ปีนี้สอนให้รู้ว่า “เมื่อเดินหลบโคลนไม่ได้ เราก็เหยียบและสนุกกับมันไปเลย” – The TOYS

Highlights

  • The TOYS ศิลปินวัย 23 ที่ตอนนี้เราพูดได้เต็มปากว่าเขาคือเด็กหนุ่มที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางดนตรีของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว อย่างน้อยๆ ก็พิสูจน์ได้จากตารางที่เต็มไปจนถึงเดือนกันยายนปีหน้า
  • บางคนเรียกเขาว่าเป็นปรากฏการณ์ในวงการดนตรีไทย มีน้อยคนนักที่จะโดดเด่นเท่าเขาคนนี้ ชื่อเสียงที่เป็นเหมือนดาบสองคมทำให้เขาถูกสายตาคนนอกจับจ้องตลอดเวลา
  • ปีที่ผ่านมา เราได้ยินเรื่องดราม่าเล็กใหญ่มากมายที่เกี่ยวข้องกับผลงานและตัวตนของหนุ่มคนนี้ เขาเอาชนะคำพูดที่เลื่อนลอยเหล่านั้นด้วยการก้าวข้ามมันไป ไม่เก็บสิ่งใดมาเป็นกังวล และไม่ยอมให้อะไรมาทำลายความสุขของตัวเองได้เลย

“ดีเลยครับ ตั้งแต่กลับมาจากเกาหลีก็ยังไม่ได้นอนเต็มที่เลย เล่นดนตรีแล้วก็ทัวร์ ทัวร์ ทัวร์ ทัวร์”

การถามคำถามเบสิกว่าชีวิตช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง กับศิลปินหนุ่มวัย 23 ที่ฮอตและหาตัวจับยากสุดๆ ในเวลานี้ทำเอาเราตื่นเต้นไม่ใช่เล่น คำตอบแสนธรรมดานี้ก็ทำเอาเราเข้าใจอย่างลึกซึ้งทันทีว่า ชั่วโมงการนอนของเขาน่าจะวิกฤตกว่าพวกเราที่นั่งปั่นต้นฉบับตอนปิดเล่มเสียอีก

วินาทีนี้เราคงไม่ต้องอธิบายว่า ทอย–ธันวา บุญสูงเนิน หรือ The TOYS ชายหนุ่มตรงหน้าเราคนนี้เป็นใคร หรือมีดีอะไรบ้าง หากมองย้อนไปปี 2018 ที่ผ่านมา อดีตเด็กดื้อที่น่าจับตามากที่สุดในฤดูกาลนั้น ได้เติบโตเป็นศิลปินชื่อดังอย่างเต็มตัว มีอัลบั้มแรก มีแฟนคลับมากมาย มีทัวร์ต่างประเทศ ร่วมงานกับศิลปินเบอร์ใหญ่มากมาย อีกทั้งปิดท้ายปีด้วยรางวัลใหญ่ Best New Asian Artist Thailand จากเวที 2018 MAMA Premiere in Korea

ที่แน่ๆ ตอนนี้คิวงานของเขาแน่นเอี้ยดไปจนถึงเดือนกันยาฯ ปีหน้าเรียบร้อย คำว่า ประสบความสำเร็จสุดๆ น่าจะใช้อธิบายสถานะปัจจุบันของศิลปินหนุ่มคนนี้ได้ดีทีเดียว

ในปีที่น่ายินดี เขาเจอกับข่าวคราวดราม่ามากมายที่เหมือนว่าจะทำให้การเดินทางในวงการดนตรีขรุขระ ทั้งกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องตัวตน คำถามเรื่องผลงาน แม้กระทั่งท่ามินิฮาร์ตนิ้วกลาง หรือชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งให้ เราในฐานะคนธรรมดาที่เคยคุยกับเด็กหนุ่มมาสองครั้งสองครา จินตนาการไม่ออกว่าเขาจะผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นไปได้ยังไง

กลับกัน เขาผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาด้วยทัศนคติที่แน่วแน่ของตัวเอง แถมก้าวเท้าเดินหน้าต่อไปอย่างไม่มีหยุด และไม่ยอมให้อะไรมาทำลายความสุขตัวเองได้เลย

