“สิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งให้ใช้ชีวิตต่อคือดนตรี” UrboyTJ กับ self และปัจจุบันที่ made ขึ้นมาเอง

Highlights

  • UrboyTJ หรือ เต๋า–จิรายุทธ ผโลประการ คืออดีตสมาชิกวง 3.2.1. แห่งค่าย RS ที่ก้าวมาเอาดีในฐานะศิลปินเดี่ยว
  • หลังปลุกตลาดฮิปฮอปไทยให้กลับมาคึกครื้นด้วยเพลง เค้าก่อน และ วายร้าย ทำหน้าที่เป็น PD ประจำรายการ The Rapper Thailand วันนี้เขาตัดสินใจปล่อยอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตชื่อ Selfmade
  • เพราะค้นพบแล้วว่าการเป็นตัวเองนั้นโคตรเท่ นี่คือเรื่องราวชีวิตที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ รอยแผล และความสำเร็จที่เขาสร้างขึ้นเอง

ขณะเขียนบทความนี้พร้อมฟัง 12 เพลงใหม่จากอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตของ เต๋า–จิรายุทธ ผโลประการ หรือศิลปินฮิปฮอปที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีในนาม UrboyTJ ความคิดหนึ่งที่แล่นเข้ามาในหัวเราคือ หากถามว่าทีเจเป็นคนยังไง ผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง เพลงของเขานี่แหละคือคำตอบ

ในคืนวันที่เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มชั้นมัธยมปลายผู้ย้ายสำมะโนครัวและหอบหิ้วความฝันมากรุงเทพฯ เริ่มต้นเป็นศิลปินกลุ่มในฐานะ ทีเจ แห่งวง 3.2.1 เขาคือคนที่ฝากท่อนเวิร์สแสนยียวนชวนติดหูอย่าง ‘ที่ผมใส่เสื้อแดงไม่ได้แปลว่าผมจะแรง ถึงผมรักแมนยูแต่ใจก็อยู่ที่หงส์แดง’ ไว้ในเพลง แค่ที่รัก เพลงสุดฮิตของค่ายกามิกาเซ่ที่เราเชื่อมั่นว่าจนเดี๋ยวนี้วัยรุ่นทั้งประเทศก็ยังร้องตามกันได้

หรือในคืนวันที่เขาตัดสินใจกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะศิลปินเดี่ยว เพลงเชิงตัดพ้ออย่าง เค้าก่อน ก็ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ กลายเป็นเพลงอมตะสุดฮิตประจำร้านนั่งดื่ม ที่หากเพลงนี้ดังขึ้นมาเมื่อไหร่ เสียงท่อนฮิตอย่าง ‘อยากให้เธอไปคุย เธอไปคุยกับเค้าก่อน’ เป็นต้องดังตามมา 

แม้กระทั่งในคืนวันที่เขายังซึมเศร้าจากอาการของโรค เขาก็เลือกจะถ่ายทอดบทเพลงในโปรเจกต์ของซูเปอร์สตาร์เมืองไทยอย่าง เบิร์ด–ธงไชย แมคอินไตย์ ออกมาในเชิงให้กำลังใจ ส่งพลังบวกให้ใครต่อใครเสมอมา

หลายบทเพลงที่ยังแล่นวนทำให้เราหวนนึกถึงหลายๆ คำตอบ และหลายๆ เรื่องราวที่เขาเล่าไว้ในบทสนทนา แม้เสียงร้องในเพลงจะยียวนเพื่อปกปิดรอยเศร้า แต่น้ำเสียงที่สะท้อนความจริงใจและแววตาจริงจังหลังแว่นกันแดดสีดำที่เขาสวมใส่เพื่อปิดบังความเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอในวันที่เรานัดพบเพื่อพูดคุยกันยังเด่นชัด

อะไรคือสิ่งที่สร้างและหล่อหลอมให้เขาเป็นเขาอย่างทุกวันนี้ ประสบการณ์แบบไหนที่เขาผ่านพ้นมาโดยไม่เคยนึกเสียดายหรืออยากย้อนกลับ บางบาดแผลที่ถูกสมานด้วยกาลเวลา ณ วันนี้เขารู้สึกยังไงกับมัน

เปิดอัลบั้ม Selfmade ฟังสักรอบ แล้วค่อยมาอ่านเรื่องราวที่เป็นดั่งไซด์แทร็กประกอบบทเพลงของเขาด้านล่างนี้

ก่อนที่เด็กชายจิรายุทธวัย 13 ขวบ จะได้ฟังเพลงฮิปฮอปเป็นครั้งแรกจากเครื่อง Sony Walkman ของญาติ ชีวิตของเขาเป็นยังไง

ตอนนั้นผมเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงรายแบบเด็กทั่วๆ ไปเลย สมัยประถมที่บ้านยังไม่มีอินเทอร์เน็ต กิจกรรมของผมจะเป็นการปั่นจักรยานรอบหมู่บ้าน ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ แถวนั้น 

 

ในทุกบทสัมภาษณ์คุณจะพูดประมาณว่า ‘ผมเป็นคนโดดเดี่ยว’ ‘ผมไม่ค่อยมีเพื่อน’ แต่สมัยเด็กเหมือนจะต่างออกไป

ใช่ๆ ที่จำได้ตอนประถมก็พอจะมีเพื่อนบ้าง เพราะหมู่บ้านที่ผมอยู่มันเล็กมาก ทุกคนรู้จักกันหมด แล้วตอนนั้นผมก็เป็นเด็กที่ทุกคนเข้าหาเพราะเป็นเด็กเรียน ทุกคนจะมาขอลอกการบ้าน เวลามีงานกลุ่มก็จะมาอยู่ด้วย ซึ่งไม่รู้ว่าดีหรือเปล่านะ แต่ก็ทำให้เรามีเพื่อนที่พอจะคุยได้

