จากลูกลิเกสู่แรปสตาร์ “เพราะกูคือ ‘MAIYARAP’ กูอมตะ ฆ่ากี่ครั้งไม่ตาย”

Highlights

  • MAIYARAP หรือแชมป์–นครินทร์ จรูญวิทยา คือแรปเปอร์ที่แจ้งเกิดจากเวทีแข่งขันแรปแบตเทิลอย่าง RAP IS NOW : The War Is On Season 2 และเติบโตในเส้นทางสายนี้ด้วยการเป็นแรปเปอร์ค่าย YUPP! ผู้ผลิตผลงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง
  • เขาตัดสินใจเข้าร่วมรายการแข่งแรปอีกครั้งใน The Rapper Season 2 เพราะอยากทิ้งทวนเวทีแข่งขันอย่างสมศักดิ์ศรี
  • นายห่วย คือคำที่แรปเปอร์ลูกลิเกอย่างเขายืนยันมาเสมอว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น
  • เราจึงชวนย้อนคุยถึงเรื่องราวห่วยๆ ในชีวิตตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และค้นหาว่าสิ่งใดกันที่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองห่วยเลย

เรายังจำวันที่เริ่มดู RAP IS NOW : The War Is On Season 2 เพื่อศึกษาหาข้อมูลทำ a day ฉบับที่ 217 เล่ม The Rise of Thai Rap ได้ดี

ชื่อของ MAIYARAP หรือ แชมป์–นครินทร์ จรูญวิทยา ถูกพูดถึงแทบทุกครั้งที่เข้าประชุม ไม่ว่าครั้งไหน คลิปวิดีโอการแรปแบตเทิลของชายหนุ่มผู้สวมใส่กางเกงยีนส์ขาเดฟ เซตผมดูคล้ายว่าเป็นนักร้องเพลงร็อกมากกว่าจะเป็นแรปเปอร์ที่กำลังตะโกนไปทั่วเวทีด้วยวลีประจำตัวอย่าง “ชื่อกูจำง่ายแค่สามพยางค์” นี้จะต้องถูกเปิดทิ้งเอาไว้เสมอ

เช่นเดียวกันกับตอนนี้ สิงห์สนามแรปอย่างเขาออกผลงานใหม่มาให้เราติดตามอีกครั้งผ่านทั้งผลงานเพลง และลีลาบนสังเวียนแข่งขันอย่างรายการ The Rapper Season 2 เวทีที่มิเพียงทำให้ต้องตื่นตะลึงไปกับภาพลักษณ์ใหม่ๆ อย่างการร้องลิเกผสมไรม์แรป แต่ยังทำให้จิตใจระคนไปด้วยความสงสัยว่าแรปเปอร์ชื่อดังอย่างเขา ทำไมยังต้องลงแข่งขันรายการนี้อีก

ปฏิเสธไม่ได้ว่าใครๆ ก็มีภาพจำเกี่ยวกับตัวเขาในวันที่สำเร็จแล้ว ไม่เว้นแม้แต่เรา

แต่คุณยังมีเวลาว่างสักครู่ไหม

เราอยากชวนคุณไปพูดคุยกับเขายาวๆ แบบไม่ต้องนับจำนวนพยางค์ คุยกันถึงคืนวันก่อนๆ ที่เด็กชายนครินทร์เติบโตในโรงลิเกในจังหวัดนครสวรรค์

คุยกันถึงวันก่อน ที่นายห่วยอย่างแชมป์จะกลายเป็นแรปสตาร์ที่มีชื่อสามพยางค์

‘MAIYARAP’    

ก้าวแรกสู่สังเวียนแรป

“ผมเริ่มจากฟังเพลงครับ ยุคนั้นเพลงจังหวะมันๆ ร้องเร็วๆ แบบนี้จะมีอยู่ในหนัง ในภาพยนตร์ เราดู Fast & Furious แล้วอยากรู้ว่ามันคือแนวเพลงอะไร เลยไปศึกษาหาข้อมูลดู”

จุดเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางฮิปฮอปของแชมป์ไม่ได้มีอะไรน่าประหลาดใจไปกว่าศิลปินร่วมวงการคนอื่นๆ เริ่มต้นจากการฟังเพลงฮิปฮอปแล้วชอบ หันไปเต้นบีบอย จริงจังกับเส้นทางนี้ถึงขั้นอัดเพลงและกลายเป็นศิลปิน ถึงจะรู้ดีว่าเรียบง่ายแบบนั้น แต่ท่าทางสบายๆ ขณะเล่าของแชมป์ก็พาให้เราตั้งใจฟังเขาเล่าเรื่องราวในชีวิตออกมาเป็นฉากๆ ได้อย่างไม่เบื่อหน่าย

“เราฟังมาอย่างนั้นตั้งแต่อายุ 12 ปี จากฮิปฮอปอเมริกาฝั่ง West Coast ก็เริ่มศึกษาลงลึกขึ้นเรื่อยๆ จนมาเจอกับฮิปฮอปไทยอย่างพี่ๆ ไทยเทเนี่ยม ก้านคอคลับ และดาจิม จนพอขึ้นเรียนชั้นมัธยม บังเอิญไปได้ยินเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันฟังเพลงแนวนี้อยู่ เราเลยเดินไปทัก กะจะโชว์ลึกว่า “เฮ้ย เราฟังเพลงนี้นะ นายรู้จักไหม” แต่เพื่อนดันโชว์ภูมิกลับมาลึกกว่า ด้วยคำถามว่า “มึงรู้จักวงสี่แควหรือเปล่า” แชมป์แสดงท่าทีอึ้งๆ เหมือนที่หลุดแสดงอาการให้เพื่อนเห็นในวันที่ได้ยินชื่อวงแรปเปอร์อันเดอร์กราวนด์ของจังหวัดนครสวรรค์เป็นครั้งแรก