แม้จะเอ่ยปากมาว่านอนน้อย แต่อย่างน้อยๆ รอยยิ้มและสีหน้าของเขาก็ทำเอาเราเชื่อสุดใจว่า ปีนี้เป็นปีที่แฮปปี้จริงๆ เขาเรียนรู้อะไรจากปีทองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวดีร้ายมากมายบ้าง เอาล่ะ คำถามต่อไปของบทสนทนาเริ่มขึ้นแล้ว

พอมีเวลาพักผ่อนน้อยมากๆ มันกระทบต่อชีวิตคุณยังไงบ้าง

ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนช้าลงมาสักพักแล้วครับ แล้วเห็นอะไรก็เป็นงานไปหมดเลย วันหนึ่งวันหมดไปกับงาน เหมือนเราไม่ได้มีชีวิตของเราเลย แม้กระทั่งนั่งอยู่ในบ้านก็ต้องทำเพลง ทำโปรเจกต์เพลงต่างๆ เวลาไปกินข้าวที่ห้างหรือข้างนอก ผมก็ต้องถ่ายรูปกับแฟนคลับที่เขามาขอถ่ายรูป ผมรู้สึกว่าทุกๆ ชั่วโมงมันเป็นงานไปหมดเลย ไม่มีชีวิตที่เป็นปกติสักที

ถามจริงๆ อึดอัดไหม

อึดอัด แต่คิดว่าเดี๋ยวคงชินไปเอง แต่นี่มันนานมากแล้ว ไม่ชินสักที (หัวเราะ) ตอนแรกผมอึดอัดแทบทุกเรื่องเลยครับ แต่มันเหมือนผมก้าวผ่านเส้นเส้นหนึ่งมาได้แล้ว เราจะมีความคิดอีกแบบหนึ่ง ในเมื่อเราเดินหลบโคลนไม่ได้ เราก็เหยียบมันไปเลย เราสนุกกับมันไปเลยดีกว่า กลายเป็นว่าผมสนุกที่จะเปื้อน พออยู่กับมันจริงๆ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันสนุกมากๆ เลยครับ

โคลนที่ว่ามันหมายถึงดราม่าต่างๆ ที่คุณเจอรึเปล่า

ทุกอย่างเลย มันคือทุกอย่างที่ชีวิตเราหลบไม่ได้ เพราะมันคือสิ่งที่ชีวิตต้องเจออะไรแบบนี้

ย้อนกลับไปวันแรกๆ ที่คุณตัดสินใจเดินในเส้นทางศิลปิน คิดไหมว่าชีวิตต้องมาเจออะไรหนักๆ แบบนี้

ไม่คิดเลย ไม่มีเหตุผลที่จะต้องคิดด้วยครับ ตอนนั้นผมอายุน้อย ผมยังไม่รู้จักคำว่าวงการดนตรีเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาต้องทำอะไรยังไง ไม่มีความรู้เลย แต่ถ้าจะให้ผมอธิบายตอนนี้ว่าวงการคืออะไร ผมตีความว่ามันเป็นเหมือนโลกอีกใบหนึ่งแล้วกัน มันเป็นโลกที่เรียกว่า money machine, money world คอยที่จะทำทุกอย่างให้กลายเป็นงานไปหมด เป็นโลกใบที่ขัดกับชีวิตอันปกติสุข

ลึกๆ แล้วโหยหาชีวิตอันปกติสุขของตัวเองไหม

ผมโหยหามาก แต่ในเมื่อมันไม่มีเวลาของความปกติ ผมเลยเอามันมารวมกันครับ อะไรจะเกิดขึ้นก็ตามแต่ผมไม่สนใจ ขอแค่ได้ทำทุกอย่างที่ผมชอบ ผมโคตรมีความสุขเลย ผมสนใจแค่เรื่องเดียวคือมันต้องไม่เดือดร้อนใคร ไม่กระทบกับใคร

แต่ถ้าเราพยายามทำอะไรบางอย่างที่มันทำให้เราอึดอัดไปเรื่อยๆ เหมือนที่ดาราศิลปินหลายคนเขามีปัญหาเรื่องนี้ ตอนนี้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมศิลปินดาราถึงเป็นโรคซึมเศร้าง่าย ซึ่งตอนแรกผมไม่เข้าใจเลยเวลาเห็นดราม่าของแต่ละคน สงสัยด้วยซ้ำว่าทำไมเขาต้องเป็นโรคซึมเศร้าด้วย พอมาวันหนึ่งที่เรื่องเหล่านั้นมันมาเกิดขึ้นกับผมบ้าง ผมรู้แล้วว่าผมต้องทำอะไร ผมใช้เท้าเขี่ยมันออกเพื่อให้ผมเดินต่อไปได้อย่างเต็มเท้า

