เราเดินทางยิงยาว 16 ชั่วโมงจากเมืองทะเลทรายสู่ภาคพื้นยุโรป ลัดฟ้าผ่านขั้วโลกเหนือเพื่ออาบรังสีคอสมิกเสริมสร้างเซลล์มะเร็ง จนกระทั่งมาถึงซานฟรานซิสโกเรียบร้อยโดยสวัสดิภาพ
หลังจากที่น็อกยาวตลอดคืนเพราะเหนื่อยจากการเดินทางและการปรับเวลา เราตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ด้วยความสดใส พลังงานพลังใจเต็มเปี่ยมที่จะออกไปเที่ยวเล่น
ขอสารภาพตามตรงว่าในช่วงนี้เราค่อนข้างมีพลังหม่นแฝงอยู่ในใจ อาจเป็นเพราะไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว แถมทำงานติดๆ กันมาตลอด เลยเกิดอาการจ๋อยจนใจจืด จึงตัดสินใจว่าวันนี้เราจะเข้าไปหาความสงบในป่า เผื่อว่าจะได้รับความสดชื่นเย็นใจจากต้นไม้มาดับความขุ่นข้องหมองใจให้ทุเลาเบาบางลงไปบ้าง ฉะนั้นในทริปนี้เราเลยขอบอกลาร้านกาแฟชิลล์ๆ ร้านขายของกุ๊กกิ๊กแสนเก๋ในเมืองใหญ่ แล้วหันหน้าเข้าหาธรรมชาติแทน
จุดหมายปลายทางในทริปนี้ก็คือ Muir Woods National Monument ที่นี่เป็นป่าไม้แดงเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 600 ปี และตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองซานฟรานซิสโก
ด้วยความที่ป่าโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ เดินทางไปค่อนข้างสะดวก จึงมีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสัตว์ป่าและการรักษาสภาพของพื้นที่ป่าไม้ จึงมีมาตรการจำกัดจำนวนของนักท่องเที่ยวในแต่ละวัน ดังนั้นเราจึงต้องตีตั๋วเข้าป่าล่วงหน้าก่อนผ่าน gomuirwoods.com ภายในเว็บไซต์จะให้เลือกว่าเราจะเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวหรือนั่งรถบัสเข้ามา หากเลือกรถยนต์ส่วนตัวก็จะมีการอธิบายเกี่ยวกับจุดจอดรถและค่าจอด หากนั่งรถบัสก็ต้องจองวัน เวลา รวมถึงจุดขึ้นบัสด้วย
คำแนะนำสำหรับมิตรรักนักอ่านที่อยากมาตามรอยและพักอยู่ในซานฟรานซิสโกก็สามารถเริ่มต้นการเดินทางด้วยการนั่งเรือเฟอร์รีจากท่าเรือ Golden Gate Ferry เพื่อรับลมทะเลเย็นสบายไปพร้อมๆ กับชมสะพาน Golden Gate สีแดงที่เจ๊งในหนังภัยพิบัติทุกเรื่อง มาลงที่ท่าเรือเซาซาลิโต เมืองเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามอ่าวที่มีความน่ารักกุ๊กกิ๊ก เพรียบพร้อมไปด้วยร้านอาหารมากมาย คาเฟ่มากมี จากนั้นก็นั่งรถบัสเข้าป่า หรือถ้ามีเวลาน้อยก็สามารถเรียกอูเบอร์แล้วนั่งยิงยาวมาได้เลย
เมื่อถึงเซาซาลิโตเราก็เดินเล่นซื้อกาแฟและเสบียงอาหารเล็กๆ น้อยๆ ก่อนไปนั่งรอที่ป้ายรถบัสตามเวลาที่จองไว้ เมื่อรถบัสมาถึงก็จะมีคุณเจ้าหน้าที่เดินมาเช็กตั๋วและอธิบายรอบรถบัสที่จะกลับมาส่งเราที่นี่ว่ามีเวลาใดบ้าง พร้อมกับแจ้งว่าจากนี้จะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์แล้วนะเออ เพราะฉะนั้นควรออกมาจากป่าก่อนเวลาที่รถบัสจะออกครึ่งชั่วโมงนะจ๊ะ (พอถึงตอนนี้ทุกคนก็ก้มลงจิ้มโทรศัพท์กันใหญ่) จากนั้นรถบัสคันใหญ่ก็มุ่งหน้าขึ้นเขาเข้าสู่ป่า แล่นลัดเลาะไปตามไหล่เขาและม่านหมอก