เพลงแรปอันเดอร์กราวนด์ที่ทั้งดิบและมันของวงสี่แคว ทำให้โลกแห่งฮิปฮอปของเด็กชายนครินทร์ถูกเปิดกว้างขึ้นกว่าเก่า จากที่ก่อนหน้านี้ได้แต่นั่งฟังเพลง หัดทำท่าทางที่ตัวเองเรียกว่าเต้นบีบอยไปวันๆ  ไม่ได้มีแก๊งหรือพลพรรคฮิปฮอปที่ไหนคอยแบ่งปันความชอบ ท่อนหนึ่งจากเพลงของวงอันเดอร์กราวนด์วงนี้ก็ทำหน้าที่เป็นเหมือนประตูส่งให้แชมป์ก้าวเข้ามาคลุกคลีกับวงการนี้อย่างจริงจัง

“มันมีท่อนหนึ่งของเพลงพูดว่า ‘ถ้าใครมีอุดมการณ์แบบเดียวกับกู มึงแรปมาเลย กูเว้นที่ว่างไว้ให้’ เราเลยได้บีตเปล่ามาเริ่มหัดแรป หัดเขียน ด้วยความเลือดร้อนพอเขียนเสร็จก็เริ่มหาวิธีการติดต่อสมาชิกวงสี่แคว โชคดีที่เครดิตใต้เพลงในยูทูบของวงแปะเฟซบุ๊กทิ้งไว้ให้ด้วย

“ฟังดูเหมือนจะง่าย แต่ผมเป็นคนที่ไม่เก่งเทคโนโลยีเลย เราต้องใช้เวลาว่างของวันเรียน หรือจริงๆ ก็คือการโดดเรียนนั่นแหละ ไปร้านคอมพ์ เพื่อที่จะศึกษาว่าเฟซบุ๊กนี่สมัครยังไง ไปดูว่าพวกพี่ๆ วงสี่แควเขาเป็นเพื่อนกับใครบ้าง ใครแท็กรูปมาบ้าง เริ่มจากแอดพี่ต๊อบ Blacksheep เป็นคนแรก หลังจากนั้นก็ยาวเลยครับ พี่ต๊อบเป็นเพื่อนกับใครผมแอดหมด พอคนในกลุ่มเขารับเป็นเพื่อน ต่อมประจบสอพลอก็เริ่มทำงานเลย”

แต่เพราะไม่รู้จักกันมาก่อน การประจบสอพลอบอกว่าติดตามผลงานมานานแล้วของแชมป์จึงไม่เป็นผล เขาโดนรุ่นพี่กลุ่มนั้นแอกต์กลับมาตามสไตล์ ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างแชมป์ไม่สะทกสะท้าน การกระทำนั้นกลับยิ่งทำให้เขามองว่าคนกลุ่มนี้เท่มาก ยิ่งอยากรู้จัก ยิ่งคะยั้นคะยอขอเข้าไปหาที่สตูดิโอ ขอเข้าไปอัดเพลงด้วย แม้จะต้องเผชิญกับคำปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาก็ยังบากบั่นทักไปหาคนแล้วคนเล่า จนสุดท้ายสมาชิกวงสี่แควก็ใจอ่อน

“เฮ้ย จะเอาจริงเหรอ” หนึ่งในสมาชิกเอ่ยถามแชมป์เมื่อครั้งอดีต ก่อนที่นั่นจะกลายเป็นก้าวแรกสู่ความเป็นมืออาชีพของเขา

ไม่มีคำว่าเล่นอยู่แล้ว เขาตอบตัวเองและรุ่นพี่ไปแบบนั้น แม้ตอนนั้นจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการที่ตัวเองสามารถพูดเป็นจังหวะ หรือพูดตามบีตได้เช่นนี้เรียกว่า ‘แรปเป็น’ หรือเปล่า แต่เพียงได้รับคำตอบรับจากกลุ่มคนที่ตัวเองชื่นชอบ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นเหตุผลให้แชมป์สละเวลาเรียน นั่งพิมพ์เนื้อเพลงส่งไปให้รุ่นพี่วงสี่แควแบบยาวเหยียด เพราะไม่รู้จักทั้งคำว่าบาร์ และยังไม่รู้ว่าการก๊อบปี้ต้องทำอย่างไร

“พอส่งไปสักพัก พี่โอ๊ตหนึ่งในสมาชิกของวงสี่แควก็โทรมา ถามว่ามึงอยากแรปเหรอ ผมก็ตอบไปทันทีเลยว่า ใช่ครับ ผมอยากแรปมาก ตอนนั้นฟีลเหมือนออดิชั่นเข้าค่ายเพลงเลย พี่เขาบอกให้ลองแรปมา แรปทางโทรศัพท์นี่แหละ เดี๋ยวไปเรียกเพื่อนมาฟังด้วย ซึ่งเพื่อนที่เขาเรียกมา คือ ต๊อบ Blacksheep ครับ ผมนี่ขนลุกซู่เลย คิดแต่ว่า โห ไอดอลกูมาฟังด้วยว่ะ

