ผมพักแรมที่นี่เป็นคืนที่สี่แล้ว พรุ่งนี้พร้อมออกเดินทางต่อ ตามแผนจะต้องปั่นจักรยานไต่ไปตามถนนสายทิโอกา (Tioga Road) ขึ้นจาก 1,200 สู่ความสูง 3,000 เมตรถ้วน ณ จุดสูงสุดของเส้นทางตาม maps.me บอกไว้ ซึ่งน่าจะเป็นพาสสูงสุดของการเดินทางรอบนี้ที่ต้องปั่นจักรยานขึ้น หมายถึงยังต้องต้านแรงโน้มถ่วงของโลกอีกเกือบ 2 กิโลเมตรในแนวดิ่ง
ก่อนเดินทาง ผมใช้เวลาช่วงค่ำคืนในเต็นท์ย่อยแล้วเขียนความคิดลงไปในสมุดบันทึกและผ่านแป้นพิมพ์บนโน้ตบุ๊ก ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ เพื่อเก็บรายละเอียดพร้อมกับทบทวนใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จะได้ไม่หลงลืม และดีกว่าไปเรื่อยโดยไร้การให้เวลาตกตะกอนความคิด
โยเซเมติ สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือน ‘สวนสนุก’ สำหรับคนทุกเพศทุกวัย หุบเขาทอดตัวยาวสิบกว่ากิโลเมตรแห่งนี้เอื้อต่อการทำทุกกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะกิจกรรมสำหรับครอบครัว มีพื้นที่โล่งกว้างปลอดภัยสำหรับเด็ก จะปิกนิกปิ้งย่างนั่งเม้าท์มอยพักผ่อนเฉยๆ ทางอุทยานเขาก็จัดสรรพื้นที่พร้อมโต๊ะเก้าอี้และเตาเตรียมไว้ให้หลายจุดทั่วหุบเขา
อยากนั่งกับพื้นก็ปูเสื่อปิกนิกริมน้ำก็ได้ ว่ายน้ำเล่นเย็นชื่นฉ่ำในแม่น้ำเมอร์เซด (Merced River) ซึ่งไหลผ่ากลางหุบเขา เสร็จก็กินอาหารเครื่องดื่มที่เตรียมมาด้วย พวกชอบกิจกรรมทูบบิ้งนำห่วงยางเป่าลมหรือเรือสูบลม พ่วงกับห่วงของเพื่อนฝูงแล้วล่องก็ได้ บางคนบรรทุกกระติกน้ำแข็งใส่เครื่องดื่ม บ้างฉิ่งฉับติดลำโพงพกพาเปิดเพลงไปด้วย อารมณ์เหมือนเที่ยววังเวียงฉบับไฮโซ ถนนภายในอุทยานเป็นวันเวย์ รถยนต์วิ่งทางเดียว มีป้ายเตือนให้ระวังคนข้ามถนน ระวังสัตว์ป่า และระวังจักรยานเป็นระยะๆ มีทางจักรยานแยกต่างหากครอบคลุมเกือบทั่ว ลูกเล็กเด็กแดงเพิ่งหัดปั่นรับรองปลอดภัย ผู้ใหญ่ก็ชื่นชอบด้วยเพราะได้ออกกำลังกายพร้อมชมวิวสวย และได้แวะจอดตามจุดท่องเที่ยวอีกด้วย มีเทรลทั้งสั้นและยาวพร้อมข้อมูลละเอียดช่วยในเรื่องความปลอดภัย ขณะเดียวกันก็ป้องกันผลกระทบต่อธรรมชาติในระบบนิเวศเนื่องจากการท่องเที่ยวด้วย พวกชอบกิจกรรมผจญภัยโลดโผนก็ได้อีกนั่นแหละ แถบนี้การปีนหน้าผาขึ้นชื่อมาก