ความรู้สึกว่าตัวเองไม่คลิกกับเพื่อนมาเริ่มตอนเรียนมัธยม จบ ป.6 พ่อกับแม่แยกทางกัน ผมเลยถูกส่งไปเรียนโรงเรียนใหม่ที่สภาพแวดล้อมต่างจากโรงเรียนประถมโดยสิ้นเชิงจนเราตกใจ จากโรงเรียนเล็กๆ ดูเป็นคอมมิวนิตี้ที่น่ารัก กลายเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีตึกแปดชั้น มีเวลาพักกินข้าว กินน้ำ ทุกอย่างเป็นระเบียบไปหมด แล้วเราต้องใช้ชีวิตที่นั่นโดยไม่มีเพื่อนสักคน เข้าไปตัวคนเดียวแบบไม่รู้จักใครจริงๆ เราเลยเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย เหมือนอยู่นอกเซฟโซน 

ที่แย่กว่านั้นคือเรียนที่นั่นได้ไม่ถึงสองวัน ช่วงพักกลางวันแม่ก็มาขอรับตัวผมกลับ บอกว่าดีลเรื่องแยกทางกับพ่อเรียบร้อยแล้วและเขาจะเอาผมไปเลี้ยง ผมเลยต้องย้ายออกจากโรงเรียนและตามแม่ไปอยู่จังหวัดเลย ต้องเปลี่ยนไปเข้า ม.1 ในโรงเรียนที่เขาเริ่มเรียนกันไปแล้ว เลยยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด สังคมใหม่เป็นสังคมที่เราไม่คุ้นเคย ผมอยู่ภาคเหนือมาตลอด พูดอีสานไม่ได้ พูดกลางไม่ค่อยเก่ง พออยู่ๆ ต้องย้ายไปแบบนั้นเหมือนวัฒนธรรมในสมองเราเปลี่ยนไม่ทัน ไม่เก็ต รู้สึกเข้ากับใครไม่ได้ ไม่มีเพื่อน เพราะเราแปลกแยกเกินไปตั้งแต่ตอนนั้น 

 

เพราะอย่างนั้นคุณก็เลยหันมาทำเพลง 

ก็ไม่เสียทีเดียว ช่วง ม.1 เป็นช่วงที่ค่อนข้างยากลำบากก็จริง แต่พอขึ้น ม.2 ทุกอย่างก็เริ่มโอเค ผมเริ่มปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมที่นั่นได้ เริ่มมีเพื่อนที่ตอนเช้าสามารถขับมอเตอร์ไซค์มารับเราไปโรงเรียน เลิกเรียนแล้วไปเตะบอล ไปร้านเกมด้วยกัน 

จุดเปลี่ยนมันอยู่ที่ความเป็นเด็กเรียนของเรา จำได้ว่าตอนนั้นผมเรียนภาษาอังกฤษเก่ง พูดสื่อสารได้ เพราะอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวมาก่อน ฟังเพลงสากลมาก็เยอะ ครูเลยส่งเสริมให้เราไปแข่ง public speaking หรือการพูดในที่สาธารณะเป็นภาษาอังกฤษ พอต้องไปอยู่กับครูบ่อยๆ ไปซ้อมนู่นนี่เพราะต้องแข่งไปถึงระดับประเทศ เลยทำให้เพื่อนรู้สึกว่าเราแปลกแยกมากขึ้นอีก เหมือนดูเป็นคนพิเศษ 

 

ครูรังแกฉัน

ไม่นะ ไม่ได้รังแกหรอก เขาก็คงอยากให้เรามีกิจกรรมทำ เพราะเขาก็เห็นว่าเวลาอยู่ในโรงเรียนเราเป็นยังไง ผมจะไม่ค่อยมีเพื่อน จะอยู่แบบเหงาๆ คือตอนนั้นผมเป็นคนที่ใครจะไปไหนหรือทำอะไรก็จะตามติดไปด้วย เพราะเรารู้สึกเหงา ทำอะไรคนเดียวไม่ได้ พอครูเห็นเขาก็เลยให้มาอยู่ด้วย มาเรียนรู้ เตรียมแข่งด้วยกัน แต่ก็นั่นแหละ มันกลับเป็นอีกหนึ่งอย่างที่สร้างความแปลกแยกให้กับตัวผมและสังคมตอนนั้น

 

ถึงขั้นใช้ชีวิตคนเดียวไม่ได้เลยเหรอ นึกว่าคุณจะเป็นเด็กประเภท ‘ถึงเหงา ฉันก็ไม่แคร์’ เสียอีก

(หัวเราะ) ภายนอกดูเหมือนไม่ได้แคร์และแข็งแรงมากๆ ไม่มีเพื่อนก็สามารถอยู่คนเดียวได้ แต่จริงๆ ข้างในผมก็แค่เด็กคนหนึ่งที่อยากมีชีวิตปกติเหมือนคนอื่น มีเพื่อนที่พูดคุยกันได้บ้าง แต่ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนไม่มี

การทำเพลงเลยเริ่มมาจากความเก็บกดนั้น ผมรู้สึกแปลกแยกจนกลับมานึกถึงสิ่งที่เราลืมไปว่าเคยชอบ ผมเคยชอบฟังเพลงมาก จริงๆ ก่อนจะได้ฟังเพลงฮิปฮอปจากญาติ ผมซึมซับเรื่องการฟังเพลงจากพ่อแม่มาก่อน พ่อจะชอบฟังพวก Bee Gees และ Eagles ส่วนแม่จะชอบ โบว์รักสีดำ เราได้ยินได้ฟังอะไรแบบนี้มาตลอด พอดีกับที่ตอนนั้นเริ่มมีอินเทอร์เน็ตเข้ามา เราเลยได้กลับมาฟังเพลงมากขึ้น เริ่มรู้จักเว็บไซต์สยามฮิปฮอป เว็บไซต์ที่กลุ่มคนที่ชอบฮิปฮอปจะมารวมตัวกัน แชร์ความรู้ด้านการทำเพลง ทำ demo ส่งมาขอคอมเมนต์ต่างๆ เราเห็นก็เลยเหมือนเป็นตัวจุดประกายว่าหรือนี่จะเป็นทางออกของเรา เพราะปกติเวลาเครียดมาจากโรงเรียน วิธีการแก้ไขปัญหาของผมคือการเปิดเพลงดังๆ แล้วร้องคนเดียวในบ้าน เต้น ทำอะไรที่ได้ปลดปล่อย เลยเริ่มศึกษา เริ่มทำ