“แต่พอเริ่มแรปให้ฟัง พี่ต๊อบกลับบอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวมึงมาที่บ้านเลยดีกว่า”

เท่จัด–แชมป์ได้แต่เก็บความคิดนี้ไว้ในใจ รอจนวันนัดเจอกัน แต่พอถึงวันนั้น เขาถึงกับต้องสบถออกมาว่า “เหี้ยอะไรวะเนี่ย นี่กูอยู่ที่ไหน”

เพราะสถานที่ที่เขาคะยั้นคะยอขอมาเยือนแทบตายกลับไม่ใช่สตูดิโอเพลงขนาดใหญ่ ที่มีอุปกรณ์ครบครันทั้งมิกซ์เซอร์ ไมค์ หรือแม้แต่ห้องไว้อัดเสียงแยกอย่างที่ฝัน หากแต่เป็นเพียงห้องนอนเล็กๆ ที่มีแค่โซฟา ลำโพงขนาดใหญ่ 4-6 ตู้ และอุปกรณ์อัดเสียงอย่างกล้องแคมฟอกซ์พร้อมที่กันน้ำลาย DIY จากไม้แขวนเสื้อและถุงน่องติดตั้งไว้

ถึงตั้งคำถาม แต่นี่ก็นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำเพลง และถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับต๊อบ รุ่นพี่ที่เปรียบเสมือนไอดอลในการใช้ชีวิต และเป็นคนที่คอยเลี้ยงดูเขาในยามที่ชีวิตเจอปัญหา

ก้าวแรกสู่เวทีลิเก

ฟังเรื่องราวด้านบน ใครหลายคนอาจยังคิดว่าชีวิตของแชมป์ก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นไปกว่าคนอื่นเขา ก็แค่เด็กชายคนหนึ่งที่ตกหลุมรักในวัฒนธรรมฮิปฮอปเท่านั้น แต่ถ้าเราเล่าถึงสิ่งที่ทำให้ชายคนนี้แตกต่างไปจากคนอื่นอย่างการเติบโตมาในโรงลิเก คงทำให้ใครหลายคนเริ่มสนใจขึ้นมาบ้าง

การเต้นบีบอยไปพร้อมๆ กับการจดจำท่าพรหมสี่หน้า ท่ายูงฟ้อนหาง และบทลิเกหลายบทบาททั้งตัวโจ๊ก พระเอก และพ่อพระเอก คือสิ่งที่ดำเนินไปพร้อมกันในไรม์ชีวิตของเขา

“จริงๆ พ่อกับแม่ไม่อยากให้เป็นลิเกนะ คนที่ขอเล่นลิเกคือผมเอง” แรปเปอร์หนุ่มแย้งขึ้นมาเมื่อเราถามออกไปว่าลูกชายเจ้าของคณะลิเกคนนี้ต้องแบกรับความกดดันจากพ่อแม่ให้สืบต่อกิจการบ้างหรือเปล่า

“เขาจะพูดเสมอว่าไม่อยากให้เป็นเหมือนกู อยากให้เป็นข้าราชการ เป็นตำรวจมากกว่า จะได้มีเงินบำนาญ แก่ไปจะได้สบาย ทำงานอย่างเขามันหาเช้ากินค่ำ แต่ด้วยความที่สังคมรอบข้างเป็นลิเกหมด เราเลยรู้สึกเหมือนเป็นแกะดำในนั้น คุยกับใครก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะเขาฟังแต่เพลงลูกทุ่งเป็นส่วนใหญ่ บวกกับช่วงนั้นเราเริ่มโตเป็นวัยรุ่นแล้ว เริ่มอยากทำงานพิเศษ อยากช่วยพ่อแม่บ้าง ก็เลยขอพ่อหัดลิเก”

“มึงเรียนได้ แต่กูจะไม่สอนมึง” คือคำตอบที่เขาได้รับจากพ่อ

ไม่ใช่ปัญหา แชมป์ตัดสินใจไปเรียนลิเกกับคณะอื่น ไปเผชิญกับคลาสเรียนลิเกที่เขาย้ำคำว่า ‘มันโหดมาก’ ให้เราฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก

“ขั้นตอนการหัดลิเกมันโหดมากครับ มันยากมาก เพราะเราไม่มีพื้นฐาน ไม่มีอะไรเลย ยิ่งผมเต้นบีบอยมา ท่าทางของเราจะยิ่งแข็งกระด้าง ผมต้องไปนั่งให้เขาถีบขาให้ฉีกออก ต้องเอามือจุ่มในน้ำอุ่นแล้วดัดให้อ่อน แค่เข้าไปเรียนวันแรกก็รับรู้ได้ถึงความกดดันแล้ว เขาสอนให้เราดูแล้วจำ ได้บทไหนมาก็ต้องเล่นให้ได้ตามนั้น แจกบทให้อ่าน ถ้ายังทำไม่เป็นก็ฟังครู ลองจินตนาการดูว่าถ้าบทมันเป็นแบบนี้ เราจะพูด จะแสดงออกมายังไง แล้วในหนึ่งอาทิตย์บทบาทที่เราได้นี่ไม่ซ้ำกันเลยนะ และสิ่งที่จำได้แม่นที่สุดตอนนั้นคือ ‘การทำวัตรเย็น’ มันคือชื่อที่ผมใช้เรียกแทนการท่องชื่อท่ารำต่างๆ พอท่องเสร็จก็ต้องรำต่อ รำให้ครบทุกท่า มีโอกาสผิดได้ประมาณ 3 ครั้ง ถ้าผิดครั้งที่ 4 จะโดนทุบ ซึ่งผมก็โดนทุกวัน โดนประจำ

