ให้ขุนเขาและป่าสนอิตาลีโอบกอดเราไว้ในหมู่บ้านสีพาสเทลแห่งโอติเซ

1
เราบินจากแมนเชสเตอร์ มาลงที่เบอร์กาโม่ สนามบินขนาดจุ๋มจิ๋มท่ามกลางเทือกเขา เท่าที่สังเกตดูเหมือนว่าจะมีเฉพาะเที่ยวบินระหว่างประเทศในแถบยุโรป เราจึงกลายเป็นชาวเอเชียคนเดียวที่เข้าช่อง ‘ตรวจหนังสือเดินทางของทุกประเทศ’

ผ่าน ตม.มาได้โดยปราศจากคำถามใดๆ เราก็ได้ชิมกาแฟอิตาเลียนถ้วยแรก เอสเพรสโซ โซโลช็อตเดียว สามารถยืนกระดกที่หน้าร้านได้เลย รสขมนำ เปรี้ยวเล็กน้อย หอมช็อกโกแลต การเดินทางครั้งนี้เราตั้งใจจะชิมกาแฟอิตาเลียนที่เขาว่ามันเจ๋งจากทุกร้านที่ไปเยือนโดยไม่หวั่นว่าคาเฟอีนจะโอเวอร์โดส

 

2
รถโค้ชจากสนามบินพาเรามาที่เมืองโบลซาโน่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า เดือนตุลาคม อากาศเย็นกำลังดี เมืองหลวงของจังหวัดทิโรลใต้นี้มีบ้านสูงสามสี่ชั้น สีพาสเทลสดใส เราเดินไปเจอนิทรรศการเห็ดป่าโดยบังเอิญ มีเห็ดหลากหลายชนิดซึ่งขุดมาจากพื้นที่แถบนี้มาจัดแสดง แถมยังมีหนังสือวิธีดูเห็ดกินได้ขายด้วยในราคาห้ายูโร คุณลุงคุณป้าบางคนเริ่มเก็บเห็ดกลับบ้าน เพราะนี่เป็นวันสุดท้ายที่จัดงาน

เวลาเกือบหกโมงเย็น ร้านรวงเริ่มทยอยปิด เหลือแค่ร้านอาหารกับบาร์แถวๆ ลานกลางเมืองที่ยังเปิดอยู่ เราเดินวนไปมาหลายร้าน สุดท้ายก็ได้กินสปาเก็ตตีคาโบนาร่าที่อร่อยแบบง่ายๆ กับชาร์ดอนเน่ 1 แก้วให้พอเคลิ้ม ก่อนเดินกลับที่พัก

 

3
เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือดังขึ้นพร้อมๆ กับระฆังจากโบสถ์ที่อยู่ไม่ไกล ขณะกำลังออกจากที่พักเราเจอเพื่อนร่วมแฟลต คุณป้าอิรีนกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ตรงพื้นที่ครัวส่วนกลาง หันมาทักทายยามเช้าพร้อมชวนเราดื่มชา แล้วก็เลยไปถึงชวนกินข้าวเช้าด้วยกันเสียเลย มีขนมปังกับแยมโฮมเมดที่คุณป้าพกมาด้วย แยมนี่ทำจากเชอร์รี ราสเบอร์รี และเรดเคอร์เรนต์ที่เก็บจากสวนหลังบ้านช่วงซัมเมอร์ รสเปรี้ยวหวานกำลังดี สามีคุณป้าตามมาสมทบกับเราทีหลัง สองคนมาจากเมืองเบรเมน มาเที่ยวแล้วก็แวะเยี่ยมลูกสาว ก่อนจากกันทั้งสองคนอวยพรให้เราเที่ยวให้สนุก และกลับมาทำงานที่เมืองไทยอย่างราบรื่น