 

จำได้ไหมว่าผลงานตอนนั้นเป็นยังไง

เป็นเพลงฮิปฮอปภาษาไทยที่เล่าเรื่องการปล้นแบงก์ หรือการพยายามเก็บเงินให้เยอะที่สุดเพื่ออะไรสักอย่าง ด้วยความที่เราไม่รู้เลยว่าต้องเขียน ต้องเล่าเรื่องอะไร ก็เลยเล่าตามสิ่งที่เคยฟังมาตอนเด็ก อย่าง 50 Cent ก็จะชอบเล่าเรื่องแก๊งสเตอร์ โดนยิง ปล้นแบงก์ ผมเลยเขียนเรื่องเดียวกัน ทำเสร็จ 5 เพลงก็เก็บไว้ ไม่รู้จะเอาไปให้ใครฟังเพราะเพื่อนไม่ฟังแน่ๆ สมัยนั้นคนนิยมพวกร็อกแมส ฟังโปเตโต้ บอดี้สแลม หรือบิ๊กแอสกัน ผมเลยตัดสินใจว่าถ้าอย่างนั้นหาคนที่สนิทที่สุด ณ ตอนนั้นส่งไปให้เขาฟังแล้วกัน นั่นคือครูสอนภาษาอังกฤษคนเดิม 

ครูฟังแล้วคอมเมนต์ว่าอะไร

ดีนะที่เป็นคนขยันและเก็บเงิน (หัวเราะ) มันเป็นฟีดแบ็กที่เราไม่ได้คาดหวังไว้เลยว่าจะได้ตอบกลับมาแบบนี้ เลยกลับมาพึ่งพิงเว็บไซต์สยามฮิปฮอปอีกครั้ง ตอนนั้นมีช่องทางให้คนอัพโหลดเพลงให้คนฟังแล้ว และผมก็รู้สึกว่าคนที่อัพเพลงลงเว็บเขาก็ไม่ได้ดีหรือแย่ไปกว่าเรา เป็นมือใหม่กันหมด เลยลองอัพโหลดไป คอมเมนต์ที่เราได้ตอนนั้นคือ น่าสนใจดีนะ อุ้ย ครั้งแรกก็ทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ มันเป็นคอมเมนต์แบบให้กำลังใจกันมาก เพราะมันเป็นคอมมิวนิตี้ที่เล็กมาก เราเลยเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย น่าสนใจ เหมือนจะมีทางไปได้ ด้วยกำลังใจเล็กๆ ตรงนั้นที่ไม่รู้ว่าเขาจริงใจหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่เรารู้สึกว่ามันมีคุณค่ามาก 

 

หลังจากนั้นคุณจึงอัพโหลดเพลงเหล่านี้ลงใน Hi5 และได้รับการติดต่อให้ไปออดิชั่นเข้าค่าย RS แต่ก่อนที่แมวมองจะมาเจอคุณเคยคิดฝันอยากเป็นศิลปินมาก่อนไหม 

ความฝันวัยเด็กผมเยอะมากเลยนะ เพราะผมค้นหาตัวเองไม่เจอ ตอนมัธยมต้นผมรู้สึกว่า เฮ้ย การเรียนเราก็ไม่ได้แย่นี่หว่า สามปลายๆ เราก็มีความมั่นใจ อยากจะเป็นหมอ หรืออย่างเรื่องเทคโนโลยีเราก็ชอบ ตั้งโกลไว้ว่าอยากจะเรียนด้านคอมพิวเตอร์ ไปเป็นโปรแกรมเมอร์ เราไม่เคยคิดมาก่อน ไม่มีอยู่ในหัวตั้งแต่เด็กเลยว่าตัวเองจะเป็นศิลปิน จุดเปลี่ยนคือตอนที่เขาเรียกให้ไปออดิชั่น จริงๆ เหมือนเพิ่งมารู้ว่าแพสชั่นในชีวิตเราอย่างหนึ่งคือการฟังเพลง ถ้าเกิดเรามีโอกาสได้เป็นคนที่สร้างเพลงขึ้นมาเองก็น่าจะดี เลยโอเค งั้นก็ลองไปดู 

บรรยากาศวันนั้นเป็นยังไง

จำได้ว่าวันที่ไป ลุคเราไม่ได้เลย ไม่ได้เตรียมตัวอะไรไปเท่าไหร่ เพราะถ้าเตรียมเยอะเราจะล่ก ก็ไปขอเขาร้องเพลงตัวเอง เพลงแนวๆ ปล้นแบงก์ของเรานี่แหละ เขาก็อึ้งๆ กัน บอกว่าเดี๋ยวติดต่อกลับไปนะ ซึ่งคำคำนี้มันน่ากลัวมากๆ เลยสำหรับผม เดี๋ยวติดต่อกลับไป คือไม่ได้แน่ๆ แล้ว แต่เราก็รอเขาติดต่อกลับมา สองวันแรกคือกระวนกระวายมาก ถามแม่ทุกๆ สองชั่วโมง โทรมาหรือยัง มีโทรศัพท์เข้าไหม รอจนเริ่มรู้สึกว่าไม่น่ารอดแล้วว่ะ เตรียมตัวกลับต่างจังหวัด แต่สรุปเขาก็โทรมา บอกว่าเข้ามาเซ็นสัญญาภายในอาทิตย์นี้ได้ไหม ยังจำได้อยู่เลย มันเป็นคำที่รู้สึกว่า เฮ้ย นี่เรากำลังจะได้เป็นศิลปินแล้วเหรอ (หัวเราะ)

