“ช่วงนี้ทำงานเหมือนคนบ้า” นีโน่นิยามการทำงานของตัวเองในช่วงนี้ไว้อย่างติดตลก ด้วยคำที่เราเห็นด้วยแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์
เพราะชีวิตสามสิบวันของโปรดิวเซอร์หนุ่มคนนี้ แม้ไม่พูดออกมาตรงๆ ว่าเดือด เราก็พอจะรับรู้ได้ ไม่ใช่แค่เพราะติดตามอินสตาแกรมมาตลอด และเห็นเขาทำงานหามรุ่งหามค่ำอยู่บ่อยๆ แต่เป็นเพราะตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในพื้นที่ของเขา สภาพรอบตัวใน ‘Nino Trap House Studio’ สตูดิโอทำเพลงซึ่งถือเป็นแหล่งกบดานตัวเองของเขาด้วยต่างหาก ที่ทำให้คำคำนั้นชัดเจน
ภายในคอนโดห้องชุดที่เขาแบ่งพื้นที่ส่วนห้องรับแขกไว้เป็นสตูดิโอทำเพลง นอกจากกระดานไวท์บอร์ดที่ถูกแต่งแต้มเต็มไปด้วยตารางงาน เดดไลน์เพลงที่ต้องทำ ชีวิตของบีตเมกเกอร์ โปรดิวเซอร์ เจ้าของชื่อ Prod. By NINO ยังถูกถ่ายทอดผ่านคำบอกเล่าของคนสำคัญใกล้ตัว
“พ่อชินแล้ว เพื่อนเขามาทีเป็นสิบๆ คน ทำเพลงอยู่กันจนเช้า” พ่อและแม่ที่ตอนนี้เป็นเสมือนผู้จัดการส่วนตัว คอยดูแล รับแขกให้ลูกชายที่หัวกระไดไม่เคยเว้นว่างจากผู้คนกล่าวยิ้มๆ บอกให้ผู้มาเยือนอย่างเราฟัง
จากคำบอกเล่า คืนก่อนหน้าจะพบกัน ก็เป็นอีกคืนที่เขาต้องอยู่ทำเพลงโต้รุ่งจนถึงเช้า
หากสนใจวงการเพลงไทย เราเชื่อว่าหลายๆ คนคงพอคุ้นตากับประโยค Prod. By NINO ที่ต่อหลังชื่อเพลงในยูทูบมาบ้าง เพราะไม่ว่าจะเป็นเพลงฮิปฮอปใต้ดิน หรือฮิปฮอปสายแมส ก็ล้วนมีชื่อนี้การันตีความสำเร็จจนยอดวิวทะลุหลัก 10 ล้านไปแล้วหลายเพลง
จากคนทำดนตรีฮิปฮอปอยู่เบื้องหลัง ความแรงของกระแสเพลงแรปไทยยังส่งให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังออกมาถึงเบื้องหน้า จนทุกวันนี้ชื่อของ นีโน่–เกริก ชาญกว้าง ดังกระฉ่อนไปแทบจะทั้งวงการเพลง ขนาดที่ลายเซ็นที่เขาทิ้งไว้หลังชื่อเพลงอย่าง Prod. By NINO ไม่ได้ต่อหลังเพียงแค่เพลงฮิปฮอปอีกต่อไปแล้ว เพราะเพลงจากศิลปินกระแสหลักอย่าง STAMP (แสตมป์–อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) ก็มีชื่อของเขาอยู่ในนั้น เช่นเดียวกันกับศิลปินอื่นๆ ที่ต่อแถวรอร่วมงานกับเขาอีกเพียบ
ถึงผลงานเพลงจะเป็นที่รู้จัก แต่ Prod. By NINO คืออะไร, NINO คือใคร
อาจมีน้อยคนนักจะรู้จักที่มาของเขาจริงๆ
ฉะนั้นแล้วก่อนที่เราจะเปิดประตูพาเข้าไปทำความรู้จักเขากันถึงถิ่น เราอยากเชิญชวนทุกคนเปิดยูทูบแล้วพิมพ์ว่า Prod. By NINO กันดูก่อนสักครั้ง
เปิดหาสักหนึ่งเพลงที่ถูกใจ ฟังประกอบขณะอ่านเรื่องราวของเขา ที่กำลังแล่นไปตามจังหวะชีวิตของตัวเอง
หลายคนต่างรู้จักคุณในฐานะคนทำเพลงยอดวิวหลายร้อยล้าน เคยคาดคิดไหมว่าชีวิตจะมาถึงจุดนี้