ผมไม่คิดว่าเราจะต้องมีความสุขบนความสุขของคนอื่น งงคำนี้ไหมครับ (หัวเราะ) คือทุกวันนี้ศิลปินดาราทุกคนมีหน้าที่สร้างความสุขให้กับคนดู ส่วนตัวผมทำไม่เป็นครับ ทำได้แป๊บเดียว ผมแค่ชอบทำเพลง แค่ชอบวาดรูป สมมติวันนี้ผมวาดรูป ไม่มีทางที่ผมจะเอารูปที่ผมวาดไปเสิร์ฟที่หน้าใครแล้วบอกให้เขาชอบผลงานของผมเถอะ ผมแค่วาดแล้วตั้งมันทิ้งไว้ ไม่ต้องการให้ใครมาเข้าใจ หรือต้องการให้คนมาชมด้วยนะ ผมแค่แฮปปี้กับวันนี้ วันที่ผมทำงานเสร็จแล้วผมก็วางมันไว้เฉยๆ ใส่บ็อกเซอร์นั่งกินกาแฟรอ

เวลาได้ยินคำว่า ‘The TOYS แม่ง fake’ มีสักแวบไหมที่รู้สึกโกรธ

ผมไม่โกรธ ผมไม่รู้จะโกรธทำไม ผมว่าชีวิตเราสั้นเกินกว่าที่จะมานั่งแคร์ว่าคนอื่นคิดยังไงกับเรา ชีวิตคนเรามันสั้นจริงนะครับ วันๆ หนึ่งมันมีข่าวคนเสียชีวิตตั้งมากมาย ผมแคร์อย่างเดียวคือพรุ่งนี้ผมจะได้รถที่ตัวเองชอบมาขับไหม ผมจะได้กินข้าวที่ผมอยากกินไหม ผมชอบกินเพราะงั้นเรื่องนี้น่าแคร์กว่า จะให้มานั่งห่วงทั้งวันว่าคนจะมองเราเป็นคนยังไง ผมว่ามันไร้สาระ ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรกับชีวิตเราเลย

คุณเป็นคนตั้งใจทำงานเพลงมากๆ ผิดหวังไหมที่คนสนใจติชมตัวตนของคุณมากกว่าผลงาน

ไม่เลยครับ ผมไม่สนใจเลย ตอนเป็นเด็ก ผมยอมรับว่าผมเคยกลัวว่าพี่คนนั้นจะไม่ชอบเรา กังวลว่าทำไมพี่คนนั้นเขามองเราแบบนี้ ทั้งๆ ที่จริงๆ เราไม่ได้เป็นนะเว้ย แต่สุดท้ายต่อให้เราเป็นหรือไม่เป็นแบบนั้น เขาก็มองเรา ตัดสินว่าเราเป็นแบบนั้นแบบนี้อยู่ดี จะมองยังไงก็เรื่องของเขา ผมคิดแบบนี้ ตราบใดที่ผมเดินเหยียบเต็มเท้าอยู่อย่างนี้ ถ้าผมไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ผมก็จะเป็นของผมอย่างนี้

มันไม่ใช่เรื่องที่จะเก็บมาเป็นปัญหาเลยครับ อย่างตอนนี้ผมชอบเรื่องรถสปอร์ตผมก็จะคิดแค่เรื่องรถสปอร์ต ปัญหาที่ผมนอนไม่หลับคือผมไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนสีรถเป็นสีไหน ผมไม่สนใจว่าใครจะบอกผมยังไง ผมมองแค่ว่ารถสีนี้มันสวยในสายตาผมไหม ตอนแรกผมคิดว่าสีส้มสวย แล้วสักพักก็ชอบสีแดง แต่พอชอบสีแดง ผมรู้ตัวว่าผมเป็นคนเบื่อง่าย สุดท้ายสีที่อยู่ได้นานที่สุดคือสีดำ เพราะว่ามันไม่ฉูดฉาด ตอนนี้เลยคิดว่าจะเปลี่ยนเป็นสีดำ