 

แต่สุดท้ายภาพความจริงกับภาพความฝันก็แตกต่างกัน

ใช่ (เน้นเสียง) คนละเรื่องเลย ภาพที่เราคิดคือเซ็นสัญญาปุ๊บ ทำอัลบั้ม ได้เป็นศิลปินเลย แต่ความจริงในสัญญาเขาจะเขียนไว้เลยว่า ‘สัญญาจ้างการเป็นศิลปินฝึกหัด’ ตอนนั้นเราไม่รู้หรอก ศิลปินฝึกหัดคืออะไร แค่ได้เซ็นเราก็ดีใจแล้ว ไม่ได้มาสนมาแคร์อะไร อย่างน้อยเราก็อยู่ในสังกัดเขา 

แต่ปรากฏว่าหลังจากเซ็น แพลนทุกอย่างในชีวิตเราก็ถูกเปลี่ยนไปหมด ต้องย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯ ต้องพยายามฟิตอินกับโรงเรียนใหม่อีกแล้ว เป็นปัญหาเดิมๆ เข้ากับเพื่อนที่โรงเรียนไม่ได้ ยิ่งครั้งนี้ผมต้องเข้าไปแบบถูกจับจ้องด้วยคำว่า ‘ไอ้นี่เด็กใหม่นี่ เป็นเด็ก RS’ พอเราต้องอยู่ไปเรื่อยๆ กับคำพูดที่ว่าจะสามปีแล้วมึงยังไม่มีผลงานเลย มันเลยยิ่งกดดันเรามากขึ้น เหมือนเป็นการรอคอยที่เรามองไม่เห็นอนาคตเลยว่าจะได้เป็นศิลปินจริงๆ หรือเปล่า คือความรู้สึกเราตอนแรกมันยิ่งใหญ่มาก แต่สิ่งที่เป็นจริงๆ มันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย ก็แค่การเข้าไปบริษัทเพื่อซ้อมร้องเพลง ซ้อมเต้น วนอยู่อย่างนี้เป็นปีๆ บวกกับตอนนั้นเป็นช่วงที่เราเจอกับจุดเปลี่ยนของชีวิตอีกเรื่อง คือเรามีเพื่อนเป็นรุ่นพี่ที่อยู่ชมรมกีฬา เป็นเด็ก ม.6 พอพวกนั้นเรียนจบไปขึ้นมหาลัยฯ ความรู้สึกว่าไม่มีเพื่อนเลยกลับมา จนเรารับความรู้สึกเหล่านี้ไม่ไหว ไม่อยากไปโรงเรียน เลยตัดสินใจบอกแม่ว่าขอลาออกได้ไหม

ทั้งๆ ที่ก็ผ่านการพลัดพรากมาหลายหน ย้ายโรงเรียนมาหลายรอบ ทำไมครั้งนี้เราถึงรับความรู้สึกไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

ผมว่าเรื่องอย่างนี้มันชินไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องของความรู้สึก การเจอความผิดหวังบ่อยๆ ถึงบางคนจะบอกว่าชิน แต่จริงๆ ลึกๆ แล้วก็ต้องเจ็บปวดอยู่บ้าง ไม่มีทางทำใจได้หมด

สำหรับผมมันเป็นความรู้สึกที่ว่าเวลาคาดหวังอะไรมันจะไม่เป็นไปตามคาดเสมอเลย ผมเลยยิ่งรู้สึกแย่ไปเรื่อยๆ แล้วตอนเด็กผมเป็นคนไม่อยู่กับปัจจุบัน ชอบคิดถึงอนาคต ใช้ชีวิตอยู่กับอนาคตที่ยังไม่เกิด ผมเลยยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก

ตอนนั้นเหมือนผมรับความผิดหวังไม่ได้เลยตัดสินใจลาออกโดยบอกแม่ว่าอยากโฟกัสกับการเป็นศิลปินฝึกหัด ดีที่ตอนนั้นได้ทำงานเบื้องหลังมากขึ้นด้วย พี่ๆ โปรดิวเซอร์เริ่มเห็นแววแล้วให้โอกาสเรา ให้แต่งเพลงให้กามิกาเซ่ ให้เราไปเป็นเบื้องหน้า ร้องเพลงฟีตเจอริงให้หวาย เริ่มได้อัดเสียง ได้ออกไปถ่ายมิวสิกวิดีโอจริงๆ มันเลยยิ่งทำให้เราตื่นเต้น คิดว่าเราเข้าใกล้ความฝันมากขึ้นทุกทีแล้ว ถึงแม้จะยังไม่ได้เป็นศิลปินเต็มตัว แต่ก็ยังได้ทำงาน 

 

รอมานานตั้งหลายปี นาทีที่รู้ว่าตัวเองจะได้เดบิวต์เป็น 3.2.1 รู้สึกยังไง

ช็อก เรามารู้ว่าตัวเองจะไม่ได้เดบิวต์เป็นศิลปินเดี่ยวตอนที่เขาประกาศว่ามีแพลนจะทำกามิกาเซ่รุ่นสอง ด้วยความที่ผมสนิทกับโปรดิวเซอร์อยู่แล้วเลยรู้ก่อนว่าจะมีวงอะไรบ้าง บอยแบนด์ เกิร์ลกรุ๊ป ฮิปฮอป เดี่ยวชาย-หญิง แล้วเขาก็บอกว่าวงฮิปฮอปนั่นแหละคือวงเรา 