ไม่คาดคิดเลย (หัวเราะ) คงเพราะจริงๆ แล้วเราไม่ได้ into rap มาตั้งแต่แรกขนาดนั้นด้วย ก่อนหน้าจะมาทำบีตหรือโปรดิวเซอร์ เราอยากทำภาพยนตร์มาก่อน เพราะสนใจงานวิดีโอมาตั้งแต่เด็ก ชอบงาน visual effect หรือ CGI มาก จนเคยส่งผลงานเข้าประกวดหนังสั้น อาสาทำเอ็มวีเพลงให้เพื่อนเลยด้วยซ้ำ จริงจังถึงขนาดที่ว่าตัดสินใจขอทุนไปเรียนต่อที่ Vancouver Film School เลยหลังจากจบ ม.6
เราคิดแค่ว่าอยากให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวที่สุด ตอนนั้นเราแทบไม่สนใจเรื่องปริญญาเลย ถึงเรียนที่นี่แล้วได้รับแค่ certificate ก็ไม่เป็นไร พ่อกับแม่ก็เปิดกว้างมากด้วย เขาเลยให้ไป สนับสนุนเรา ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเขาต้องขายธุรกิจเพื่อส่งเราเรียนเลย
การไปที่นั่นทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านภาพยนตร์หรือการใช้ชีวิต อย่างที่บอกว่าถึงแม้เราจะได้ทุนครึ่งหนึ่งก็จริง แต่พ่อแม่ก็ต้องขายธุรกิจเพื่อส่งเราเรียนเลย คือเขาก็ยังอยู่ได้นะ พอมีใช้ แต่มันก็มีช่วงที่แย่มากเหมือนกัน
เราเคยไม่มีเงินกินข้าว จนต้องไปอาศัยกินข้าวที่วัดไทย นั่งรถตู้ไปกับใครก็ไม่รู้ เหมือนเป็นแรงงานต่างด้าวเพื่อไปเก็บเบอร์รี หาเงินมาเป็นค่าขนม แต่สุดท้ายที่บ้านก็ส่งไม่ไหวจริงๆ จนเราต้องกลับไทยมาช่วยเหลือครอบครัว ตอนนั้นเรากำลังจะเรนเดอร์ผลงานเลย ทำโปรเจกต์ใกล้จะเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เดินมาบอกว่าถ้าเราไม่มีเงินมาจ่ายค่าเทอมเราก็จะเรียนไม่จบ คือเขาให้เวลาเราจัดการเรื่องนี้เป็นเดือนเลยนะ แต่มันก็สุดทางแล้วจริงๆ เราและครอบครัวพยายามทุกทางแล้ว เราอยู่ที่นั่น พยายามหางานจนวีซ่าเหลือแค่ 2-3 วันสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ
รู้สึกเหมือนฝันพังทลายเลยหรือเปล่า ในเมื่อสิ่งที่ตั้งใจไว้กลับไม่เป็นอย่างที่คิด
รู้สึกท้อมากกว่า ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อดี เหมือนความฝันมันอยู่แค่เอื้อม อีกนิดเดียวเราจะได้เข้าไปสู่ฮอลลีวูดแล้ว เพราะอาจารย์ที่สอนเราแต่ละคนก็เป็นคนทำหนังระดับโลกทั้งนั้น เขาทำ Transformers ทำ Harry Potter มา เราเลยรู้สึกว่าความฝันอยู่แค่นี้เอง จะไปถึงอยู่แล้ว แต่สุดท้ายยังไงเราก็ต้องกลับไปช่วยพ่อแม่ กลับไปช่วยครอบครัวอยู่ดี ต้องกลับไปหางานที่ไทยให้ได้
นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณได้ทำงานกับ VRZO
ใช่ หลังจากกลับมาแล้วเคว้งอยู่สักพัก VRZO ก็เปิดรับสมัครงานพอดี