มนุษย์กับสัตว์ป่าอาศัยอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นหมีดำ กวางหลากชนิด กระรอก นก ปลา มาร์มอต และอื่นๆ หุบเขาโยเซเมติ นับว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียงสวนเอเดน เป็นหุบเขาซึ่งเหมาะกับทุกสรรพชีวิตเลยล่ะ
ความโดดเด่นไม่เหมือนที่ใดบนโลกใบนี้ คือมีลักษณะคล้ายหุบเขาซ่อนเร้น ขณะเดินทางตามถนนขึ้นเขาลงห้วยตามปกติไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าจะเจอสถานที่งดงามเหนือความคาดหมาย แต่ทันทีที่ผ่านจุดสูงสุดของเส้นทาง โดยไม่ทันคาดคิด ก็ลงไปสู่หุบรูปตัว U ที่สวยอลังการ ซึ่งนอกจากมีกำแพงภูผาหินแกรนิตสีเทาขาวรูปทรงแปลกสูงตระหง่านขนาบสองด้านแล้ว ยังมีน้ำตกสูงไหลลงมาจากยอดผาให้ตื่นตาและใจชนิดไม่ทันตั้งตัวอีกนับสิบสายอีกด้วย ยอดเขาครึ่งวงกลมฮาล์ฟโดม (Half Dome) นับว่าเป็นแลนด์มาร์กสำคัญ ส่วนน้ำตกอลังการทั้งหลายแทบจำชื่อไม่หมดไม่ครบ ที่ใกล้กว่าใครเขาซึ่งไปเยือนง่ายจึงได้รับความนิยมมาก นักท่องเที่ยวคับคั่งเบียดเสียด คือ น้ำตกโยเซเมติ (Yosemite Falls) กับน้ำตกไบรดอลวีล (Bridalveil Falls) ส่วนเวอร์นอล (Vernal Falls) นั้นไกลหน่อย ต้องเผื่อเวลาไปกลับเกือบทั้งวันและอาจต้องเตรียมน้ำดื่มกับอาหารกลางวัน ไม่ก็ขนมขบเคี้ยวรองท้องติดกระเป๋าไปด้วย
โยเซเมติได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 1984 นักท่องเที่ยวทั้งอเมริกันและคนต่างชาติหลั่งไหลไปชื่นชมความงดงามปีละหลายล้านคน เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อที่สุดของประเทศอเมริกา เรียกว่าใครมารัฐแคลิฟอร์เนียมักไม่พลาดบรรจุลงไปในแผนเที่ยว พื้นที่และกิจกรรมทุกอย่างบริหารจัดการโดยภาครัฐได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก นับว่าสะดวกสบายมาก
จำได้ว่า 6 วันก่อนขณะมุ่งหน้าขึ้นมายังโยเซเมติ ผมต้องงัดแรงขาเพื่อไต่ขึ้นสู่ความสูงกว่า 1,900 เมตรจากระดับน้ำทะเล เหนื่อยหอบ เมื่อยล้า กรำแดด ช้าเหมือนเต่าหอยตามแบบฉบับการเดินทางด้วยจักรยาน แต่ฮึดสู้ ไม่ยอมแพ้ เหนื่อยจัดก็หยุดพัก อุณหภูมิช่วงบ่ายทะลุ 40 องศาในช่วงหน้าร้อนมันไม่ฆ่าเราหรอกถ้าคนเดินทางไม่ดันทุรังเกินจำเป็น ต่อเมื่อขึ้นไปสูงมากขึ้นจึงเย็นกว่า ทำให้ทรมานน้อยลง ชื่นชมทิวทัศน์ดอกไม้ใบหญ้าได้มากขึ้น หยุดถ่ายภาพ ตั้งเวลาสิบวินาทีเพื่อเอาตัวเองเข้าฉาก หรือหยุดเพื่อถ่ายฟุตเทจเก็บเผื่อตัดต่อทำคลิปสั้นๆ ขึ้นโซเชียลบ้าง