วันนี้ฝนตกตั้งแต่เช้า อากาศเย็นลงอีกนิดหน่อย รถบัสไต่เขาไปเรื่อยๆ แล้วพาเรามาถึงเมืองโอติเซ่ ฝนยังตกพรำๆ อย่างต่อเนื่อง เรามากินข้าวกลางวันในคาเฟ่ที่มีนกกระจอกบินไปมา และแอบขโมยกินมันฝรั่งทอดที่อยู่ในตะกร้าหน้าร้านด้วย เราได้ลองขนมปังปิ้งกับชีสและ speck (เบคอนแบบดิบซึ่งทำจากเนื้อสัตว์ ทาเกลือ ตากแห้ง นานหลายเดือน แล้วเอามาสไลด์เป็นแผ่นบางๆ) และที่พลาดไม่ได้ วันนี้เราเพิ่มคาเฟอีนในเลือดด้วยเอสเพรสโช มัคคิอาโต และอัฟโฟกาโต

เดินเล่นในเมืองขนาดจิ๋วนี้แล้วก็แวะไปที่ SPAR ซูเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติออสเตรียน ซื้ออาหารสำหรับมื้อเย็น SPAR เต็มไปด้วยของน่ากิน เราได้ขนมปังก้อนกลม ตั้งใจว่าจะกินกับ speck ที่ติดใจตั้งแต่ได้ลองกินตอนกลางวัน มีแอปเปิลสีทอง โยเกิร์ตรสสตรอเบอร์รี แอปเปิลอบเคลือบช็อกโกแลต เป็นของหวาน

ที่พักคืนนี้ อยู่บนเนินเขาเกือบสูงสุดในละแวกนั้น กว่าจะเดินขึ้นไปถึงก็เรียกเหงื่อได้ประมาณหนึ่ง พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกปรอยๆ ไปจนถึงช่วงเย็น หมอกหนาเคลื่อนตัวคลุมแนวต้นสนสีเขียวเข้ม อากาศเย็นชื้นแต่สดชื่น คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ แล้วมองดูละอองฝนในอากาศ

 

4
เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศหนาวจัด มีน้ำค้างแข็งตามยอดหญ้า บนยอดเขามีหิมะสีขาวปกคลุม มองเห็นได้แต่ไกล เราเดินสำรวจรอบที่พักก่อนเวลาอาหารเช้า ไปเจอแปลงผักสวนครัวแปลงเล็ก ยังมีแคร์รอตอยู่หลายหัว แล้วก็ต้นพาร์สลีย์อีกหย่อมหนึ่ง สักพักแสงของพระอาทิตย์ก็ออกมาทักทาย แต่กว่าดวงอาทิตย์ทั้งดวงจะพ้นยอดเขาก็ราวแปดโมงเช้า

วันนี้เรามีนัดเรียนทำอาหารพื้นเมืองแบบไทโรเลียน ชั้นเรียนนี้ประกอบด้วยนักเรียนทั้งหมด 5 คน และคุณครู 2 คน ความพิเศษคือ เอกสารของเราเป็นภาษาอังกฤษเพียงคนเดียว ในขณะที่ของคนอื่นเป็นภาษาเยอรมัน

ถึงแม้ที่นี่จะเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลี แต่คนส่วนมากพูดคุยกันด้วยภาษาเยอรมัน คุณครูที่มาสอนพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย ภาษาเยอรมันเบื้องต้นที่เราเรียนมาก็ยังใช้งานไม่ได้จริง เราเลยได้รับความช่วยเหลือจากคู่สามี-ภรรยาในชั้นเรียน ช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ เป็นไมตรีจิตจากคนไม่รู้จัก ซึ่งเราได้รับเสมอเมื่อออกเดินทาง

เมนูวันนี้เป็นอาหารคาวหนึ่งอย่าง ชื่อ Tirtlen ลักษณะคล้ายเกี๊ยว เป็นแป้งแผ่นกลมประกบกัน มีไส้ผักโขมผัดตรงกลางแล้วเอาไปทอด และขนมหวานอีกหนึ่งอย่าง เป็นแป้งบดหยาบๆ ผสมนมและไข่ ปั้นเป็นท่อนสั้นๆ ชุบเกล็ดขนมปังทอด กินกับราสเบอร์รีไซรัป พวกเราสนุกสนานกับการตัดแผ่นแป้ง ห่อเกี๊ยว ปั้นแป้ง และลุ้นไม่ให้เกี๊ยวแตกตอนลงทอด