การทำงานที่นี่เป็นเหมือนจุดเปลี่ยนหนึ่งในชีวิตเราเลย ที่นี่ทำให้เราได้เจอพี่หลุยส์ (ธชา คงคาเขตร) เขาเห็นเราทำบีต เล่นดนตรีอยู่บ้าง เลยบอกว่า เฮ้ย ทำไมไม่ลองมาทำด้วยกันดู เพราะเขามีคอมมิวนิตี้อยู่คือ RAP IS NOW ลองไปทำเพลงให้พี่ชม ชุมเกษียร ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของพี่กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ดูสิ
พอทำเพลง แค่เงิน ให้พี่ชมเสร็จ พี่หลุยส์ก็แนะนำให้เรารู้จักกับพี่กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ต่อ พี่กอล์ฟเอางานโฆษณามาให้หนึ่งชิ้น ให้ทำเพลงโฆษณา ตอนนั้นเราตอบทันทีเลยว่าทำครับ รับทำเลย ตอบรับไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า (หัวเราะ)
สิ่งแรกที่เราทำหลังจากนั้นคือเปิดยูทูบ แล้วพิมพ์ว่า ‘How to make beat’ (หัวเราะ) คืองานชิ้นนั้นมันเป็นเหมือนงานแรกของเรา เราเลยต้องบังคับตัวเองว่า มึงต้องทำแล้ว ถ้าไม่ทำก็จะไม่ได้เงิน มัดมือชกตัวเองไปเลยว่ายังไงก็ต้องทำให้ได้
แปลว่าจุดนั้นก็เริ่มคิดจริงจังกับการทำบีตแล้ว
ยังนะ เรายังไม่คิดเลยว่าจะทำเป็นอาชีพได้จริงๆ คือพอได้ทำงานกับพี่กอล์ฟก็เริ่มมีงานเข้ามามากขึ้น ได้ทำบีตให้ศิลปินคนอื่นๆ เยอะขึ้น แต่ตอนนั้นเราทำเป็นงานอดิเรก ทำเอาสนุกมากกว่า เพราะแค่ไปออกกอง ทำงานโปรดักชั่นก็เหนื่อยแล้ว ประกอบกับตอนนั้นเรายังใช้คอมฯ ที่ออฟฟิศทำงานด้วย (หัวเราะ) ยังไม่มีคอมฯ เป็นของตัวเองเลย จนพี่แบงก์เสือใต้ เขาต้องเอาคอมฯ ของเขามาให้ยืมใช้ เปิดไปปุ๊บคือยังเป็นรูปหน้าเมียแกอยู่เลย
จุดที่ทำให้เราหันมาจริงจังกับการทำบีตคือตอนที่ออกจาก VRZO แล้ว ตอนนั้นบ้านถูกยึด คนในครอบครัวไม่มีที่อยู่เลย เหลือรถแค่คันเดียว และเป็นรถที่ยืมมาจากคนอื่นด้วย พ่อ แม่ น้องสาว ต้องหอบข้าวของจากขอนแก่นมาอยู่กรุงเทพฯ อาศัยอยู่ในห้องห้องเดียว มันเป็นจุดที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนตัวเอง คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว เพราะเราเป็นหัวเรือของครอบครัว แต่ก่อนทุกเดือนเราจะเป็นคนหาเงิน มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราต้องเดินไปข้างหน้า และทำให้กลับมาย้อนคิดว่าสิ่งหนึ่งที่เราทำได้ดีที่สุดในชีวิตก็คือการทำดนตรี
จริงๆ เราเล่นดนตรีมาตั้งแต่ประถมแล้ว ตอนนั้นทุกอย่างคือกีตาร์ ชีวิตคือการซ้อม การเล่นดนตรี เข้าประกวดทุกที่เท่าที่จะทำได้ ช่วงมัธยมปลายที่หันมาชอบด้านภาพยนตร์เราก็ยังเล่นดนตรีควบคู่ไปด้วย แต่สุดท้ายพอต้องเลือกโฟกัสแค่อย่างเดียว เราเลยเลือกด้านวิดีโอ และย้ายการเล่นดนตรีไปเป็นงานอดิเรกแทน
พอคิดได้แบบนั้น เราใช้เวลาเกือบหนึ่งปีเลยที่ตื่นมาทำ นั่งหน้าคอมฯ เปิดยูทูบแล้วหา How to make beat ทำอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ เริ่มขายบีตจริงจัง เริ่มไปหาคอนเนกชั่น เอาผลงานไปโชว์ ให้คนได้รู้ว่าเราทำบีตนะ เพราะว่าเส้นสายงานนี้มันอยู่ที่คอนเนกชั่น และผลงานของคุณล้วนๆ ถ้าไม่มีผลงานก็ยาก