ทำไมถึงจริงจังเรื่องรถและอยากเปลี่ยนสีรถตัวเองขนาดนั้น

จริงๆ ผมชอบมานานแล้วครับ คือตอนเด็กๆ ผมไม่มีปัญญาซื้อรถสปอร์ต คุณนึกออกไหมว่าเราทำได้แค่มองมันอยู่ในโทรศัพท์ วันไหนรถคันที่เราชอบวิ่งผ่านหน้าเราไปเราก็ได้แต่ถ่ายรูป แต่ก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้มันมาเป็นของตัวเอง ผมมีความสุขมากๆ ที่ได้ซื้อของที่เคยอยากได้สมัยก่อน จริงๆ ผมยังไม่เคยเปลี่ยนสีรถตัวเองเลยสักครั้ง ที่อินขนาดนั้นเพราะว่าผมกำลังทำความรู้จักกับ wrap car อยู่ มันเป็นเทคนิคเปลี่ยนสีรถที่เนียนมาก โคตรเนียนเลยอะ ตื่นเต้น (หัวเราะ)

พอมีรถแล้ว คุณมีเวลาขับมันด้วยเหรอ

หึ ส่วนใหญ่นั่งรถตู้เหมือนเดิม (หัวเราะ) บางทียุ่งมากจนต้องย้ายมานั่งคิดเพลง ทำเพลงกันบนรถตู้แล้ว

รู้สึกยังไงเวลาโดนมองว่าพยายามสร้างคาแร็กเตอร์

ส่วนตัวผมดีใจมากเลยที่คนมองว่าผมสร้างคาแร็กเตอร์ เฮ้ย มันเป็นคาแร็กเตอร์เหรอวะเนี่ย คือถ้าคนมองเราเป็นคาแร็กเตอร์ผมว่ามันกลายเป็นเรื่องที่เจ๋งนะ แต่คาแร็กเตอร์ผมไม่ได้มาเพราะผมสร้างมันขึ้นมา มันเกิดจากการที่ผมค่อยๆ เรียนรู้ อย่างที่คนชอบถามว่า ทำไมเมื่อก่อนผมพูดรู้เรื่อง ตอนเด็กๆ ที่เข้าวงการผมถูกปลูกฝังมาว่า “ทอยต้องรู้นะจะต้องตอบอะไร ถ้าทอยขึ้นไปอยู่บนเวที ทอยต้องรู้ว่าจะพูดอะไรนะ” ผมต้องท่องมันเป็นการบ้าน กดกีตาร์ก็ต้องท่อง ไปรับรางวัลผมก็ต้องท่องๆๆๆ มันเป็นมาแบบนี้ครับ

แล้ววันหนึ่งผมก็ท่องมันไม่ไหวเพราะผมมีงานทุกวัน ผมไม่สนแล้ว ผมขี้เกียจท่องอะ ผมก็เลยเริ่มอิมโพรไวส์อะไรหลายๆ อย่างด้วยตัวเองมากขึ้น เริ่มที่จะไม่แคร์ว่าใครจะมองอะไรมากขึ้น กลายเป็นว่าผมเริ่มรู้ตัวว่าสุดท้ายผมเข้าวงการมาเพราะผมชอบทำเพลง แต่ผมไม่ได้ทำเพื่อเสิร์ฟให้คนชอบผมรักผมเถอะนะ ผมน่ารักนู่นนี่ ผมมาถึงวันนี้เพราะผมชอบมันล้วนๆ เลยครับ

แต่อาชีพศิลปินที่ต้องทำตัวให้คนชอบเข้าไว้ มันก็ทำให้คุณมีเงินซื้อรถสปอร์ตนะ

แน่นอนครับ มันคือผลพลอยได้มหาศาล มันมีส่วนทำให้ความคิดผมเปลี่ยนเหมือนกันครับ ไม่ใช่แค่เรื่องที่ผมได้ซื้อรถนะ หลายๆ อย่างที่เราเคยคิดตอนเด็กว่าชาตินี้เราจะได้จับมันไหม ชาตินี้เราจะซื้อบ้านราคานี้ได้เหรอ สุดท้ายเราก็ปล่อยให้ความคิดพวกนี้ผ่านไป กลับไปนั่งฟังเพลงเหมือนเดิมเพราะไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับเราได้ แต่พอมันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วมันทำให้ผมรู้ว่าอะไรที่เคยแพงมันถูกลงเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเงินนะครับ ผมหมายถึงเรื่องอื่นๆ ในชีวิตด้วย ซึ่งตรงนี้มันทำให้ผมแคร์อะไรน้อยลง สุดท้ายผมเลือกที่จะแคร์แค่คนรอบตัว ครอบครัว พี่น้องแฟนคลับ ทีมงาน มันมีค่ามากกว่าการแคร์คนข้างนอกอีก