 

5
ช่วงบ่ายวันนั้น ฟ้าใสและแดดดีมาก เราไปไฮกิ้งตามที่ตั้งใจไว้ที่ Seiser Alm ขึ้นกระเช้ามาต่อแชร์ลิฟต์อีกตอนก็ถึงที่ราบสูงนี้ ตามพื้นยังคงมีหิมะกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ ข้างหน้าเราคือแนวเทือกเขาชื่อ Rosengarten (สวนกุหลาบ) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ Loacker ทำขนมเวเฟอร์คอลเลกชั่นดอกไม้ ซึ่งหาซื้อได้แค่ที่เมืองแถบนี้เท่านั้น

เราเดิน เดิน และเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ความรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าหาความใหญ่โตของยอดเขาและแนวเขาที่ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา มีวัวตัวอ้วนยืนเล็มหญ้า บ้านหลังเล็กกระจายอยู่ตามทางบนทุ่งหญ้าสีเขียวน้ำตาล เราพักเติมอาหารท้องถิ่นด้วยอาหารไทโรเลียนจานใหญ่ เป็นเนื้อผัดกับมันฝรั่งรสชาติเปรี้ยวๆ เค็มๆ ตามด้วยเอสเปรสโซอีกหนึ่งช็อต ที่กระท่อมบนเขาแห่งหนึ่งบนเทรลเลขที่ 7a โดยมียอดเขา Sassopiatto ที่เหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อมเป็นอาหารตา

 

6
ไฮกิ้งวันถัดมาของเราอยู่ที่ Seceda แนวเขาอีกฝั่งหนึ่ง แนวเขาด้านนี้สูงกว่าอีกด้านที่ไปเมื่อวาน อากาศจึงหนาวกว่าและหิมะยังเหลืออยู่บนพื้นค่อนข้างมาก เราจองตั๋วกระเช้าขาขึ้นเพียงขาเดียว เพื่อที่จะเดินลง ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน เรารู้สึกเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของเทือกเขาตลอดเวลา เรากลายเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วไปเลย เมื่อเทียบกับภูเขาสูงตระหง่านที่อยู่ตรงหน้า ต้นสนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองบ้างนิดหน่อย ส่วนหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาลเหลืองเกือบหมดแล้ว ภูมิประเทศด้านนี้มีตั้งแต่แนวเทือกเขาหินปูนสีเทา ทิวต้นสนสีเขียวแน่นๆ ไปจนถึงทุ่งหญ้าโล่งกว้าง เราเดินหลงทางไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ลงมาถึงตัวเมืองโดยสวัสดิภาพ

การออกเดินทางครั้งนี้ เป็นการพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากๆ อีกครั้ง ในเมืองเล็กๆ ที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงและป่าสนที่ชื่อ Ortisei . St.Ulrich . Urtijëi

ที่ซึ่งมี 3 ภาษา คือ อิตาเลียน, เยอรมัน และละดิน เป็นครั้งแรกที่เราได้ยินว่ามีภาษาละดิน (ไม่ใช่ละติน) ในโลกใบนี้

ที่ซึ่งเราได้รับไมตรีจิตจากคนไม่รู้จัก ทำให้ยังเชื่อมั่นว่าความเอื้ออารีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยังคงมีอยู่จริง

ที่ซึ่งเราใช้รอยยิ้มได้เปลืองที่สุด เพื่อมอบให้กับคนไม่รู้จักที่โชคชะตาให้ผ่านมาพบกัน

ที่ซึ่งเราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น เยียวยาตัวเองด้วยธรรมชาติ อาหาร และกาแฟที่ยอมรับว่าเยี่ยมจริงๆ

จนกว่าเราจะพบกันใหม่

AUTHOR