แปลว่าตอนนั้นคุณเองก็มองเห็นช่องทางว่าจะอยู่รอดในเส้นทางการเป็นบีตเมกเกอร์ได้
ยากมาก (หัวเราะ) ตอนนั้นมันแทบจะนับชื่อได้เลยนะว่ามีบีตเมกเกอร์กี่คน แล้วเราจะเอาอะไรไปสู้กับเขา ในเมื่อแต่ละคนก็มีชื่อเสียง มีพื้นที่ของเขาอยู่แล้ว
แต่เพราะเรามีคติว่า ในหนึ่งปีเราจะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย ก็เลยตัดสินใจว่า เอาวะ ลุย ถ้าจะตายก็เอาให้ตายไปเลย มันเป็นเหมือนการแข่งขันกับตัวเองมากกว่า เพราะเรามีจุดหมายคือต้องการหาเงินมาช่วยครอบครัว
เราทำเพลงอยู่ที่บ้าน แทบจะไม่ได้โปรโมตผลงานตัวเองเลยนะ นอกจากใส่ Prod. By NINO ใส่ชื่อของเรา ตามแบบที่เห็นมาจากฝรั่ง เผื่อว่าคนเห็นแล้วจะมาทำงานกับเรา มันคือการทำไปเรื่อยๆ ให้ผลงานมันพิสูจน์มากกว่า และก็ต้องขอบคุณเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาด้วย เพราะถ้าไม่มีเหตุการณ์แย่ๆ เหล่านั้นเราก็คงจะไม่ทำนะ นึกออกไหม เราเป็นวัยรุ่น ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตให้สนุกเลย เวลาเห็นเพื่อนไปเที่ยว เรียนเสร็จกินเหล้า เราก็อยากทำตามเพื่อนเหมือนกัน แต่ทำไม่ได้ เพราะยังมีคนอยู่ข้างหลังเรา
คนส่วนใหญ่จะรู้จักคุณตอนประสบความสำเร็จแล้ว ได้รางวัล Producer of The Year จาก RAP IS NOW AWARDS ถึง 3 สมัยซ้อน จริงๆ แล้วมันมีความล้มเหลวอยู่บ้างไหมในเส้นทางการทำเพลง
(คิดนาน) มีบ้างนะ มีจุดที่ทุกคนจะคาดหวังว่า เฮ้ย เพลงนี้ต้องได้ล้านวิว หรือ 10 ล้านวิว ช่วงที่ได้รางวัลเป็นปีที่ 2 ทำให้เราเริ่มมาคิดแล้วว่ามันก็กดดันตัวเองเหมือนกันนะ การที่เราต้องทำเพลงให้ได้ยอดวิวเท่าเดิม มันเครียดมากเหมือนกัน ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ไม่รู้ว่าจะทำวิธีไหนดี เลยคิดว่าทำสิ่งที่ตัวเองชอบที่สุดก็แล้วกัน ไม่ต้องสนว่าคนฟังจะชอบหรือเปล่า เวลาทำงานกับศิลปินก็เหมือนกัน ทุกคนที่มาหาเราตอนนี้เครียด กังวลว่าจะทำเพลงให้ถึง 100 ล้านวิวได้ไหม เราก็บอกทุกครั้งว่าไม่ต้องสนใจ ให้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้นทุกคนก็จะเดินไปทางเดียวกันหมด เพลงมันก็จะออกมาซ้ำๆ กัน
กลายเป็นว่าตอนนี้เราเป็นเหมือนที่ปรึกษาให้น้องๆ แล้ว
ใช่ เหมือนตอนนี้เราเป็นคลินิก เหมือนเราเป็นหมอเลย คือแรปเปอร์เข้ามา เราก็ให้การดูแลด้านจิตใจ คอยบอกว่าทำเลย อย่าไปคิดมาก
มันมีเคล็ดลับในการทำเพลงให้ได้ยอดวิวเยอะๆ จริงหรือเปล่า
