​The TOYS : เด็กดื้อทายาทนักร้องดังผู้กลายเป็นศิลปินหนุ่มที่น่าจับตามองที่สุดในฤดูกาลนี้

โอ้โห เกินไปอะ! คือสิ่งที่เราพึมพำในใจหลังจากรู้ว่าเพลง หน้าหนาวที่แล้ว และ ก่อนฤดูฝน ที่เราอินหนักหนาในฤดูนี้ ถูกร้อง เขียนเนื้อ แต่งทำนอง เรียบเรียง โดยชายหนุ่มวัย 21 เพียงคนเดียว

The TOYS หรือ ทอย-ธันวา บุญสูงเนิน ศิลปินน้องเล็กจากค่ายเพลง What The Duck หากไม่นับรวมเพลงที่เขาทำเองร้องเอง ทอยยังเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินอีกหลายคน กับความสามารถทางดนตรีดีกรีแชมป์กีตาร์ระดับประเทศ นอกจากนี้ประวัติการเป็น ‘ทายาทนักร้องดัง’ (ลูกชายคุณนิตยา บุญสูงเนิน และหลานของคุณเจินเจิน บุญสูงเนิน) ก็ยิ่งทำให้ศิลปินหนุ่มคนนี้น่าจับตามอง

เราชวนทอยมาคุยถึงเส้นทางการเข้าสู่วงการเพลง ความดื้อกับการพิสูจน์ตัวเอง งานเบื้องหลังที่เขาชอบและการเป็นศิลปินเบื้องหน้าที่ไม่เคยคิดฝัน นั่งจิบกาแฟแบบสบายๆ ยามบ่ายแก่ๆ สวนทางกับตารางงานที่แน่นเอี้ยดของเขาในช่วงนี้

รู้สึกยังไงที่ทุกคนเรียกทอยว่า ‘ทายาทนักร้องดัง’
ผมโอเคครับ เราเป็นลูกแม่นิตยา หลานป้าเจินเจิน แต่จริงๆ ก็อยากให้ทุกคนรู้ว่า คนในครอบครัวผมไม่ได้อยากให้ผมเข้ามาอยู่ในวงการนี้เลย คุณแม่บอกผมว่า “วงการนี้ไม่มีที่ตรงกลาง ถ้าไม่เจ๋งจริงก็อยู่ไม่ได้แน่ๆ แป๊บเดียวก็ร่วง” พวกเขาไม่เคยสนับสนุน ไม่ให้เรียนดนตรีอะไรเลย เอาแต่ส่งผมไปเรียนอย่างอื่น

คำที่แม่พูดวันนั้นมันไม่ได้ทำให้เราเลิกเหรอ
ผมเป็นคนค่อนข้างดื้อนิดนึงครับ ผมเชื่อฟังแม่ กลัวด้วย แต่ผมดื้อในเรื่องที่รู้สึกว่าไม่จริง คำที่แม่พูดวันนั้น ทำให้อยากพิสูจน์ตัวเอง มีแรงผลักในชีวิตมากขึ้น ตอนอายุ 17 มีค่ายเพลงชวนผมไปเป็นโปรดิวเซอร์ รายได้ก็น่าตกใจสำหรับเด็กคนหนึ่งที่จะหาได้ ตอนนั้นผมรู้ตัวว่ามีเป้าหมายในชีวิตแล้ว ผมมั่นใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ต้องกล้าล้มแล้วครับ ผมดร็อปเรียนแล้วเลือกโอกาสนั้น ไม่ได้ซีเรียสด้วยว่าใครจะมองยังไง

ตอนนั้นไปที่ไหนก็ไม่มีใครยอมรับผม หมายถึงว่าเขาไม่เชื่อว่าผมจะทำได้ เพราะว่าผมดื้อ
แต่ข้อดีคือมันทำให้เราได้เรียนรู้ เรื่องนี้เราทำไม่ได้จริงๆ ก็จบไป ลองทำอย่างอื่น ถ้าเรื่องไหนที่เราทำมันได้ก็เก็บตรงนั้นทีละนิดทีละหน่อย มาสร้างเป็นสิ่งใหม่ ผมว่าผมคิดไม่ผิดเลย ตอนนี้ผู้ใหญ่บางคนที่ไม่เคยเห็นด้วยกับผม เขาเปิดมากขึ้น เพราะเขาเห็นสิ่งที่ผมทำได้แล้ว