“ฝึกอย่างนี้ทุกวัน กินเวลานานเป็นเดือน พอปิดเทอมคณะก็จะเริ่มหางานลิเกให้เล่นอย่างจริงจัง ผมก็เล่นมาอย่างนั้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วง ม.1 จนใกล้จะขึ้น ม.3 ที่เริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว มันกระทบกับการเรียนเกินไป เนื่องจากบางงานกว่าจะเลิกก็ตีหนึ่ง กว่าจะนั่งรถจากต่างจังหวัดกลับมาถึงนครสวรรค์ก็บวกไปอีก 3-4 ชั่วโมง บางทีกลับมาถึงบ้านก็เช้าแล้ว ยังไม่ทันได้นอนก็ต้องไปเรียนต่อ หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องหยุดเรียนไปเลย

แม่เลยให้หยุด เขาบอกว่ากูอยากเห็นมึงเรียนจบ”

แต่ใช่ เขาเรียนไม่จบ แม้จะห่างหายจากงานลิเกและกลับมาเรียนตามปกติแล้วหนึ่งเทอม แม้จะคิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไรมาทำให้เสียการเรียนอีกแล้ว

แต่ชีวิตมักเล่นตลกอยู่เสมอ

ก้าวแรกที่ห่างจากครอบครัว

ครอบครัวของผมแยกทางกันช่วงเวลานั้นพอดี” แชมป์ยังเล่าต่อไปด้วยสีหน้าปกติ แม้ดวงตาจะฉายแววหม่น

“ชีวิตผมเปลี่ยนไปเลย เริ่มเกเร เพราะไม่มีคนคอยดูแล เหมือนอยู่ๆ ก็ได้รับอิสระ ก่อนหน้านี้จากที่ผมไม่เคยได้รับอนุญาตให้ขับมอเตอร์ไซค์มาเรียนเอง พอพ่อกับแม่แยกทางกันปุ๊บผมก็ได้รับมอเตอร์ไซค์มาหนึ่งคัน

“วันๆ หนึ่งแทบไม่มีคนอยู่บ้าน เราจะทำอะไรก็ได้ เขามีหน้าที่แค่ทิ้งเงินไว้ให้ผม 60 บาทต่อวัน ผมไม่รู้จะไปไหน เลยไปหาพี่ต๊อบบ้างโดดเรียนบ้าง

ไม่ต้องเป็นคนช่างสังเกตก็คงมองเห็นว่าทั้งสีหน้า แววตา และน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป จากเด็กหนุ่มติดตลก ยิงมุกแทบจะทุกคำตอบ แชมป์นิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคิดถึงคืนวันในอดีตที่ยังติดค้างในใจ

การแยกทางของพ่อแม่มีผลกับผมมากๆ ตอนนั้นเราเครียดมาก เพราะเขาทะเลาะติดกันเป็นเดือน ทะเลาะให้น้องสาวเราเห็นทุกวัน บางทีกลับมาบ้าน เดินเข้ามาก็เห็นทั้งพ่อและแม่ตาเขียว ที่สำคัญคือตอนนั้นผมไม่ได้รับรู้หรอกว่าครอบครัวกำลังถังแตก แต่รู้สึกแค่ว่าทำไมชีวิตต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย ยิ่งพอได้รู้ว่าเขาไม่มีเงินแล้วนะ เขาทั้งคู่อยู่ด้วยกันไม่ไหวแล้ว และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาทะเลาะจนต้องเลิกกัน ผมรับไม่ได้เลย รับไม่ได้หนักมาก คิดแค่ว่ามันไม่ใช่เรื่องของเราที่จะต้องมารับรู้อะไรแบบนี้ ผมยังเด็กเกินไป”

“มีวันหนึ่งผมกลับมาบ้านแล้วเห็นเงารางๆ ว่าพ่อเอาเชือกมาผูกกับพัดลมเพดาน ให้พัดลมมันค่อยๆ หมุนเร็วขึ้นๆ จะได้รัดเขาไป ผมเห็นปุ๊บรีบทิ้งมอเตอร์ไซค์ไว้แล้ววิ่งข้ามทุกอย่าง กระโดดข้ามรั้ว รีบปีนเข้าบ้าน ทุบกระจกจนแตก เพราะพ่อล็อกทุกอย่างเอาไว้ วันนั้นผมเข้าใจถึงคำว่าวิ่งไม่คิดชีวิตเป็นครั้งแรก

“ไม่รู้เหมือนกันว่ามันบาปไหม แต่ผมกระโดดถีบพ่อเต็มแรง แบบสองตีนเน้นๆ เพื่อให้เขาหลุด

“มันไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องมารับรู้อะไรแบบนี้เลย ผมกดดัน กดดันมากจนคิดฆ่าตัวตาย และผมก็ทำไปจริงๆ ด้วย