ไม่มีหรอก ไม่มีตายตัวเลย ที่ผ่านมาไม่รู้จะเรียกว่ามันฟลุกหรือเปล่าด้วยซ้ำ หลังๆ เราเลยทำเพลงด้วยความมั่นใจและความชอบ เราไม่อยากเดินตามใคร เราคิดว่าเรามีทาง มีคาแร็กเตอร์และซิกเนเจอร์เป็นของตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นแบรนด์หนึ่ง เราอยากทำเสื้อผ้าคอลเลกชั่นใหม่ อยากทำอาหารเมนูใหม่ให้คนได้กิน สมมติว่าคนอยากกินข้าวผัด เราก็จะไม่ทำข้าวผัดแบบเดิม แต่เราจะทำข้าวผัดผสมกะปิ ข้าวผัดผสมปลาร้า จะคอยคิดค้นเมนูใหม่ๆ เพื่อให้คนได้กินตลอด เราว่าแบบนั้นมันสนุกกว่า และเพลงมันก็จะได้พัฒนาไม่มีที่สิ้นสุดด้วย ทุกวันนี้การทำเพลงของเราค่อนข้างท้าทายมาก เราเจอศิลปินทุกรูปแบบเลย 30 วันที่ผ่านมาเราทำเพลงไม่ซ้ำกันสักวัน ต้องคิดใหม่ทุกวันเลย ค่อนข้างดุเดือดและท้าทายมาก แต่เราก็พยายามจะทำอะไรใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา
เติมไอเดียมาจากไหน ไม่มีวันที่หมดไฟ หรือคิดเพลงไม่ออกบ้างเหรอ
ก็เติมจากทุกคนนะ การที่เราอยู่ในห้อง อยู่ในสตูดิโอแบบนี้ คนอาจจะคิดว่า เฮ้ย แล้วมันจะมีอะไรทำวะ แต่จริงๆ แล้วการที่คนเข้ามาหาเรานี่แหละ มันคือการได้เรียนรู้ คนหนึ่งอาจจะอกหักมา อยากทำเพลงอกหัก คนหนึ่งอาจจะเครียด อยากทำเพลงอีกแบบ เราก็เรียนรู้จากเขาเอา อีกอย่างคือคอนเทนต์ต่างๆ มันไม่มีที่สิ้นสุดอยู่แล้ว ที่ผ่านมามีคนทำเพลงอกหักมาแล้วกี่หมื่นเพลง พี่ตูน Bodyslam ทำเพลงรักมาเยอะมาก เรื่องราวมันอาจจะมีซ้ำกันบ้างก็จริง แต่มันก็ยังพัฒนาไปได้เรื่อยๆ
เราก็เคยมีช่วงที่หมดไฟเหมือนกัน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มรู้สึกแบบนั้น เราก็จะพยายามบอกตัวเองว่าห้ามหมดไฟนะ และสุดท้ายไฟมันก็ไม่หมดจริงๆ (หัวเราะ) เราว่าสภาพแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญในการคิดงาน ถ้าอยู่แต่ในถ้ำ จำศีลอยู่ในสตูดิโอเป็นเดือนๆ มันก็คิดอะไรไม่ออกหรอก ต้องออกไปดูโลก ออกไปข้างนอกบ้างอยู่ดี
ทำเพลงทั้งวันทั้งคืน เคยคิดไหมว่าเวลาชีวิตเราหายไป หรือทำไมต้องมาทุ่มเวลากับสิ่งเหล่านี้ด้วย
เคย แต่ตอนนี้เราคิดว่าลำบากไปก่อนดีกว่า ทำให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอนาคตคนเรามันมีขึ้นก็ต้องมีลง วันนี้เราอาจจะทำได้ดีที่สุด แต่สุดท้ายแล้ววันหนึ่งก็จะมีเด็กรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมาอยู่ดี
คุณกลัวเด็กรุ่นใหม่หรือเปล่า
ไม่กลัวนะ (หัวเราะ) ไม่กลัวเลย เราซัพพอร์ตเด็กรุ่นใหม่มาก อย่างโปรเจกต์ SUPP BY YUPP ที่ค่าย YUPP! ทำอยู่ หรือการจัด Beat Battle ใน RAP IS NOW : THE WAR IS ON SEASON 4 ก็เกิดขึ้นมาเพื่อสิ่งนี้นี่แหละ มันคือการซัพพอร์ตเด็กรุ่นใหม่ เราอยากซัพพอร์ตพวกเขามากกว่าที่จะไปหยุดว่า เฮ้ย อย่ามาทำสายนี้นะ อย่ามาทับเส้นเรา คงเพราะเราเคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันด้วย เราเลยตั้งใจว่าจะไม่เป็นผู้ใหญ่แบบนั้น