ตอนนั้นทอยทำอะไร ค่ายเพลงถึงชวนไปเป็นโปรดิวเซอร์
ผมเริ่มอัดงานให้พี่ที่ห้องอัดครับ ปกติซ้อมดนตรีกับเพื่อนที่นั่น เหมือนกับว่าวันนั้นเขาจะอัดเสียงกีตาร์แต่ขี้เกียจโทรตามเพื่อน เห็นผมว่างอยู่พอดีเลยชวนอัดเสียงกีตาร์แทน ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะทำได้ พอลองเล่นคอร์ดดูก็พอใช้ได้ หลังๆ เริ่มได้อัดเสียงกลอง ทำนั่นทำนี่ไปเรื่อยๆ ก็เลยได้รู้จักผู้ใหญ่มากขึ้น

การไม่ไปเรียนเหมือนคนอื่นทำให้ทอยต้องเจออะไรบ้าง
ตอนแรกๆ ก็มองว่าเป็นอุปสรรคเหมือนกัน ในขณะที่เห็นทุกคนไปโรงเรียน ผมก็นั่งคิดตลอดว่าจะทำยังไงกับชีวิตดี มันมีช่วงที่ท้อนะ แต่เรารู้ว่ามีจุดหมายอยู่ แค่ยังไม่เห็นมันเฉยๆ พอทำงานไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง ผมเชื่อมาตลอดว่าการเรียนเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แต่โอกาสก็เป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกัน ที่ผมมีวันนี้ได้เพราะการเรียนรู้จากสิ่งรอบๆ ตัวที่มันให้แรงบันดาลใจกับผมครับ

ช่วงที่เป็นโปรดิวเซอร์แล้วมีรายได้เข้ามา ครอบครัวก็ปล่อยมากขึ้นครับ หลังจากนั้น ผมได้แชมป์ Overdrive Guitar Contest 9 ตอนอายุ 19 น่าจะเป็นเวทีที่ช่วยพิสูจน์ให้ที่บ้านได้เห็นว่าผมทำได้จริงๆ นะ เพราะมันเป็นเวทีประกวดกีตาร์ที่ใหญ่ที่สุดในไทยและกรรมการเป็นชาวต่างชาติผู้ทรงคุณวุฒิทั้งนั้น

เตรียมตัวหนักแค่ไหนก่อนลงแข่ง Overdrive
ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย กะสมัครไปฮาๆ ด้วยตอนนั้น ผมส่งเดโม่ไปในวันสุดท้ายที่เขารับสมัคร ผมไม่เคยมีกีตาร์เป็นของตัวเองก็เลยไปยืมพี่แชมป์-ธนัช เมทะนะยานนท์ มือกีตาร์วง Instinct มา กล้องที่ถ่ายก็เป็นของเพื่อน ไม่คิดว่าจะเข้ารอบหรือว่าได้แชมป์อะไร ตั้งแต่เด็กผมก็ไม่เคยเรียนกีตาร์ ผมชอบฟังต่างประเทศ หยิบเอาเทคนิคที่ผมชอบมาผสมให้เป็นเทคนิคของผมแค่นั้น จากที่เป็นแค่เด็กเล่นกีตาร์ธรรมดาๆ แต่พอชนะขึ้นมาชีวิตเปลี่ยนนิดนึงครับ มีคนมาชวนไปทำงานเกี่ยวกับกีตาร์เยอะขึ้น

เป็นแชมป์กีตาร์แต่ไม่มีกีตาร์เป็นของตัวเอง
ใช่ครับ ผมเป็นคนไม่ชอบกีตาร์เลยไม่คิดที่จะซื้อ ตอนแข่งผมก็ยืมเขามาไม่ใช่แค่ Overdrive เวทีเดียวนะ ตอนอายุ 14 ผมแข่งเวที Light Ibanez Guitar Solo Competition 2014 ได้ที่ 2 ของประเทศ ผมก็ยืมกีตาร์พี่แชมป์เหมือนกัน ตอนอายุ 17 ผมได้ที่ 5 ของโลกจากเวที Kiesel
Guitars Solo Contest ผมก็ยืมกีตาร์พี่ช่างภาพที่รู้จักกันมา ผมคิดว่าผมชนะเพราะผมไม่ชอบมันด้วยแหละ ถ้าผมเล่นกีตาร์ให้เป็นกีตาร์ ทุกวันนี้ผมคงไม่มีรางวัลอะไรพวกนี้หรอก

อยากเล่นกีตาร์ให้ได้ผลลัพธ์เป็นอะไร
ผมชอบเล่นกีตาร์ให้เป็นอย่างอื่น ถ้าเป็นกีตาร์โปร่ง ผมก็เล่นให้มันเป็นกลองที่ผมชอบไปเลย เลียนแบบเสียงกลองให้ได้ใกล้ที่สุด ถ้าเป็นกีตาร์ไฟฟ้าผมก็เลียนแบบเสียงเปียโน การที่เราชอบอะไรมากๆ เราก็จะพยายามให้มันเป็นสิ่งนั้น ผมชอบตีกลองมากๆ กลายเป็นว่าผมพยายามทำให้มันเป็นแค่กลอง แต่การที่ผมทำในสิ่งที่ผมไม่ชอบอย่างเล่นกีตาร์ ใช้มันสร้างอะไรใหม่ๆ ผมว่ามันท้าทายดีครับ