เรานั่งรถมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง Muir Woods National Monument แอบใจชื้นขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเห็นแดดจ้า แต่ด้วยความที่ที่นี่เป็นป่าใหญ่ฉะนั้นอากาศโดยรอบก็ยังคงหนาวๆ เย็นๆ อยู่ ขอแนะนำว่าควรเอาเสื้อกันลมติดกระเป๋ามาด้วย
หลังผ่านจุดตรวจตั๋วด้านหน้าจะเจอห้องน้ำและร้านขายอาหารเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ หากใครอยากตุนเสบียงเพิ่ม แวะเติมน้ำใส่กระติก หรือทำธุระส่วนตัว ก็จัดการตรงนี้ให้เสร็จสรรพเรียบร้อยไปเลย เพราะจากนี้จะมีแต่ต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ ไม่มีจุดแวะพักแล้ว และหากเอาอาหารหรือขนมเข้าไปก็ขอให้ระมัดระวังเรื่องขยะด้วย กินเรียบร้อยแล้วเก็บใส่กระเป๋า ไม่ทิ้งเอาไว้ และไม่ให้อาหารสัตว์ป่า
มาจะกล่าวบทไปเกี่ยวกับต้นไม้ใบหญ้าใน Muir Woods National Monument กันเล็กน้อยพอเป็นพิธี จากที่อธิบายไปก่อนหน้านี้แล้วว่าป่านี้เป็นป่าโบราณที่เก่าแก่มาก อยู่ยั้งยืนยงบนโลกสีครามมานานนับพันปีแล้ว ผ่านร้อนจากการถูกเผา ผ่านหนาวจากการหวุดหวิดถูกโดนโค่นไปหลายต่อหลายรอบ นับตั้งแต่ตอนที่ชาวเนทีฟอเมริกันเผาป่าเพื่อล่าสัตว์ จนกระทั่งชาวอาณานิคมเริ่มเข้ามาตั้งรกรากในอเมริกา ตอนนั้นต้องการไม้จำนวนมากไปสร้างบ้านแปงเมืองเลยจัดแจงโค่นไม้ บุกรุกที่ป่ากันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ปริมาณป่าไม้ลดลงตามลำดับ หนำซ้ำหลังจากที่สร้างเมืองกันเรียบร้อยก็มีคนค้นพบแหล่งทองคำในรัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลกันเข้ามาถางป่าหาทองและทำเหมืองกันหมด
ขนาดของป่าที่ลดลงเรื่อยๆ จากการทำเหมืองแร่ แถมซานฟรานซิสโกนั้นเคยผ่านเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งใหญ่ นั่นคือแผ่นดินไหวเมื่อปี 1906 ที่ส่งผลให้พื้นที่ 80 เปอร์เซ็นต์ของเมืองถูกทำลาย มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 3,000 รายเลยทีเดียว จากเหตุการณ์นี้ทำให้ต้องบูรณะเมืองใหม่และดึงเอาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เป็นจำนวนมาก
เมื่อพื้นที่ป่าถูกทำลายมากเข้าทำให้พื้นดินไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม กลายเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมและถูกพัฒนาให้เป็นย่านชุมชนในเวลาต่อมา ดังนั้นพื้นที่สีเขียวในแคลิฟอร์เนียจึงเหลืออยู่น้อยนิดเท่าหยิบมือเท่านั้น
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องรักษาผืนป่าแห่งนี้และรอบโลกไว้ให้รอดพ้นจากการถูกทำลายด้วยน้ำมือของมนุษย์
สำหรับเส้นทางการเดินสำรวจธรรมชาติภายในป่าแห่งนี้ก็มีหลากหลายให้เลือก ทั้งเดินแบบปกติน่ารักไปจนถึงแอดเวนเจอร์ขึ้นเขาลงห้วย เราเลือกเดินเข้าไปแบบธรรมดาก่อนเพื่อดูลาดเลา ซึ่งเป็นการเดินทางราบลัดเลาะลำธาร Redwood Creek เรียกว่า Redwood Creek Trail เส้นนี้เป็นเส้นทางหลักตัดตรงกลาง ตลอดทางมีไม้ระแนงปูพื้นอย่างดี เดินสะดวก สามารถนั่งรถเข็นวีลแชร์หรือเข็นรถเข็นเด็กได้สบาย แถมบางช่วงของป่าในแถบนี้จะมีกิจกรรม tree talk ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมาให้ความรู้ เล่าเรื่องราวของป่าให้ฟัง