ทุกวันนี้เวลามีเด็กอายุ 16-17 ปี ส่งงานเข้ามา เราก็ชวนให้มาทำงานด้วยกันตลอด สอนเขา ใครที่ไม่มีโอกาสเราก็อยากให้เขาได้มาทำงาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะให้โอกาสกับทุกคนนะครับ คืออย่างน้อยเขาก็ต้องมีความตั้งใจ และความขยันมาให้เราเห็นด้วย
เรียกว่าคุณเป็นป๋าดันได้เลยไหม
ก็ไม่ขนาดนั้นนะ แต่เอาเป็นว่าถ้าเราเจอเพชรเม็ดงาม เราก็จะผลักดันให้เขาทำเลย อย่างตอนเจอ บิ๊ก OG-ANIC, ท็อป LAZYLOXY หรือ นิวยอร์ก เด็กเลี้ยงควาย หลังจากที่เขาต้องออกจากรายการ The Rapper แล้วไม่รู้ว่าจะทำอะไร ท็อปลังเลเรื่องเรียนต่อ บิ๊กเองก็คิดว่าจะกลับบ้านแพ้ว ไปทำงานบาร์เทนเดอร์ เราเลยชวนเขา บอกว่าต้องทำสักเพลงแล้วแหละ พวกมึงมีของนะ ก็ทำเลย จับคู่กันออกมาเป็นเพลงเป็นไรไหม คือเราไม่ได้คาดหวังว่าทั้งสองคนนี้จะดังเลย เราแค่รู้สึกว่ามันจะเป็นศิลปินที่ดีได้แน่นอน
ซึ่งอะไรแบบนั้นมันมีไม่เยอะหรอก แต่มันคงต้องมีทุกปี เพราะศิลปินทุกคนคือ inspiration ของ next generation ดังนั้นถ้าคุณไม่ซัพพอร์ต มันก็จะไม่เกิดขึ้น วันหนึ่งอาจจะมี next ยังโอมก็ได้ ใครจะไปรู้
และจริงๆ แล้ว เราว่าการให้โอกาสมันค่อนข้างสร้างอะไรได้เยอะมากๆ มันมีคำว่าโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ คือถ้าวันนั้นเราไม่รับโอกาสจากพี่กอล์ฟ เราก็ไม่รู้ว่าจะได้มายืนอยู่ตรงนี้หรือเปล่า ทุกวันนี้มันมีโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ค่อนข้างเยอะมากๆ ในอินเทอร์เน็ต มีวิธีการ มีทุกอย่างรอไว้อยู่แล้ว มันสามารถทำได้ทุกอย่างจริงๆ เพราะฉะนั้นเราว่าถ้าเด็กรุ่นใหม่ หรือใครอยากทำงานด้านนี้ก็ต้องขยัน ขยันคือ key หลักเลยนะ ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา ทำแค่อาทิตย์เดียวมันไม่ได้หรอก ต้องหมกมุ่นกับมันมากกว่านี้ ต้องลุยในสิ่งที่ชอบ ห้ามยอมแพ้ เพราะว่าถ้ายอมแพ้เมื่อไหร่ เราก็จะไปไม่ถึงตามเส้นทางที่เราต้องการ
จริงๆ หลังบ้านนี่มีคนถามมาตลอดเลย ว่าพี่ผมจะทำยังไง ผมจะแรปยังไง ผมอยากเป็นแรปเปอร์ อยากจะทำบีต เราคิดว่าการที่เขามีความอยากที่จะรู้ มันเป็นอะไรที่ดีมาก แต่สุดท้ายแล้วถ้าคุณไม่ออกไปทำ มันก็จะไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องทำ เลิกถามแล้วไปทำ อย่างที่บอก ทุกวันนี้โซเชียลมีเดีย ยูทูบ คุณสามารถศึกษา และทำเองได้หมดเลย มันไม่ต้องมีอาจารย์แล้วก็ได้ คุณเป็นอาจารย์ให้ตัวเองยังได้เลย
แล้ว ณ วันนี้ค่าย YUPP! เป็นอย่างไรบ้าง ประสบความสำเร็จตามที่คุณคาดไว้ไหม
