็นเธอมีความสุขเหมือนคนอื่นบ้าง ซึ่งถ้าคุณอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วชีวิตของเธอจะเป็นยังไง ฉันคงทำได้แค่แนะนำให้คุณไปติดตามชมเอง
ส่วนจุนที่แม้จะย้ายจากเกาหลีมาอยู่ที่ญี่ปุ่นถึง 20 ปีแล้ว และมีหญิงสาวอีกคนที่เข้ามาสานสัมพันธ์ เธอก็เลือกที่จะยึดติดกับอดีต ฝังใจกับยุนฮีต่อไป เพื่อหวังว่าสักวันจะได้พบกันและรับรู้ว่าคนที่เฝ้าฝันถึงมาตลอดเป็นยังไงบ้าง ขนาดจดหมายที่ส่งให้ยุนฮีเธอก็เขียนขึ้นเพราะฝันถึงรักแรกอยู่เสมอ

แม้หลักๆ แล้ว จะนำเสนอความรักของผู้หญิงสองคนที่ไม่เป็นที่ยอมรับในยุคสมัยเก่า แต่ขณะเดียวกันหนังก็วิพากษ์แนวคิดปิตาธิปไตยที่ฝังลึกในสังคมเกาหลีอย่างแยบคาย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยุนฮีไม่ได้เรียนต่อเพราะต้องเสียสละให้พี่ชายได้เรียนมหาวิทยาลัย หรือกระทั่งการกระทำของตัวละครชายที่มองว่าผู้หญิงต้องมีผู้ชายมาเติมเต็ม หรือผู้หญิงไม่สามารถใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้ และอาจจะเพราะด้วยเหตุนี้ผู้กำกับจึงวางให้มีฉากที่ยุนฮีกับจุนสูบบุหรี่อยู่บ่อยครั้ง เพื่อเป็นการท้าทายต่อขนบสังคมที่มักกำหนดคุณค่าของผู้หญิงผ่านการแสดงออกและการกระทำ

สำหรับฉัน การตัดสินใจไปญี่ปุ่นของยุนฮีถือเป็นการปลดล็อกความทรงจำที่ถูกกาลเวลาพันธนาการไว้ รวมถึงตัวตนที่พยายามซุกซ่อนมาตลอด ฉากที่เธอพบกับจุนนั้นแสนเรียบง่ายทว่าอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมายจนฉันเองถึงกับอยากร้องไห้ออกมา เพราะตั้งแต่ต้นจนจบยุนฮีคือตัวละครที่ฉันเห็นใจมากที่สุด และปรารถนาที่จะเห็นเธอมีความสุขเหมือนคนอื่นบ้าง ซึ่งถ้าคุณอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วชีวิตของเธอจะเป็นยังไง ฉันคงทำได้แค่แนะนำให้คุณไปติดตามชมเอง
ส่วนจุนที่แม้จะย้ายจากเกาหลีมาอยู่ที่ญี่ปุ่นถึง 20 ปีแล้ว และมีหญิงสาวอีกคนที่เข้ามาสานสัมพันธ์ เธอก็เลือกที่จะยึดติดกับอดีต ฝังใจกับยุนฮีต่อไป เพื่อหวังว่าสักวันจะได้พบกันและรับรู้ว่าคนที่เฝ้าฝันถึงมาตลอดเป็นยังไงบ้าง ขนาดจดหมายที่ส่งให้ยุนฮีเธอก็เขียนขึ้นเพราะฝันถึงรักแรกอยู่เสมอ

แม้หลักๆ แล้ว จะนำเสนอความรักของผู้หญิงสองคนที่ไม่เป็นที่ยอมรับในยุคสมัยเก่า แต่ขณะเดียวกันหนังก็วิพากษ์แนวคิดปิตาธิปไตยที่ฝังลึกในสังคมเกาหลีอย่างแยบคาย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยุนฮีไม่ได้เรียนต่อเพราะต้องเสียสละให้พี่ชายได้เรียนมหาวิทยาลัย หรือกระทั่งการกระทำของตัวละครชายที่มองว่าผู้หญิงต้องมีผู้ชายมาเติมเต็ม หรือผู้หญิงไม่สามารถใช้ชีวิตตัวคนเดียวได้ และอาจจะเพราะด้วยเหตุนี้ผู้กำกับจึงวางให้มีฉากที่ยุนฮีกับจุนสูบบุหรี่อยู่บ่อยครั้ง เพื่อเป็นการท้าทายต่อขนบสังคมที่มักกำหนดคุณค่าของผู้หญิงผ่านการแสดงออกและการกระทำ

สำหรับฉัน การตัดสินใจไปญี่ปุ่นของยุนฮีถือเป็นการปลดล็อกความทรงจำที่ถูกกาลเวลาพันธนาการไว้ รวมถึงตัวตนที่พยายามซุกซ่อนมาตลอด ฉากที่เธอพบกับจุนนั้นแสนเรียบง่ายทว่าอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมายจนฉันเองถึงกับอยากร้องไห้ออกมา เพราะตั้งแต่ต้นจนจบยุนฮีคือตัวละครที่ฉันเห็นใจมากที่สุด และปรารถนาที่จะเห็นเธอมีความสุขเหมือนคนอื่นบ้าง ซึ่งถ้าคุณอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วชีวิตของเธอจะเป็นยังไง ฉันคงทำได้แค่แนะนำให้คุณไปติดตามชมเอง ฉันคงทำได้แค่แนะนำให้คุณไปติดตามชมเอง ฉันคงทำได้แค่แนะนำให้คุณไปติดตามชมเอง

AUTHOR