“เพราะว่ายน้ำไม่เป็น ผมเลยไปนั่งอยู่ตรงแม่น้ำ คิดแค่ว่าอยากฆ่าตัวตายมากเลย ชีวิตผมเคยเป็นคุณหนูมาก่อน พอวันหนึ่งที่เราต้องมารับรู้หรือมาเจอเรื่องแบบนี้ ผมรับไม่ได้เลย แค่คิดว่าครอบครัวเราจะไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าเหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเราจะเอายังไงต่อกับชีวิต ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะมีเงินเรียนต่อไหม ตอนนั้นผมพร้อมตายเลย

“ไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เด็กคนหนึ่งจะกล้าทำหรือเปล่า แต่วันนั้นผมกล้า และพร้อมมาก ผมสามารถลุกขึ้นเดินแล้วกระโดดลงไปในน้ำได้โดยไม่คิดอะไรเลย ยังดีที่ในนาทีนั้นมีภาพของน้องสาวลอยเข้ามา และทำให้ฉุกคิดว่า ถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมา ถ้าพ่อกับแม่เลิกกันจริงๆ แล้วใครจะดูแลน้อง น้องมึงจะอยู่ยังไง

“ไม่เป็นไร ค่อยตายก็ได้ วันนี้กลับไปดูแลน้องก่อน” น้ำเสียงของเขาที่เปล่งออกมาหนักแน่นพอๆ กับสีหน้าและคำมั่นสัญญาที่เคยกล่าวไว้กับลมกับฟ้าในวันนั้น

ก้าวแรกที่ทุ่มเท

หลังจากที่แม่พาน้องสาวไปอยู่ด้วย แชมป์บอกว่าช่วงชีวิตหลังจากนั้นเหมือนเขาใช้ชีวิตคนเดียวแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะโกรธพ่อและแม่ เขาจึงกลายเป็นเด็กอายุ 15 ที่ไม่รู้จะพูดหรือระบายกับใครดี วิธีการแสดงออกเพียงอย่างเดียวคือการแรป และเขียนทุกอย่างระบายออกมาเป็นเพลง ยังดีที่อย่างน้อยวันนั้นเขายังมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์อย่างต๊อบและครอบครัวช่วยดูแล

“ผมมาอยู่กับพี่ต๊อบ จนเปิดเทอมแล้วก็ยังไปกินไปนอนบ้านเขาอยู่ ระหว่างนั้นก็ใช้เวลาไปกับการฝึกแรป เริ่มฟังเพลงฮิปฮอปอันเดอร์กราวนด์ของคนอื่นๆ มากขึ้น ได้รู้จักกับแนวเพลงแปลกๆ ใหม่ๆ ที่มีคำสัมผัสสวยและความหมายดี เราพยายามจะหัดแรป หัดสังเกต หัดเขียนและคิดตาม ดูว่าคนอื่นๆ เขาเขียนกันยังไง ผลที่ออกมาคือจากตอนแรกที่ผมแรปเหมือนพี่ต๊อบมาก แม้กระทั่งเสียงก็ยังพยายามดัดให้เหมือน พอเราได้ขัดเกลาตัวเอง กลายเป็นว่าผมเริ่มฉีก เริ่มไม่เหมือนพี่ต๊อบไปทีละนิด จนเจอทางว่าจริงๆ เราชอบอะไร สไตล์การแรปแบบไหนที่เราชอบ

“สละสลวยสวยงาม มีความหมาย มีสัมผัสที่สองก่อนจบบาร์” แชมป์สรุปสไตล์ของตัวเองไว้อย่างนี้

หลังจากศึกษาอย่างเข้มข้น ติดสอยห้อยตามต๊อบไปร่วมงานเกี่ยวกับฮิปฮอปหลากหลายงานจนได้เห็นวงการฮิปฮอปของจริง แชมป์ได้เจอกับคนที่เขาชื่นชอบหลากหลายคน ได้เห็นวิธีการแข่งขันแรปแบตเทิล จนเริ่มตระเวนลงแข่งขันทุกงานที่มีโดยไม่สนใจเสียงบ่นและเสียงด่าจากพ่อและแม่เมื่อกลับบ้านไปขอเงินค่าเดินทาง

“ตอนไหนที่เริ่มตัดสินใจได้ว่าจะจริงจังกับเส้นทางนี้” เราเอ่ยถามด้วยความสงสัยจากเส้นทางชีวิตที่เขาเล่าให้ฟัง

“ผมไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นหนทางที่จะจริงจังได้” แชมป์ตอบกลับเราทันควันพร้อมอธิบายต่อ

“ผมไม่เคยเชื่อมั่นในเรื่องนี้เลย เราแรปมา 8-9 ปี แค่เรื่องที่เล่ามาจนถึงตอนนี้ก็กินเวลาไปกว่า 5 ปีแล้ว ผมรู้แค่ว่าผมชอบ ทำแล้วรู้สึกเท่ ยังจำบรรยากาศวันที่ทำเพลงแรกแล้วเดินกางเกงหลุดตูด เดินทำท่าแรปโย่เข้าโรงเรียนได้เลย ผมมีความสุขกับตรงนั้น และก็ไม่ได้คิดว่าผมจะไปหวังอะไรกับมันได้ ตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่า จบ ม.3 แล้วกูจะไปเรียนอะไร กูจะทำสายอาชีพอะไร”