เราว่ายังนะ มันเป็นเหมือนการตั้งไข่มากกว่า เพราะค่ายก็เพิ่งเปิดมาได้เกือบปีเอง เติบโตเร็วอยู่เหมือนกัน แต่เราอยากให้มันไปได้ไกลมากกว่านี้อีก
YUPP! เป็นพื้นที่ที่เราชอบมาก การทำงานกับศิลปินในค่ายค่อนข้างฟรีสไตล์ อยากทำอะไร ทำได้เลย คงเพราะแอดติจูดของพวกเราด้วย ที่ว่าอยากทำเพลงฮิปฮอปแบบนี้บ้าง ให้คนได้รู้ว่าวงการนี้มันก็มีอะไรแบบนี้ด้วยเหมือนกัน
แต่ช่วงหลังมานี้ คุณก็ได้ร่วมงานกับศิลปินหลายแนวมากขึ้น มีวิธีการทำงานกับพวกเขาอย่างไร
ใช่ ช่วงหลังๆ เราคิดว่าถ้าทำฮิปฮอปอย่างเดียว มันคงเป็นการปิดกั้นตัวเอง เราอยากเป็นโปรดิวเซอร์ที่ทำได้ทุกอย่าง ก็เลยรับทำทุกอย่าง ทุกแนวเลย (หัวเราะ) ตอนนี้ได้ทำกับพี่ๆ ในฝันทุกคนแล้ว พี่แสตมป์ พี่ทอม พี่ตู่ พี่ๆ วงลิปตา พี่บอย โกสิยพงษ์ ทุกคนเป็นไอดอลวัยเด็กของเราหมดเลย เรื่องนี้ก็เป็นเหมือนการมัดมือชกเหมือนกันนะ คือเราไม่รู้หรอกว่าเราจะทำได้หรือเปล่า
อย่างตอนทำเพลง ‘ทั้งจำทั้งปรับ’ ของพี่แสตมป์ บอกเลยว่าเรากดดันมาก ตอนนัดเจอกันแล้วมานั่งอยู่ในห้อง ได้แต่มองหน้าพี่เขา เพราะไม่รู้ว่าจะทำออกมายังไงดี ก็เลยมัดมือชกตัวเองเหมือนเดิม คือทำเลย เอาเลยสิ บอกไปว่าพี่ผมคิดไม่ออก แต่ลองขึ้นจังหวะเลยไหม จากนั้นก็ทำไปตามฟีล
แล้วมันยากไหม ในเมื่อเขาทำเพลงแนวหนึ่ง ส่วนเราก็ทำเพลงอีกแนวหนึ่ง
จริงๆ ก็ค่อนข้างยากนะ แต่บังเอิญว่าที่ผ่านมาเราชอบคิดว่า ถ้าวันหนึ่งเราได้ทำเพลงให้พี่ตูน Bodyslam จะทำเพลงออกมายังไง ถ้าทำให้พี่อ๊อฟ ปองศักดิ์จะเป็นยังไง คือระหว่างทางที่ผ่านมาเราก็เคยคิดอะไรแบบนี้มาบ้างแล้วด้วย เราเลยใช้ตรงนั้นมาลองทำ
แต่โดยส่วนใหญ่เพลงทั่วไป แรปเปอร์หรือศิลปินก็จะเป็นคนคิดเนื้อหาของเพลง การที่เพลงมันดังขึ้นมาได้ คุณคิดว่าโปรดิวเซอร์ หรือบีตเมกเกอร์มีส่วนเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน
เราว่าทุกอย่างมันควบคู่กันไปครับ ทุก elements เลย อย่างหนังหนึ่งเรื่องกว่าจะเสร็จได้ก็ไม่ใช่แค่เพราะผู้กำกับคนเดียว มันต้องมีนักแสดง มีหลายๆ elements มารวมกัน เช่นเดียวกันกับเพลง ถ้ามีโปรดิวเซอร์ แต่ไม่มีบีตเมกเกอร์ เพลงมันก็ไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างมันต้องรวมๆ กัน ไม่ใช่แค่ใครคนเดียว
คิดว่าตัวเองมีข้อดีอะไร ทำไมทุกคนถึงไว้ใจให้คุณทำเพลง
ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ แต่น่าจะเพราะเรามีความเป็นตัวของตัวเองสูง คือเราไม่ค่อยทำตามใครและเราก็มีทางเป็นของตัวเอง ทุกครั้งที่ศิลปินเข้ามาในสตูดิโอ เราจะทำให้เขาเป็นแบบที่เราชอบด้วย ไม่ใช่แค่ให้เขาชอบอย่างเดียว จะพบกันคนละครึ่งทาง
แสดงว่าตอนนี้ก็มองว่าตัวเองเป็นมืออาชีพคนหนึ่งแล้ว