จริงๆ ผมค่อนข้างเป็นคนที่สนิทกับใครยาก สำหรับคนที่อยู่ในวงการมันเป็นเรื่องที่แย่นะ เพราะเราต้องสนิทกับใครง่ายๆ เพื่อคอนเนกชั่นนู่นนี่ ไม่ใช่เฉพาะวงการเพลงหรอก ผมว่าเราเป็นกันทุกวงการเลย นี่คือข้อเสียของผมจริง ผมพยายามแล้วนะครับไม่ใช่ไม่พยายาม (หัวเราะ) แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมรับว่าผมสนิทกับคนอื่นยากมากๆ

เคยได้ยินว่าทางค่ายส่งคุณไปเรียนการแสดงเพื่อฝึกทักษะการสื่อสาร ได้เรียนแล้วเป็นยังไงบ้าง

ดีครับ เป็นอะไรที่ท้าทายดี แต่สุดท้ายก็เรียนไม่จบคอร์สเพราะไม่มีเวลาไปเรียนต่อ มันเป็นคอร์สการแสดงที่หนักไปทางการสื่อสาร ช่วยให้เรากล้าพูดกับคนแปลกหน้ามากขึ้น การสื่อสารระหว่างเรากับเขาควรจะวางตัวยังไง ควรจะอายคอนแทกต์ หรือสื่อสารด้วยมือแบบไหนยังไง

ตอนแรกๆ ผมมองว่ามันจำเป็นนะ เพราะการที่เราจะทำให้คนชอบเราเยอะ เราก็ต้องน่ารักอะครับ (หัวเราะ) ผมรู้ว่าผมอึดอัดแน่ๆ ผมเลยขอเป็นตัวเองแบบนี้ดีกว่า จริงๆ เมื่อก่อนกลัวคนที่ทำงานด้วยกัน หรือกลัวเพื่อนๆ จะมองว่าผมหยิ่ง คือทำไงได้ล่ะครับ เพราะเราสื่อสารไม่เก่ง เข้าหาคนไม่เป็น ข้อที่เอามาใช้จริงๆ คือข้อที่ครูบอกว่า ถ้าเขาถามเรื่องนี้ เราต้องตอบให้ยาวไว้ก่อน เพราะแต่ก่อนผมเป็นคนถามคำตอบคำ คือผมไม่รู้จะพูดอะไร แต่พอผมพูดเยอะขึ้น ถือว่าเป็นผลประโยชน์ที่มหัศจรรย์ (หัวเราะ)

ประสบการณ์จากหนึ่งปีที่ผ่านมามันสอนอะไรคุณบ้าง

ผมคิดว่าทุกอย่างมันเป็นบทเรียนได้หมด อย่างบันไดที่เราเดินขึ้นมาด้วยกันเมื่อกี้ ก้าวสิบขั้นเสียงมันไม่เหมือนกันสักขั้นเลยเคยสังเกตไหมครับ ทุกก้าวที่เราเดินเสียงมันไม่เคยเท่ากันสักครั้งเลย ผมคิดว่าเส้นทางการเดินทางอะไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณเดินครั้งแรกแล้วกลับมาเดินซ้ำใหม่เรื่อยๆ ผลของมันไม่มีวันที่จะเป็นเหมือนเดิมได้

ความสุขของผมคือการถอดอะไรบางอย่างที่มันคลุมเราอยู่ เช่น เรามีกรอบแบบนี้อยู่ แต่เราไม่เดินตามกรอบ เราแค่เดินไปเรื่อยๆ ของเรา ผมชอบเพราะมันสนุกกว่า ถ้าให้ผมต้องเดินตามกรอบไปเรื่อยๆ ผมขอย้อนกลับไปเป็นคนธรรมดาดีกว่า แต่ทุกวันนี้ผมว่ามันเจ๋งมากเลย เพราะว่าผมจะเดินไปตรงไหนก็ได้ แล้วผมก็จะออกนอกกรอบไปเรื่อยๆ มันเป็นความสุขอย่างเดียวของผม