ฟังจากที่แชมป์พูด ความเชื่อของเขาล้วนสะท้อนออกมาจากประสบการณ์ในอดีตที่มีที่มาจากสิ่งที่เขากำลังเล่าต่อไป

หลังจากกาลเวลาเปลี่ยนผ่านจนเขาเติบใหญ่กลายเป็นนายนครินทร์ แชมป์มีเรื่องชกต่อยรุนแรงกับรุ่นพี่ฮิปฮอปร่วมจังหวัดที่งาน ‘แรปเย้ยยุทธจักร’’ ฮิปฮอปเฟสติวัลที่พี่ๆ ที่เขาเคารพร่วมกันจัดขึ้นมา เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้แชมป์ตัดสินใจหยุดแรปไปเลยเกือบหนึ่งปีเต็ม เพราะรับไม่ได้ที่งานที่ตั้งใจจัดกันมาขนาดนี้จะพังลงด้วยฝีมือของเจ้าบ้านเอง เขาตัดสินใจลืมอดีต ทิ้งไว้แต่ดั้งที่เบี้ยวเป็นของฝากไว้ดูต่างหน้าย้ำเตือนว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเดินทางสายนี้

“หลังจากงานนั้นเพื่อนๆ ฮิปฮอปที่รู้จักกันก็เริ่มแยกย้าย พี่ต๊อบต้องไปเรียนตัดผมที่กรุงเทพ ส่วนผมก็ไม่ได้แรปอีกเลย พลิกผันตัวเองไปใช้ชีวิตแบบเด็กช่าง ฟังเพลงของพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ แทน” แชมป์ยิ้มขำพร้อมเล่าต่อถึงอดีตที่สุดท้ายเขาก็ลืมมันไม่ลง

“พอเวลาผ่านไป สุดท้ายเราไม่สามารถเมินได้หรอกครับ ทุกครั้งที่ผมได้ยินจังหวะกลอง เท้าก็ยังกระดิกอยู่ เวลาโมโหก็ยังนึกไรม์ไว้ตลอด จนมีวันหนึ่งรู้สึกว่าชีวิตว่างเกินไปแล้ว เลยไปนั่งเล่นอินเทอร์เน็ตที่ร้านเกม ในขณะที่หูฟังเพลง มือก็กดหาบีต ส่วนใจก็เถียงกับตัวเองว่าเราจะหาไปทำไม ตอนนั้นมีข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมาพอดี”

ข้อความนั้นเป็นข้อความและเพลงใหม่จากต๊อบ รุ่นพี่ที่เขาเคารพรัก และเพียงได้ฟัง ภาพบรรยากาศ รวมถึงความรู้สึกเก่าๆ ก็ย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง

และนั่นเป็นจุดที่ทำให้ MAIYARAP ตัดสินใจหวนคืนวงการอีกครั้ง

ก้าวแรกสู่ความสำเร็จ

แชมป์ลงสมัคร RAP IS NOW : The War Is On Season 2 ตามคำท้าของลูกพี่คนสนิทอย่างต๊อบ เขาคว้าที่ 3 มาไว้ในครอบครอง และแจ้งเกิดเป็น MAIYARAP แบบที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้

แชมป์สารภาพว่าเขาไม่ทันคาดคิดมาก่อนว่าการแข่งขันที่เป็นรายการเล็กๆ ที่โด่งดังกันเฉพาะกลุ่มเช่นนี้จะกลายเป็นเหมือนชนวนที่ปลุกกระแสให้วงการฮิปฮอปกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังหายไปนานกว่า 5 ปี และสร้างให้เขากลายเป็นแรปสตาร์ชื่อดังประดับวงการฮิปฮอปอย่างในปัจจุบัน

“ตอนที่สมัครไปผมก็ไม่รู้หรอกว่าผลจะเป็นอย่างไร จนวันประกาศเข้ารอบแล้วมีชื่อเราอยู่ในนั้นด้วยก็รู้สึกอยากจะอุทานว่า ‘บ้าไปแล้ว มันมีชื่อกูด้วยนะปีเตอร์’” แชมป์ยังเล่นมุกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้จะคุยกันมาค่อนชีวิตของเขาแล้วก็ตาม จากนั้นจึงเริ่มบรรยายเบื้องหลังของการแข่งขันครั้งนั้นให้เราฟัง

“ตอนนั้นคิดแค่ว่าเข้ารอบ 32 คนก็พอใจแล้ว จะเอาอะไรเยอะแยะ แต่พอปรากฏว่ารอบนั้นผมชนะ ได้เข้ารอบ 16 คน ไปแข่งกับ 23street ซึ่งเป็นรองแชมป์ของซีซั่นแรกก็คิดในใจไว้ก่อนเลยว่าสู้แค่ตายแล้วกัน แพ้ให้สมศักดิ์ศรีที่สุด อย่าให้ต้องอาย อย่าไปยืนเงียบบนเวทีก็พอ