(นิ่งคิด) ตอนนั้นผมค่อนข้างช็อกว่าทำไมเราถึงต้องไปอยู่ในวง คือผมมั่นใจในฝีมือการทำเพลงที่ไม่เหมือนใครของเรา แต่ด้วยศักยภาพ ความสามารถ และความไม่พร้อมหลายๆ อย่าง ผมจึงไม่สามารถแบกการเป็นศิลปินเดี่ยวได้ แล้วค่ายก็ตัดสินใจมาให้แล้วว่าจะทำเป็นวง ก็โอเค ตามนั้น ยอมรับได้ แค่คิดว่าอย่างน้อยก็ได้ทำ

ตอนนั้นผมเลยเริ่มทำงานเบื้องหลังกับโปรดิวเซอร์ล่วงหน้าไปก่อนเลย รอแค่ขั้นตอนต่อไปคือออดิชั่นหาสมาชิกในวงเพิ่ม 

รู้สึกฝืนบ้างหรือเปล่ากับการเป็นสมาชิกวง 3.2.1. 

ถ้าเป็นด้านเพลง ผมว่าผมโอเค เพราะตอนนั้นเราก็ร่วมเป็น co-producer ทำงานกับพี่ๆ เบื้องหลังมาตลอดอยู่แล้ว คอยให้ความเห็น ให้คำแนะนำตามสิ่งที่เรารู้ แล้วเขาก็จะให้ในสิ่งที่เขารู้มาผสมผสานกัน ผมเลยรู้สึกว่ากับเพลงผมโอเค อาจจะไม่ได้ถึงขนาดร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะก็มีบางเพลงที่ไม่ได้เป็นตัวตนของเราจริงๆ แต่เราต้องทำเพราะความเป็นวงก็เข้าใจได้ แต่สิ่งที่เข้าใจไม่ได้คือลุคที่เขาแต่งผมออกมา เป็นอะไรก็ไม่รู้ (หัวเราะ) เราไม่ได้อยากมีลุคอย่างนั้นเลย 

 

พูดได้ไหมว่าการเป็นสมาชิก 3.2.1. ถือเป็นความภาคภูมิใจของคุณ

ผมเรียกว่ามันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีแล้วกัน ถ้าไม่ได้อยู่ในวง ไม่ได้อยู่กับ RS มา ทุกวันนี้ผมก็คงไม่สามารถทำสิ่งที่ทำอยู่ได้ เพราะสิ่งที่ RS สอนเป็นสิ่งที่ไปเรียนที่ไหนไม่ได้ ไม่มีแน่นอน ไม่มีทางสอนได้ มันไม่ใช่แค่การสอนทำเพลง แต่มันเป็นการสอนมายด์เซต สอนแอตติจูด สอน music business บริษัทเขาใหญ่ ทำเพลงมาหลายสิบปี สิ่งที่เขาเรียนรู้ถูกถ่ายทอดมาให้เราทั้งหมด มองกลับไปมันเลยเป็นประสบการณ์ที่เราภูมิใจที่ได้เจอ

 

กามิกาเซ่หล่อหลอมให้คุณเป็นอย่างทุกวันนี้

ใช่ ตอนที่เราเข้าไปในกามิกาเซ่ใหม่ๆ เราเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ใสซื่อบริสุทธิ์ เป็นเหมือนกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง เข้าไปให้คนในค่ายวาดภาพต่างๆ ที่เขาคิดว่าเราควรจะได้รับ จนวันนี้อันไหนที่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรา เราก็พยายามจะทิ้งมัน อันไหนที่เรารู้สึกว่ามันดีต่อเรา เราก็เก็บไว้ ทุกวันนี้สิ่งดีๆ หลายอย่างก็ยังอยู่ในกระดาษแผ่นนั้น  

อะไรคือสิ่งที่คุณเลือกจะสลัดทิ้งไป

(นิ่งคิด) อีโก้ มันต้องลดทิ้งไปเยอะมากๆ ในการทำงานเป็นวง เมื่อก่อนผมเป็นคนอีโก้สูงมาก ตอนกำลังเตรียมปล่อยอัลบั้มของ 3.2.1 เคยมีจังหวะที่เรานั่งประชุมกันหลายคนมาก มีทั้งสมาชิกในวง โปรดิวเซอร์ ผู้ใหญ่ แล้วก็มีอะไรสักอย่างดลบันดาลให้ผมลุกขึ้นแล้วบอกว่าถ้าต้องทำวงกับสมาชิกอีกสองคนนี้ผมขอออก ไม่ทำดีกว่า เดินหนีออกจากห้องประชุมจนโปรดิวเซอร์ต้องออกมาตามแล้วบอกว่าให้ลองดูก่อน ถ้ามันไม่สำเร็จเราจะได้รู้ แล้วก็ค่อยเรียนรู้กันต่อไป แต่ถ้ามันสำเร็จขึ้นมาเราจะได้มีกำลังใจทำต่อ

ซึ่งเพลงแรกที่ปล่อยไปก็ไม่สำเร็จจริงๆ เขย่า เป็นเพลงที่แป้กมากๆ คนไม่รู้จัก และเป็นเพลงที่ส่วนตัวผมเองก็ไม่ชอบด้วย ผมบอกทุกคนตลอดว่า นี่ไง บอกแล้ว มันไม่เวิร์ก แต่เขาก็ยังยืนยันว่าเพลงต่อไปมันจะเวิร์ก เขาบอกผมอย่างนี้มาตลอด บอกเหมือนรู้ สุดท้ายตอนที่เพลง แค่ที่รัก มันเวิร์กจริงๆ เราเลยเริ่มมีความมั่นใจ เริ่มเชื่อมั่นในทีมงานเบื้องหลังของเรา และความสามารถของตัวเองในมุมที่ว่า เออ เราก็มีส่วนร่วมในการทำเพลงนี้นี่หว่า เริ่มมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมา

 