หมายถึงเรื่องดนตรีหรือว่าทุกเรื่องในชีวิต

ทุกอย่างในชีวิตเลยครับ ไอ้สิ่งนี้มันอยู่กับผมมาตั้งแต่จำความได้ ผมเดินตามกรอบได้ไม่นานเท่าไหร่ เหมือนมันชอบออกไปด้วยตัวของมันเอง ไม่รู้เหมือนกันครับ (หัวเราะ) แต่ผมชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้ รู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่สร้างให้ผมรู้สึกแบบนี้ตลอดเวลาเลย

เมื่อกี้พูดถึงความสุขแล้ว ความทุกข์ของคุณคืออะไร

หิวข้าว อาบน้ำแล้วมันเย็นเจี๊ยบ หรือออกไปเดินแล้วมันร้อนมาก แล้วก็รถติด สิ่งเหล่านี้คือเรื่องใหญ่มากๆ สำหรับผม ส่วนการที่คนมองผมเป็นแบบนู้นแบบนี้ ผมไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นความทุกข์ เรียกว่าไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรเลยดีกว่าครับ

ก่อนหน้านี้ที่มีดราม่าชื่อเล่นของผม ที่บอกว่าผมชื่อเอมไม่ใช่ทอย คือสุดท้ายผมก็เฉยๆ ไม่ได้อะไร ถามแล้วก็ตอบไป สุดท้ายก็มีใครไม่รู้เอารูปและข้อความผมในหนังสือรุ่นมาโพสต์ ซึ่งผมก็ชื่อทอยจริงๆ มันพิสูจน์ว่าข่าวนั้นมันปลอม ผมไม่รู้ว่าผมต้องมานั่งแก้ปัญหาที่ผมไม่ได้ทำไปทำไม ปัญหาที่ต้องแก้อย่างเดียวก็คือกินข้าว ผมต้องอิ่มไว้ก่อนไม่งั้นผมจะทำอะไรลำบาก

ความสำเร็จที่คุณได้รับมาอยู่เรื่อยๆ มีเพลงดัง มีแฟนคลับมากมาย ตารางทัวร์เต็มไปจนถึงเดือนกันยาปีหน้า ไหนจะรางวัลใหญ่ที่ได้รับมาอีก เริ่มเชื่อหรือยังว่าตัวเองเก่ง

ไม่นะ เอาจริงๆ ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหลายๆ คนคิดว่านี่คือความสำเร็จ สำหรับผมความสำเร็จมันเกิดขึ้นตั้งแต่ไลน์แรกที่ผมเขียนเพลง หรืออะไรก็ตามที่ผมทำแล้วผมมีความสุข เช่น กินข้าวมื้อนี้อร่อยมาก นั่งรถตู้เห็นวิวสวยๆ ไอ้เรื่องพวกนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องผลพลอยได้จากความสุข เหมือนที่คุณตันบอกว่าถ้าเราอยากรวย เราต้องมีความสุขก่อน อันนี้บางคนอาจฟังแล้วรู้สึกว่ามันไม่เมคเซนส์นะ พอผมโตขึ้น ผมเลยเข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไง

กลัวไหมถ้าวันพรุ่งนี้ชื่อเสียงของคุณหายไป

ผมไม่ได้ตั้งผังชีวิตตัวเองไว้แบบนี้อยู่แล้ว ผังของผมไม่ใช่การเป็นคนดังหรืออะไร ผมตั้งผังไว้แล้วว่าผมจะต้องทำอะไรก็เลยไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย ก่อนฤดูฝน จะดังก็ดังขึ้นมาแบบดื้อๆ ให้มันเป็นแค่รางวัลเล็กๆ น้อยๆ ที่เราตั้งใจทำเพลงแล้วกันครับ เต็มที่แค่นั้น ถ้ามีคนถามถึงงานที่ประสบความสำเร็จ ผมจะไม่พูดถึงมันเลย ผมจะพูดอย่างเดียวคือ ถ้าวันนี้ผมเขียนเพลงได้หนึ่งบรรทัดผมแฮปปี้แล้วนะ ผมจะตอบแบบนี้ตลอดไป

งั้นอีกห้าปีเราจะกลับมาถามใหม่

ได้ครับ เดี๋ยวผมจะตอบเหมือนเดิม (ยิ้ม)

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ปฏิพล รัชตอาภา

ช่างภาพอิสระที่สนใจอาหาร วัฒนธรรม และศิลปะร่วมสมัย มีความฝันว่าอยากทำงานศิลปะเล็กๆ ไปเรื่อย รวบรวมผลงานไว้ที่ pathipolr.myportfolio.com