“วันแข่งผมตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ใจเต้นเร็วขึ้นๆ จนทนรออยู่ในงานไม่ได้ ต้องออกไปสงบใจข้างนอก แทบไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เดินกลับเข้าไปในงานอีกทีก็ถึงคู่ตัวเองแล้ว ฟีลตอนนั้นคือผมไม่เอาเหี้ยอะไรแล้ว ขอทำเต็มที่ในแบบของกูแล้วกัน ตอนนั้นผมหูดับไปเลย ท่องแต่สิ่งที่ตัวเองจำมา ไม่ได้ยินว่าคนเฮดังมากน้อยแค่ไหน รู้แค่ว่าต้องทำให้ได้”  

แน่นอนว่าสุดท้ายเรารู้ว่าเขาทำได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้ก็ทำให้ชีวิตล่างเวทีที่ไม่มีใครรู้ของเขาพลิกผันเช่นกัน

“ตอนนั้นผมทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเน็ตไอดอล” แชมป์พูดให้ฟังถึงความรู้สึกช่วงที่เขามีชื่อเสียงขึ้นมาใหม่ๆ

“เพลงที่ผมตัดสินใจปล่อยไปหลังจากแข่งรอบ 16 คน วิวมันขึ้นสูงเรื่อยๆ ก็จริง แต่ผมในตอนนั้นกลับไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะมัวแต่ทุกข์ใจกับคอมเมนต์ที่โดนคนด่าว่ามึงแรปแค่สองบาร์แล้วหยุด มึงแรปจด โดนด่าจนแอบคิดกับตัวเองเลยว่ากูสละสิทธิ์ ไม่แข่งรอบต่อไปแล้วดีไหม มันมีทั้งคอมเมนต์ที่ดี และคอมเมนต์ที่ไม่ดีก็จริง แต่คนเราก็มักจะเลือกมองไปที่คอมเมนต์ที่ไม่ดีก่อนเสมอ ผมเครียดจนร้องไห้ออกมาแบบไม่รู้ตัว ร้องไห้จนไม่มีอะไรเหลือให้ร้องแล้ว ถึงคิดได้ว่าทำรอบต่อไปให้ดีที่สุดดีกว่า อย่าไปสนคำใครเลย”

เป็นอีกครั้งที่เขาสู้สุดตัว และได้ชัยชนะกลับมา

แต่เหมือนเขาจะลืมไปว่าระหว่างที่ทุกข์ใจ ยอดวิวในยูทูบก็ยังทำงาน

ทั้งสองอย่างนี้พาให้แชมป์มีผู้ติดตามเพิ่มขึ้น มีงานเข้ามามากขึ้น และเริ่มเป็นที่รู้จัก

เพลง How are you ที่เขาปล่อยไปทำเงินกลับมา จนแชมป์ถึงกับเอ่ยปากบอกว่าตัวเองในตอนนั้นอู้ฟู่มาก

“เงินก้อนแรกที่เข้ามามันเยอะก็จริง แต่สิ่งที่ผมคิดถึงและซื้อเป็นอย่างแรก คือหนังสือการ์ตูน มันคือสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจมาก เป็นสิ่งแรกเลยที่ทำให้ผมหันมาแล้วรู้สึกว่านี่แหละอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันของกู รู้สึกว่านี่มันแค่ก้าวแรก และกูต้องทำต่อไป”

ก้าวแรกที่ยอมรับตัวเอง

ทุกอย่างเหมือนจะไปได้ดี แต่พอเงินก้อนต่อไปเข้ามาเรื่อยๆ แชมป์ก็เป็นศิลปินคนหนึ่งที่เจอกับอาการ ‘เหลิง’ อยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกัน เขาใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเพราะคิดไปว่ายังไงก็คงมีมาใหม่อีก รวมถึงความดังที่เพิ่มขึ้นยังทำให้เขาเปลี่ยนไปจนเริ่มโดนคนด่าว่าหยิ่งบ่อยๆ

“พี่ต๊อบพูดกับผมว่า ‘ดังแล้วปีกกล้าขาแข็งเหรอมึง’ มันทำให้ผมรู้สึกตัวว่าเราต้องมีอะไรเปลี่ยนไปแน่ๆ เขาบอกว่าผมเปลี่ยนไปมาก เหมือนผมเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนนี้ไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเองเลย

“พอนั่งย้อนมองตัวเองก็พบว่าจริง แต่มันไม่ใช่ความมั่นใจหรอก มันคือความมั่นหน้ามากกว่า ตอนนั้นผมสามารถเดินไปที่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องอาศัยความมั่นใจในตัวเอง ไม่ต้องมานั่งบิลด์ตัวเองว่า เฮ้ย มึงกล้าๆ หน่อย ผมอยู่ในจุดที่คิดว่าเดินเข้าไปเหอะ เขารู้จักมึงอยู่แล้ว มั่นใจว่าทุกคนต้องร้องเพลงเราได้ ซึ่งมันน่าสมเพชมากเลยนะที่คิดอย่างนั้น

“น่าสมเพชมากที่เรากลายเป็นคนที่ให้ชื่อเสียงมากลืนกินตัวเองได้ขนาดนี้”