จากทางเดินเส้นหลักนี้ หากนักเดินป่าที่ต้องการผจญภัย ออกแรงขึ้นเขาลงห้วย ก็สามารถแยกออกไปเดินสำรวจธรรมชาติเพิ่มเติมได้ มีหลายเส้นทางให้เลือกแตกต่างกันไปตามระยะทางและระดับความยาก-ง่าย มีป้ายปักบอกเป็นระยะว่าเลี้ยวตรงนี้แล้วต่อไปทางจะเป็นยังไง
เมื่อเดินเข้ามาจนสุดทางของ Redwood Creek Trail ที่มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรเรียบร้อยแล้ว เราก็ตั้งต้นค้นหาความสงบโดยการเดินตัดเข้าไปในป่า เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์คนเลยค่อนข้างขวักไขว่วุ่นวาย ได้ยินเสียงมนุษย์คุยกันจ้อกแจ้ก และมีเสียงเด็กน้อยร้องไห้งอแงบ้าง เจอกลุ่มวัยรุ่นหัวเราะเสียงดังบ้าง เลยบอกตัวเองว่า พอล่ะ พอแล้ว ขอเดินเข้าป่าอย่างสงบก็แล้วกัน เราจึงเลือกเดินเข้ามาที่ Hillside Trail ที่เหมือนเส้นเลี่ยงเลาะเขาที่จะกลับมาบรรจบกับทางเดินเส้นหลักนั่นเอง
ความน่ารักของการเดินในป่าสำหรับวันนี้คือเหล่าน้องๆ หนูๆ เพื่อนร่วมทางตัวจิ๋ว เพราะเวลาเหล่าน้องๆ เดินสวนใครก็จะทักทายกัน แวะเซย์ไฮ ยิ้มให้กันตลอดทาง และเราเจอครอบครัวหนึ่งที่น่ารักมากเดินสวนทางมา เราหยุดให้ครอบครัวนั้นไปก่อน เจ้าน้องหนูพี่สาวคนโตก็บอกว่า Thank you. มองรองเท้าวิ่งสีแซลมอนของเราแล้วชี้บอกว่า Your shoes are so cute! ทางเราก็ Awwwww, thank you love! Yours, too! เพราะน้องใส่รองเท้ากลิตเตอร์ฟุ้งฟิ้งปิ๊งกระจายมาก น้องเขายิ้มเขิน แล้วก็โบกมือบ๊ายบายกัน เป็นเรื่องราวเล็กๆ ที่น่ารักดี
จากภาพด้านบนจะเห็นว่า Hillside Trail เป็นทางเดินเลียบริมเขา มีการปรับพื้นให้เดินง่าย เหมาะกับการปลีกวิเวกหรือเดินกลับจาก Redwood Creek Trail แล้วอยากเห็นป่าในมุมสูง แต่ไม่เหมาะกับรถเข็นเด็กเพราะทางค่อนข้างแคบ หากจะพาครอบครัวมาเดินเส้นนี้ น้องๆ ต้องโตในระดับหนึ่งแล้ว
และเราขอปิดท้ายการเดินป่าในวันนี้ด้วยเส้นทาง Canopy View / Redwood / Sun / Dipsea Trails Loop ที่มีระยะทาง 6.8 กิโลเมตร เพราะไหนๆ ก็ตั้งใจมาเดินแล้วก็เลยเดินต่อไป อยากเดินหาความสงบ ค้นพบเสียงในใจของตัวเองที่ขาดหายไปก็เดินต่อไปเรื่อยๆ เถอะนะ
เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ต้องเดินข้ามเขาแล้ววนไปที่จุดด้านหน้าก่อนเข้าป่า ตอนเริ่มเดินนั้นสภาพอากาศสุดแสนจะเป็นใจ ไม่ร้อนไป ไม่หนาวเกิน แดดอุ่นพอดี มีกลิ่นดินกลิ่นต้นไม้พาใจให้สดชื่น รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเดินอยู่คนเดียวท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ที่อยู่รอบด้าน ถูกโอบล้อมกอดด้วยความรักจากธรรมชาติ
เราหยุดและฟังเสียงกระซิบของป่า เสียงของลมพัดกระทบยอดไม้ เสียงน้ำไหลเอื่อยๆ จากลำธารที่อยู่ไกลออกไป เสียงนกที่ร้องเจื้อยแจ้วก้องกังวาน และเราฟังเสียงเต้นของหัวใจ
ในโลกที่กว้างใหญ่ เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย เราได้ยิน ได้เห็น ได้รับรู้สิ่งต่างๆ รอบกายผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่ทว่ายิ่งได้รับได้รู้เรื่องราวรอบตัวมากเพียงใด เรากลับหลงลืมที่จะมองลึกลงไปในความคิด ในความทรงจำ และในใจของเราเอง