มันเป็นการเดินทางที่ไม่ได้คิดถึงจุดหมายปลายทางเลยด้วยซ้ำ สิ่งละอันพันละน้อยระหว่างทางทั้งหลายมันก็งดงาม (มาก) ตามท้องเรื่องของมันอยู่แล้ว แม้ไหล่ทางแคบอยู่สักหน่อย แต่คนใช้รถยนต์ทั้งหลายก็ขับช้าและค่อนข้างระวังคนเดินทางด้วยจักรยาน บางช่วงผ่านโซนซึ่งป่าสนโดนฟ้าผ่าแล้วลามเป็นไฟป่าทำให้ต้นไม้ไหม้ดำกรังเป็นตอตะโกกันเป็นทิวแถว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เรื่องน่าเสียดาย เพราะนั่นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เกือบร้อยปีที่ทางการห้ามเผาเพราะต้องการระวังฟืนไฟ แต่ปรากฏว่าเชื้อไฟสะสมมากเกิน ยามไฟท่วมทุ่งมันแรงจนเอาไม่อยู่ จึงต้องย้อนกลับมาใช้วิธีเดิมเช่นที่คนพื้นถิ่นอินเดียนแดงเคยปฏิบัติ โอบรับการปล่อยให้เกิดไฟป่าตามธรรมชาติโดยติดตามควบคุมเท่าที่จำเป็น
บนเส้นนทางสู่โยเซเมติ เราจะได้กลิ่นชนิดหนึ่ง คือกลิ่นยางสน ซึ่งคล้ายคลึง (หรืออาจเป็นชนิดเดียวกันกับ) กลิ่นเครื่องเผาบูชาตามศาสนสถานทั้งหลาย ไม่ได้เป็นกลิ่นฉุนรุนแรง ทว่า ลอยมาแตะจมูก ประสาทสัมผัสทางกลิ่นรับรู้แต่เพียงบางเบาแทบทั้งวัน ดังนั้น การค่อยๆ ปั่นผ่านพื้นที่ซึ่งอุดมไปด้วยกลิ่นเช่นนี้ จึงนำพาจิตใจเข้าสู่การภาวนา อธิษฐาน นมัสการ รำลึกถึงพระคุณ และด้วยการนอบน้อมขอบพระคุณต่อพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง มหาวิหารแห่งการสักการะหาใช่ตัวอาคารสร้างด้วยฝีมือมนุษย์อันวิจิตรบรรจงไม่ แต่คือสถานที่ที่เราสามารถ ‘เชื่อมต่อ’ กับแหล่งแห่งชีวิตและที่มาของจิตวิญญาณของเรา ความสงบชนิดที่เรียกว่า ‘สันติสุข’ เกิดขึ้นขณะเดินทางผ่านถนนสายโยเซเมตินั่นเอง
ก่อนลงสู่หุบเขาเลื่องชื่อดังกล่าว จำเป็นต้องปั่นเข้าสู่อุโมงค์วาโวนา (Wawona Tunnel) ชวนอึดอัดยาวเกือบ 2 กิโลเมตร การจราจรไม่ได้คับคั่งแต่อย่างใด และอาการกลัวที่แคบก็ไม่ถึงกับกำเริบด้วย ขณะอยู่ในถนนแคบพร้อมกับเสียงรถยนต์สวนทางเสียงดังกว่าปกติทำให้อยากไปให้ถึงปลายปากทางอีกด้าน แต่ก็เร่งไม่ได้อยู่ดี
จนกระทั่ง ทันใดนั้น เมื่อสามารถออกจากพื้นที่ชวนอึดอัด สู่พื้นที่เปิดโล่งพร้อมกับวิวภูเขากระแทกตา ณ ขณะนั้น เหมือนพลังงานธรรมชาติมวลมหาศาลกระแทกเข้าสู่จอดวงตาอย่างกะทันหัน คำนวณไม่ได้หรอก ว่ากี่เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ รู้แค่ว่า มันมีพลังมาก มากขนาดซัดเข้าสู่หัวใจ ทำให้จู่ๆ น้ำตาพานจะไหลออกมา