มาร่วมงานกับค่าย What The Duck ได้ยังไง
เขารู้ว่าเราทำอะไรมาบ้าง ก็เลยชวนครับ จริงๆ ผมไม่เคยฝันว่าจะเป็นศิลปินเลย The TOYS มันเริ่มมาจากจุดที่ผมไม่ได้คิดไว้ เพลง หน้าหนาวที่แล้ว ผมอยู่ในนามโปรดิวเซอร์แล้วต้องการส่งเพลงนี้ไปที่ค่ายเพลงค่ายหนึ่งเพื่อให้คนอื่นร้อง เขาฟังแค่ครึ่งเพลงก็ปฏิเสธกลับมาเลย ผมเสียดายเพลงนี้เลยเอามาปล่อยในช่องยูทูบ The TOYS พอ 2 ปีผ่านไป ก็มีคนเข้ามาฟังประมาณ 30 ล้านครั้ง ดีใจมากเลยครับ

สิ่งที่ทอยเรียนรู้จาก หน้าหนาวที่แล้ว คืออะไร
ตอนโดนปฏิเสธครั้งนั้นมัน ‘เคย’ ทำผมเชื่อว่าต้องทำเพลงให้แมส ต้องทำท่อนนี้ให้คนจำ ทำยังไงก็ได้ให้ยัดหูคนที่สุด แต่ตอนนี้ความเชื่อของผมมันพลิกอีกรอบเพราะเพลงนี้ ไม่ใช่แค่เพลงผมนะ เพลงคนอื่นที่ผมฟังครั้งแรกแล้วคิดว่ามันต้องมาแน่ๆ แต่ดันไม่มา มันทำให้ผมเห็นว่าทิศทางของคนฟังก็เปลี่ยนไป วงการเพลงในตอนนี้มันคาดเดาอะไรไม่ได้จริงๆ

เล่าเกี่ยวกับ ก่อนฤดูฝน ซิงเกิลล่าสุดให้เราฟังหน่อย
ผมเขียนเพลงนี้จากวันที่ฝนตกกับเพื่อนนั่งคุยกันว่า เห็นฝนตกวันนี้ มันทำให้เรานึกถึงวันก่อนๆ บรรยากาศเก่าๆ ที่อยู่กับคนคนนึง พอมาวันนี้มันไม่มีแล้ว แต่ฝนก็ยังคงตกอยู่ เพลงที่พูดถึงฤดูกาล มันสื่อสารง่ายดี เหมือนพาคนฟังไปเที่ยวในฤดูฝน ผมชอบการเล่าเรื่องที่คนฟังจะไปด้วยกันกับผม

คนฟังหลายคนติดใจกับท่อนแรพที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ทำไมทอยถึงแต่งท่อนนี้
มันเป็นกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ ให้คนฟังไม่รู้เรื่องครับ ถ้าผมเลือกทำเพลงให้คนฟังเข้าใจได้ตั้งแต่ฟังครั้งแรก ถึงคุณชอบ พอฟังไปเรื่อยๆ ก็คงเบื่อ แต่ถ้าฟังเพลงผมไม่รู้เรื่อง คุณไม่รู้ว่าผมร้องอะไรอยู่ จะใช่คำนี้รึเปล่า คุณจะฟังจนกว่าจะรู้ว่ามันคืออะไร แล้วจะฟังเพลงนี้ได้นานขึ้น แปลว่าเราจะอยู่ด้วยกันได้นานขึ้น

ระหว่างอาชีพโปรดิวเซอร์กับศิลปิน ชอบอันไหนมากกว่ากัน
ผมชอบการเป็นโปรดิวเซอร์ครับ สนุกกับการเป็นคนเบื้องหลังมากๆ เพราะผมทำโปรดิวซ์ตั้งแต่แรกด้วย มันเป็นตำแหน่งเดียวที่ได้คิดงานเต็มที่ ได้แสดงสิ่งที่ผมคิดออกมา นำเสนอเสียงในหัวเราได้เต็มที่ที่สุดแล้ว อีกอย่าง ถ้าไม่มีโปรดิวเซอร์ธันวาคนนี้ ก็อาจจะไม่มี The TOYS ผมอาจจะไม่มีทุกอย่างเหมือนวันนี้ก็ได้ครับ