ว่ากันตามตรง 3.2.1. ก็ประสบความสำเร็จมาตลอดนับแต่นั้น แล้วตั้งแต่ตอนไหนที่คุณเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ยินดีกับความสำเร็จเหล่านั้น 

ช่วงที่เราโด่งดังมากที่สุดในชีวิตจากเพลง แน่นอก

ตอนนั้นทัวร์ทุกวัน ทำงานจนไม่ได้นอน ทุกคนชื่นชมยินดีมาก แต่ผมไม่มีความสุขเลย ไม่รู้ทำไม ไม่รู้เพราะอะไร รู้อย่างเดียวคือเราไม่แฮปปี้ ยิ่งหลังจากนั้นไม่นาน 3.2.1. ก็หมดสัญญาอีก เราเลยยิ่งเคว้งคว้าง เพราะสิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งให้เราใช้ชีวิตต่อคือดนตรี ตัดตรงนี้ออกไปแล้วเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรต่อ ในเมื่อหนังสือเราก็ไม่ได้เรียน ที่บ้านก็ไม่ได้มีเงิน และสิ่งเดียวที่ผมโฟกัสในชีวิตตลอดมาก็คือดนตรี

ในช่วงหนึ่งปีที่หมดสัญญาแล้วว่างงาน ผมรู้สึกแย่ในทุกๆ คืน โทษตัวเองเสมอว่าเป็นเพราะเราทำงานไม่ดีออกไปหรือเปล่า เป็นเพราะนิสัยของเราหรือเปล่า คือตอนที่อยู่ใน 3.2.1 มันก็มีปัญหาเยอะแยะมากมายที่ทุกคนไม่รู้ และด้วยคาแร็กเตอร์ ด้วยวิธีคิด ด้วยความที่เราเป็นคนอีโก้สูงและเอาแต่ใจ เราเลยเป็นคนที่ถูกเรียกเข้าไปคุยบ่อยที่สุดจนมันเป็นปม 

การเดินทางในชีวิตผมเหมือนค่อยๆ สร้างปมในชีวิตขึ้นมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งปมมันใหญ่มากจนเราเริ่มแบกไม่ไหว คนรอบข้างเริ่มสังเกตเห็นว่าเด็กคนนี้เปลี่ยนไป จากที่เป็นเด็กร่าเริง ใช้ชีวิตปกติ ก็เริ่มกลายเป็นคนเงียบๆ ไม่คุยกับใคร ชอบหนีไปอยู่คนเดียว ซึ่งคนแรกที่สังเกตเห็นและเรียกผมไปคุยคือ เขื่อน K-OTIC เขาชวนไปกินข้าวด้วยกัน แต่แค่เข้าไปนั่งยังไม่ทันพูดอะไรเลย เขาก็พูดทุกอย่างที่เรารู้สึกออกมา ตรงเหมือนหมอดู สุดท้ายเขาเลยเฉลยว่า เขาก็เคยเป็น เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาเหมือนกัน เคยรู้สึกแบบเดียวกัน แต่เพราะไปหาหมอ ไปพบจิตแพทย์ชีวิตเขาเลยดีขึ้นมา

 

สุดท้ายหมอก็วินิจฉัยว่าคุณเป็นโรคซึมเศร้าจริงๆ

ใช่ ในขั้นรุนแรง เอาจริงๆ อาการของโรคมันก่อตัวมาตั้งแต่ตอนเราเป็นเด็กแล้วแหละ เพียงแต่เราไม่รู้ตัว เราผ่านประสบการณ์ที่พ่อแม่แยกทางกันแบบ bad ending ทะเลาะกัน ใช้ความรุนแรง แม่หนีออกจากบ้าน พ่อไม่เลี้ยง เราต้องไปอยู่กับคนข้างบ้าน มันเป็นประสบการณ์ที่เด็กคนหนึ่งไม่ควรจะเจออะไรแบบนี้ จนความรู้สึกขาดความอบอุ่นค่อยๆ ก่อตัวสะสมมาเรื่อยๆ ในใจ ในสมองเรา เราเข้ากับเพื่อนไม่ได้ ไปโรงเรียนก็รู้สึกแปลกแยก ทุกคนมองเราด้วยสายตาที่แปลกประหลาด 

ผมรู้สึกโทษตัวเองตลอดนะไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะโทษตัวเองตลอดว่าทำไมเราถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมเราถึงทำอย่างนี้ ทำไมเรานั่นนู่นนี่ พอรู้ว่าเราเป็นโรคนี้เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันเซอร์ไพรส์อะไร เพราะยังไงในจิตใจลึกๆ แล้วเรารู้ว่าเราไม่ปกติ แค่หมอมาบอกว่าอาการที่เราไม่ปกตินั้นชื่ออะไร ก็แค่นั้น ซึ่งทุกวันนี้ก็มาเป็นโรคสมาธิสั้นเพิ่มอีก กับโรคซึมเศร้าก็ยังรู้สึกว่าไม่ดีขึ้น ยังรักษาอยู่ (ยิ้ม)

 

แต่คุณก็กลับมาอีกครั้งในฐานะศิลปินเดี่ยว ทั้งๆ ที่ก่อนจะปล่อยเพลง เค้าก่อน คุณเคยบอกว่าเป็นช่วงที่คิดเยอะมาก ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถเป็นศิลปินเดี่ยวได้จริงๆ หรือเปล่า อะไรทำให้สุดท้ายก็ตัดสินใจลงมือทำในที่สุด 