เมื่อผ่าน Canopy View Trail ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และดั้นด้นไต่เขาสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาถึงจุด Panoramic Trail เป็นเหมือนจุดชมวิวบนยอดเขาที่เห็น Muir Woods แบบเต็ม ๆ
เส้นทางต่อจากนี้เป็นการเดินลัดเลาะผ่านทุ่งหญ้าบนเขา อากาศช่วงเที่ยงวันร้อนอบอ้าวเนื่องจากไม่มีร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ให้ได้พักพิง
ระหว่างทางเราเจอเพื่อนร่วมทางที่เดินสวนกันเตือนว่าทุ่งหญ้าแห้งบริเวณนี้ต้องเดินระวังนิดหนึ่งนะ เพราะว่ามีงู แต่เป็นงูที่ไม่อันตราย ไม่มีพิษ เพียงแต่ต้องระวังเฉยๆ เพราะเดินดุ่มๆ อยู่คนเดียวอาจตกใจงูจนวิ่งตกเขา ซึ่งเดชะบุญที่เราไม่เจองูเงี้ยวเขี้ยวขออะไร พบก็แต่กิ้งก่าที่วิ่งตัดหน้าไป 2-3 ตัวเท่านั้นเอง
เดินฝ่าแดดที่ร้อนระอุมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงช่วง Dipsea Trail ที่เราจะกลับเข้าไปในเขตป่าเขียวชอุ่มอีกครั้ง และคราวนี้เป็นการเดินลงเขา มีบางจุดที่เป็นบันไดและมีที่นั่งให้พักแก้เมื่อย และสิ้นสุดตรงจุดจอดรถบัสพอดิบพอดี
เรานั่งรถกลับไปที่เซาซาลิโตเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ตอนแรกกะว่าจะเดินเล่นในเมืองอีกเล็กน้อย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเพราะเหนื่อยมาก รู้สึกว่าขาเปลี้ยเหลือเกิน เพิ่งมารู้ตัวว่าเหนื่อยมากๆ ก็ตอนที่นั่งหลับหัวกระแทกกระจกรถตอนลงจากเขานี่แหละ
พอถึงในเมืองเราก็ตรงดิ่งไปรับประทานอาหาร แล้วเรียกอูเบอร์เข้าเมืองเพื่อซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต จากนั้นก็กลับที่พักเพื่อไปนอนเอาแรง ก่อนกลับเมืองทะเลทรายในวันรุ่งขึ้น
อีกหนึ่งความประทับใจของเราอยู่บนไฟลต์ขากลับนี่แหละ เพื่อนร่วมงานบอกว่า I have something to show you. แล้วพยักพเยิดให้เราไปเปิดหน้าต่างด้านซ้ายมือของเครื่องบิน และภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่กลางฟ้า หากมองด้วยตาเปล่าจะเห็นว่าดวงใหญ่และสวยมาก
และพอลองไปเปิดหน้าต่างด้านขวามือก็พบกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับเส้นขอบฟ้า ความรู้สึก ณ ขณะนั้นของเราเหมือนกับว่าตัวเองกำลังอยู่ตรงกลางระหว่างกลางวันและกลางคืน เป็นวินาทีที่น่าประทับใจ และดีใจที่เรื่องเล็กๆ เช่นการมองท้องฟ้าแบบนี้จะเป็นความสุขก้อนเล็กก้อนน้อยที่เราเก็บเกี่ยวมาไว้ในใจได้ในทุกวัน
การที่สายตาของเรายังสามารถมองเห็นความงดงามที่ซ่อนอยู่ในเรื่องเล็กน้อยรอบตัว ชื่นชมยินดีกับรายละเอียดเล็กๆ ในชีวิต เป็นสิ่งที่สำคัญจำเป็นต่อใจในวันที่รู้สึกว่าเหนื่อย ชีวิตยาก หรือท้อแท้หมดกำลัง เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเหมือนน้ำที่คอยปลอบประโลมและหล่อเลี้ยงจิตใจของเราไม่ให้เศร้าหมอง หรือเปลี่ยนไปกลายเป็นความแข็งกระด้างเนื่องจากความขมของชีวิตที่พบเจอในทุกวัน อย่าลืมมองหาคะแนนพิเศษประจำวันเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ในทุกๆ วันนะคะ
ด้วยรัก…จากระดับความสูง 39,000 ฟุต
ด้วยรัก…จากทะเลทราย