ให้น้ำหนักกับการทำเพลงให้คนอยากฟัง และการทำเพลงที่เราอยากทำยังไง
ถ้าเป็นโปรดิวเซอร์ต้องทำตามโจทย์อยู่แล้วครับ แต่ถ้าเป็น The TOYS นะ 80 เปอร์เซ็นต์ผมให้เพลงที่อยากทำอีก 20 เปอร์เซ็นต์คือทำเพลงให้คนที่อยากฟัง ผมไม่เคยมองว่าเพลงจะขายได้หรือไม่ได้ The TOYS เป็นแบบที่อยากทำอะไรทำ ทาง What The Duck ก็ค่อนข้างให้อิสระในเรื่องนี้

ส่วนใหญ่ผมจะเขียนเพลงจากความรู้สึก ณ ตอนนั้น สมมติว่าเราเจอเรื่องแย่ๆ พรุ่งนี้เราเขียนเลย มันจริงใจและสื่อสารได้ตรงกว่า ถ้าเป็นเรื่องที่เราคิดเก็บไว้อยู่แล้ว เหมือนว่าเราต้องพยายามเอาสิ่งนั้นกลับมาใหม่ มันให้ความรู้สึกที่ต่างกันนะ ตัวแนวเพลงก็เหมือนกัน ถ้าวันนี้ผมอินกับแนวอะไรอยู่ ก็จะหยิบมันมา

การทำงานคนเดียวมันเหนื่อยนะ ทำไมถึงเลือกทำเพลงเองคนเดียว
ส่วนตัวมันเหนื่อยกว่า แต่เป้าหมายชัดเจนกว่า สมมติว่าเราเล็งไปที่ 5 เราสามารถไปที่ 5 ได้เลย ผมเป็นคนชัดเจนกับอะไรอย่างนั้นอย่างเดียว เล็งไปแล้วต้องยิงตรงนั้นอย่างเดียว ไม่ได้แปลว่าผมไม่วางใจคนอื่นนะ ถ้ามีทีมงาน บางคนอาจจะเล็งไปที่ 9 บางคนไปที่ 1 คงต้องจูนกันนิดนึง แต่ละคนก็ต้องมีความชอบ มีแนวทางของตัวเองเป็นธรรมดาครับ

เวลาทำงานกับศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ รู้สึกกดดันบ้างมั้ย
ตอนแรกๆ เป็นอย่างนั้น เลยบอกพี่ๆ ไปว่าอย่าคาดหวัง ผมทำในแนวของผมให้ดีที่สุดละกัน เพราะถ้าเหมือนคนอื่นเขาก็ไปจ้างให้คนอื่นทำได้ ผมคิดแค่นั้นครับ หลังๆ เป็นความเคยชินด้วย ไม่กดดันแล้ว การมีคนไม่เชื่อว่าผมจะทำงานได้นี่เป็นเรื่องปกติมากๆ แต่ผมชอบนะ ถ้ายิ่งมีแรงบางอย่างที่พยายามกด ผมก็จะยิ่งเดินเข้าไปหาหน้าดื้อๆ เลย

ที่มาถึงจุดนี้ได้ ทอยคิดว่าเป็นเพราะอะไร
ผมว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นเพราะโชคนะ หลายๆ อย่างมันเป็นโอกาสมากเลย ถ้าไม่เจอพี่ห้องอัดวันนั้น ก็อาจจะไม่ได้เป็นโปรดิวเซอร์ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง เพราะคนเก่งเขาต้องเชี่ยวชาญในด้านนั้น ซึ่งผมไม่มี ผมชอบเรื่องจินตนาการ ชอบผสมอะไรที่เขาไม่กล้าคิดไม่กล้าทำ ชอบเรียบเรียง เขียนเนื้อเพลงให้ศิลปินที่ผมชอบมาร้อง มีโอกาสได้ทำเพลงอีกหลายๆ แนวในอนาคต แค่นี้ก็มีความสุขแล้วครับ

ในฐานะคนทำเพลงรุ่นใหม่ ทอยอยากทำอะไรให้กับวงการ
ผมอยากยกระดับเพลงไทยให้ขึ้นไปแตะระดับเพลงสากล ผมอยากให้ต่างประเทศฟังเพลงไทยบ้าง มันน่าจะรู้สึกดีมากๆ เลยถ้าหากเราไปต่างประเทศ เดินๆ อยู่ได้ยินเขาเปิดเพลงไทย ผมมองเล็กๆ แค่นี้ก่อนครับ เพราะว่าจริงๆ ถ้าให้ผมทำคนเดียว คงทำไม่ได้แน่ๆ

ขอบคุณสถานที่ดีต่อใจ Hello strangers cafe

ภาพ ปวริศา สันติวิริยกาญจน์

AUTHOR