อย่างที่บอกว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมแฮปปี้คือดนตรี การเป็นโรคซึมเศร้าแล้วหาความสุขให้ชีวิตตัวเองไม่ได้มันทรมานมากๆ แต่ทุกครั้งที่เราได้ทำ ได้เขียน ได้อธิบายเรื่องราวต่างๆ ลงไปในเพลง มันแฮปปี้ ถึงแม้จะไม่ได้ปล่อยเพลงออกมาเป็นซิงเกิล หรือสถานะเราจะไม่ได้เป็นศิลปินแล้ว แต่เราก็ยังทำเพลงเก็บไว้เรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนที่หมดสัญญา เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เราแฮปปี้ จนวันหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่าเราจะทำไปทำไมวะ ถ้าจะไม่ปล่อยให้ใครฟังแล้วจะเก็บไว้ทำไม มันเหมือนแค่เป็นความรู้สึกว่าก็ไม่ได้เสียหายอะไรถ้าจะปล่อยออกไปให้คนได้ฟัง

อะไรคือจุดที่เข้ามาเติมความมั่นใจนั้นของเราให้เต็ม

วันนั้น วันที่ผมขึ้นเวทีในฐานะศิลปินเดี่ยวครั้งแรก

ตอนนั้นมีคนมาจ้างให้ไปเล่นคอนเสิร์ตที่มหาสารคาม ทั้งที่ผมมีเพลงอยู่ในสต็อกแค่สองเพลง จำได้ว่ามีคนไปรอรับที่สนามบิน ตอนเข้าไปที่คลื่นวิทยุก็มีเด็กๆ ยืนล้อมกระจกเต็มไปหมด แล้วผมต้องเล่นตอนเที่ยงคืน แต่ก็มีคนไปรอซื้อบัตร ไปนั่งรอ ไปจองโต๊ะตั้งแต่สี่โมงเย็นแล้ว มีคนเกือบพันไปดูเราเล่นเพลงไม่กี่เพลง

ผมเลยรู้สึกว่า เฮ้ย มันคืออะไรวะ เซอร์ไพรส์มากว่ามีคนสนใจเราขนาดนี้เลยเหรอ การขึ้นเวทีในฐานะศิลปินเดี่ยวครั้งแรกนั้นทำให้ผมเห็นว่ามันเป็นไปได้ เรากลับมาเอาดีทางนี้ได้ ไม่ต้องสนแล้วว่าหน้าตาเราจะขายไม่ได้ ถึงเพลงเราจะทำในโฮมสตูดิโอ ไม่ได้มาจากค่ายใหญ่ แต่มันก็มีช่องทางที่เราจะไปได้ ถ้าอย่างนั้นเราขอเดินไปตามทางนี้แล้วกัน 

 

ค่ำคืนนั้นทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้กลับมามีชีวิต

จะพูดอย่างนั้นก็ได้นะ ขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีแล้วมันนึกถึงภาพเก่าๆ เพียงแต่ว่าวินาทีนั้นเราได้เป็นตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ เราไม่ต้องพึ่งพาใคร เราไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อจะไปฟิตอินกับอะไรก็แล้วแต่ เราได้เป็นตัวของตัวเอง และยังมีคนชอบเราอยู่ นั่นคือสิ่งที่เราแฮปปี้ที่สุดแล้ว 

เหมือนเป็นการพิสูจน์ เป็นการพูดกับทุกคนที่เคยบอกว่าเราทำไม่ได้ ว่าวันนี้เราทำได้แล้ว ด้วยตัวของเราเอง 

 

Selfmade

ใช่ ผมว่าคำนี้มันเป็นคำที่สามารถนิยามชีวิตผมทั้งหมดได้เลย ที่เลือกเอาคำนี้ขึ้นมาเป็นชื่ออัลบั้มแรกของตัวเองเพราะวันนี้เราคิดได้แล้ว ว่าสุดท้ายเราเองนี่แหละที่เป็นคนสร้างตัวเราขึ้นมาเอง และเราสร้างมาตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจเริ่มทำมิกซ์เทปเพลงอันเดอร์กราวนด์ปล้นแบงก์อันนั้นแล้ว ถ้าวันนั้นผมไม่ตัดสินใจจะทำเพลงพวกนั้น ตัวตนผมวันนี้จะอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ผมอาจจะไปเป็นหมอก็ได้ อาจจะเป็นพนักงานไอทีก็ได้ แต่วันที่เราตัดสินใจไปแล้วว่าจะทำเพลง เหมือนเราได้ made self ของเรามาแล้วว่าเราจะเดินไปในเส้นทางนี้ 

ก่อนหน้านี้ตอนที่เริ่มกลับมาทำเพลงเยอะขึ้น เราเคยมีช่วงเวลาที่หลงลืมความเป็นตัวเองไป เหมือนเราพยายามจะลืมว่าจุดเริ่มต้นของเราจริงๆ เกิดมาจากกามิกาเซ่ ภาพที่เราถูกวาดมามันเป็นสีของกามิกาเซ่ เราพยายามจะหนีตัวตนนั้นออกมา หนีความเป็นตัวของตัวเองแล้วไปทำเพลงแนวอื่นที่คิดว่าตัวเองชอบและดีกับเรา แต่ก็เพิ่งมาเข้าใจในตอนหลังนี่แหละว่าเราหนีจากความเป็นตัวเองไม่ได้หรอก การเป็นตัวของตัวเองคือสิ่งที่ทำให้เรายืนอยู่ตรงนี้ได้ ถ้าเราหนีไปเป็นคนอื่น เราก็อาจจะเป็นได้แค่เวอร์ชั่นสองของเขา ไม่มีวันดีไปกว่าเขา แต่ถ้าเรายืนยันว่า DNA ของเราเป็นแบบนี้ เราเป็นคนแบบนี้ ยืนยันในความเป็นตัวเองของเรา มันก็จะไม่มีใครเป็นแบบเราได้แน่นอน เราจะเป็นที่หนึ่งในทางของเรา เราเลยคิดถึงคำว่า self-made ขึ้นมา เพื่อที่อยากจะเตือนทั้งตัวเองและคนอื่นๆ ว่าการเป็นตัวของตัวเองไม่ใช่สิ่งที่ผิด มันเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำ

ในวันที่ทำอัลบั้มแรกของตัวเองออกมาได้สำเร็จ เคยคิดไหมว่าที่มาถึงทุกวันนี้ได้อาจเป็นเพียงความโชคดี 

ถ้าจะบอกว่าไม่มีส่วนเลยก็ไม่ได้ ผมยอมรับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งแต่มันคือความพยายามเป็นหลัก ความตั้งใจต่อมาและความโชคดีอาจจะเป็นแค่อะไรนิดๆ หน่อยๆ ที่ช่วยให้สิ่งที่เราทำเติบโตได้ สุดท้ายแล้วมันคือความ self-made นี่แหละ ถ้าเราไม่ทำเองก่อนก็ไม่มีทางที่จะมายืนอยู่ตรงนี้ได้หรอก ถ้าเราไม่คว้าโอกาสมาออดิชั่นหรือถ้าวันนั้นเราไม่ตัดสินใจปล่อยเพลง เค้าก่อน ไป วันนี้ก็คงไม่มีอัลบั้มนี้ ไม่มี UrboyTJ

 

เป็นคนไม่เสียใจหรือเสียดายในทุกการกระทำที่ตัวเองเลือกทำ

ไม่เสียใจเลย (ตอบทันที) คนจะชอบถามว่าถ้ากลับไปแก้อดีตได้จะไปแก้ไหม ผมรู้สึกว่าไม่อยากแก้อะไรเลย เพราะถ้าไปแก้แล้วไทม์ไลน์ชีวิตเราคงเปลี่ยน ถ้าแก้ว่าไม่อยากให้พ่อแม่เลิกกัน ผมอาจจะไม่เป็นโรคซึมเศร้านะ แต่ผมก็อาจจะผลิตงานศิลปะในแบบของผมออกมาไม่ได้ ผมว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นด้วยเหตุผลของมัน การมองกลับไปในอดีตโดยที่ไม่รู้สึกเสียดาย ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แฮปปี้ และโอเคกับมันคือสิ่งที่เวิร์กที่สุด เพราะหนึ่ง–อดีตมันแก้ไขไม่ได้แล้ว และสอง–เราก็ไม่มีทางจะไปเซตอนาคตให้มันเป็นไปในสิ่งที่เราต้องการ ณ ตอนนี้ผมเลยรู้สึกว่าการอยู่กับปัจจุบันคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว 

จริงๆ ถ้าพูดถึงสิ่งที่ผมเสียไปในเส้นทางนี้ก็มีเยอะมากเลยนะ ความรู้สึกที่เสียไป ความเป็นตัวตนในช่วงหนึ่งที่เสียไป เพื่อนบางคนที่เคยสนิทกันแล้วหายไป แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันแย่เลย มันกลับเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีวันนี้ได้เสียอีก สิ่งที่เสียไปกลับเป็นสิ่งที่ให้อะไรกับเราเยอะมาก

อาจจะเพราะเป็นคนชอบคิดอะไรในแง่บวก เป็นคนที่พยายามจะมองเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตในแง่ดีเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ถ้าฟังเพลงของผม ถึงจะเป็นเพลงเศร้า แต่มันก็จะให้อารมณ์ในแง่บวกอยู่ดี เพราะผมแค่รู้สึกว่าอยากให้คนฟังได้อะไรกลับไป ไม่ได้ฟังแล้วผ่านๆ ไป อาจจะฟังแล้วได้ความสุข ฟังแล้วได้ข้อคิด หรือฟังแล้วอาจจะมีกำลังใจ มันเป็นมายด์เซตที่ผมถูกสอนมาตั้งแต่ตอนอยู่กามิกาเซ่ โปรดิวเซอร์สอนผมเสมอว่าการทำเพลงเพลงหนึ่งต้องไม่ใช่ว่าแค่ทำแล้วให้เสร็จไป แต่เราต้องทำเป็นเหมือนงานศิลปะที่มันจะอยู่ไปตลอดชีวิต อีก 20-30 ปีข้างหน้าคนกลับมาฟังเขาก็จะยังรู้สึกว่าความทรงจำในการฟังครั้งแรกมันยังอยู่ ยังแฮปปี้กับมัน

คิดว่าประสบการณ์ไหนในชีวิตที่คุณอยากขอบคุณมากที่สุด

ต้องขอบคุณทุกอย่างเลยนะ ผมเชื่อว่าทุกอย่างเกิดขึ้นโดยมีเหตุผล ถ้าไม่เกิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นก็คงไม่มีเราในวันนี้ เพราะฉะนั้นทุกเหตุการณ์ในชีวิตไม่ว่าจะร้ายหรือดี เราขอบคุณ และเรารู้สึกแฮปปี้กับมันทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ในตอนนี้เราอาจจะยังดีลกับมันไม่ได้ก็ตาม 

 

หลังจากผ่านเรื่องราวทั้งดีและร้ายในชีวิต ตอนนี้อะไรคือเป้าหมายสำคัญที่คุณอยากจะพาตัวเองไปให้ถึง 

ผมอยากให้ตัวเองมีความสุขบ้าง การหาความพอดีของชีวิตให้ได้เป็นสิ่งสำคัญที่ผมจะต้องทำต่อไป หาจุดกลางของมันให้ได้ ใช้ชีวิตในแบบที่เราไม่เศร้าไป ไม่แฮปปี้ไป อยู่กับสิ่งที่เป็นในปัจจุบันได้ รับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ นั่นคือเป้าหมายชีวิตหลักๆ ที่มันควรจะเป็น ณ ตอนนี้ เพราะผมว่าความคิดของผมมีส่วนสำคัญมากในการใช้ชีวิต เมื่อไหร่ที่ผมจัดการความคิดให้มันอยู่กับร่องกับรอยได้ ปล่อยวางความคิดของตัวเองให้ได้ แค่นั้นผมก็รู้สึกแฮปปี้แล้วนะ คงไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว 

AUTHOR