ก็ยังไม่ได้เป็นมืออาชีพนะ แต่เรามองว่าบีตเมกเกอร์ และโปรดิวเซอร์สามารถเป็นอาชีพได้แล้ว ถ้าเด็กรุ่นใหม่คิดอยากจะทำ ผมว่าเขาก็สามารถทำได้ เป็นธุรกิจได้ แต่ธุรกิจเพลงจะโตไปมากกว่านี้ได้อีกถ้าทุกคนช่วยกัน อย่างตอนนี้ค่ายเราก็พยายามจะจริงจังกับเรื่องการแบ่งเปอร์เซ็นต์ค่าลิขสิทธิ์ต่างๆ ให้บีตเมกเกอร์ และโปรดิวเซอร์อยู่ มีการทำแบบฟอร์มต่างๆ ทำให้มันเป็นไปตามสิ่งที่เราคิดว่ามันควรจะเป็น
อะไรเป็นองค์ประกอบของความสำเร็จของคุณในทุกวันนี้
อย่างที่บอกไปแหละ เหตุการณ์บางเหตุการณ์มันทำให้เราโตมากขึ้น เพราะเราจำเป็นต้องเรียนรู้กับสิ่งนั้น บางทีมันก็เลี่ยงไม่ได้ แต่สุดท้ายเมื่อเราได้ลองทำ ได้ออกไปเก็บเกี่ยว มันก็จะมีความโชคดีบางอย่าง มันประกอบด้วยหลายองค์ประกอบมาก บังเอิญมากที่เราได้มาทำตรงนี้ และถ้าถามว่าทุกวันนี้สำเร็จไหม ส่วนตัวแล้วก็คิดว่าคงยังไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็แน่นอนว่าเรามาถึงจุดหนึ่งแล้ว เป็นจุดที่ทำให้เราคิดว่าอาชีพนี้คงจะอยู่กับเราไปได้นานแน่นอน
ทุกวันนี้เราก็ยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายไปไกลมากขนาดนั้น เป้าต่อไปซึ่งก็น่าจะอีกไกล คืออยากทำเพลงให้ฮิตในอเมริกา อยากทำเพลงกับไอดอลที่ชอบ และอยากทำโรงเรียนสอนเกี่ยวกับการทำบีต ทำเพลงโดยตรง จะได้ซัพพอร์ตคนรุ่นใหม่ ก็กำลังเริ่มๆ เก็บเงินอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เราก็ต้องลอง หาเส้นทางไปดู ทุกครั้งที่ทำงาน เราจะชอบเอาไฟตอนที่ล้มมาเป็นแรงผลักดันตลอด ถึงแม้ว่าทุกวันนี้มองไปรอบข้าง เราจะมีทุกอย่างแล้ว แต่เราจะชอบมองย้อนกลับไปในวันที่เราไม่มีอะไร มันเป็นไฟให้เราเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีสติ
คิดว่าตัวเองในวันนั้นตัดสินใจถูกไหม ที่เลือกเดินทางนี้
(หัวเราะ) ก็ถูกนะ เพราะนี่เป็นสิ่งที่เราชอบ และทำได้ดีที่สุด ที่สุดจริงๆ ทุกวันนี้เราไม่กลัวเวลาต้องไปเจองานใหม่ๆ เราพร้อมที่จะสู้กับมันได้ มันเป็นงานที่เราตื่นขึ้นมาทำด้วยความยินดี และมีความสุขที่สุด ต่อให้ต้องนอนน้อย หรือเหนื่อยแค่ไหน แต่มันก็ดีที่สุดเลย
ฝันของเรามันค่อนข้างเปลี่ยนไปจากเดิมนะ แต่ก่อนเราอยากมีหนังเป็นของตัวเอง อยากมีชื่อของตัวเองอยู่ใน end credit ตอนนี้คืออยากทำเพลงกับไอดอลที่เราชอบ แต่สุดท้ายแล้วความฝันของเรา ที่จริงมันก็สำเร็จไปแล้ว คือเราอยากทำให้ครอบครัวอยู่สบายแค่นั้นแหละครับ
เมื่อเห็นว่าเขาตั้งใจปูเส้นทาง เพื่อเด็กแรปรุ่นใหม่ขนาดนี้ หลังสัมภาษณ์เสร็จเราจึงชวน NINO มาทำ free beat เอาไว้ให้เด็กรุ่นใหม่ได้ลองเอาไปฝึกแรปกันดู และนี่คือแทร็กที่เขาสร้างสรรค์ขึ้น