จากคำพูดของต๊อบ แชมป์ใช้เวลาเพียงคืนเดียวคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ว่าตัวเองไปทำอะไรผิด หรือทำตัวแย่กับใครไว้บ้าง จากนั้นจึงทักไปขอโทษทุกคนที่อาจเคยทำตัวไม่ดีใส่ ปรับปรุงตัวแล้วกลับมาเป็นแชมป์คนเดิมที่พยายามทำตัวให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ช่วงเวลานั้นจะตรงกับการแข่งขันรอบสุดท้ายของ RAP IS NOW ที่เขาแพ้พอดี แต่แชมป์ก็นิยามว่านั่นคือความพ่ายแพ้ที่เขาคิดว่าสวยงามและสมควรแล้ว สุดท้ายหลังจากจบการแข่งขันทั้งหมด เขาเดินทางกลับบ้านไปพร้อมกับชื่อเสียงท่ีพุ่งทะยานถึงขีดสุด

แต่กว่าครอบครัวของเขาจะได้รู้เรื่องนี้ก็ตอนที่รายการ RAP IS NOW จบไปแล้วพักใหญ่

“เพราะผมปิดกั้นทุกอย่าง เขาไม่เคยได้รู้อะไรเกี่ยวกับเราเลย เวลากลับบ้านผมก็ไม่ได้ไปในนามของศิลปิน ผมไปด้วยลุคกางเกงขาสั้น เสื้อยืดขาดๆ สวมรองเท้าแตะตามปกติ มันจะแปลกไปก็ตรงที่ตอนนั้นผมไม่ค่อยขอเงินเขาแล้ว

“ตอนที่รู้ เขาทั้งดีใจและรู้สึกผิด แม่จะแสดงออกชัดมากเลยกับเรื่องนี้ เขาบอกกับผมเสมอว่า เขาไม่สามารถพูดได้นะว่าผมได้ดีเพราะเขา ให้ขอบคุณตัวเองดีกว่าที่ผ่านมาได้ขนาดนี้ โดยที่ไม่ติดยา ไม่ทำให้พ่อแม่อับอาย หรือไปทำอะไรให้เขาเดือดร้อน

“แรงขับเคลื่อนของผมคือคำดูถูก ไม่ว่าจากที่บ้าน หรือญาติๆ ฝั่งไหนก็ตาม อย่างคำพูดที่บอกว่ามึงจะทำมาหาอะไรแดกวะ หรือหนักสุดคือคำที่บอกว่า กลับมาเล่นลิเกไหม ดูพ่อมึงกับกูสิ เล่นลิเกมา หาเงินได้เยอะนะ ตั้งแต่ตอนอายุเท่ามึง ไม่ต้องมานั่งเป็นภาระพ่อแม่แบบนี้หรอก คำพูดเหล่านั้นมันแรงมากเลยนะ ตอนได้ยินครั้งแรกผมร้องไห้เลย ปฏิญาณกับตัวเองว่าสักวันหนึ่ง กูจะต้องมีเงินให้ได้ แม้จะไม่ใช่ทางของแรปเปอร์แต่กูจะมีเงิน แล้วเอาเงินพวกนี้มาอุดปากคนที่พูดแบบนี้ให้ได้”

ถ้าดูจากไรม์ต่างๆ ที่มักจะมีเรื่องนี้แฝงอยู่เสมอ เราคิดว่าเขาคงเจ็บปวดกับคำพูดพวกนี้จริงๆ

แต่อย่างน้อยความสำเร็จในวันนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าเขาเติบโตจนยอมรับตัวเองได้และไม่ได้เป็นภาระใครในที่สุด

ก้าวปัจจุบัน

“ผมไม่ชอบการแข่งขันเลย ถึงจะผ่านมาแล้วหลายเวทีก็เถอะ” กับบทบาทที่คนส่วนใหญ่เริ่มรู้จัก MAIYARAP ในรายการ The Rapper Season 2 แชมป์เริ่มอธิบายตัวตนของเขาไว้แบบนั้น

“ผมไม่ชอบอะไรที่วุ่นวาย ไม่ชอบที่ที่คนเยอะ แต่ผมคิดว่าในเมื่อเราอยากจะเก่ง เราก็ต้องยอมเสียอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าชอบในเรื่องแบบนี้ก็ต้องยอมเสียสละ ถ้ามึงอยากเป็นนักร้อง แต่ไม่ชอบที่ที่คนเยอะแล้วมึงจะร้องให้ใครฟัง ผมเป็นนายห่วยจริงๆ แบบที่เขียนไว้ในไรม์เลย หลงทางเก่งมาก ไฟแช็กก็หายบ่อยจริงๆ ทั้งโก๊ะ ทั้งซื่อบื้อ ครบแล้วในยอดมนุษย์คนนี้ แต่สิ่งที่ผมคล่องตัวมากที่สุด และมองว่าตัวเองไม่ได้ห่วยในเรื่องนี้ คือการแรปและการร้องเพลง ผมรู้หน้าที่ตัวเองดีที่สุดว่าผมควรทำอะไร

“ถ้าให้ทบทวน เคล็ดลับความสำเร็จในทุกวันนี้ของคุณคืออะไร” เราถามให้แชมป์ย้อนคิด

ผมโชคดี” เขาเอ่ยคำตอบที่ไม่ได้ให้เครดิตตัวเอง ก่อนจะอธิบายต่อ

“ไม่ว่าจะเกิดอะไร ผมจะมีคนคอยช่วยเหลือ คอยซัพพอร์ตเสมอ ไม่ว่าจะเป็นพี่ต๊อบ ครอบครัว หรือคนอื่นๆ ที่คอยอยู่กับผมมา คนเหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่ตบให้เราเข้าที่เข้าทาง ทุกครั้งที่ผมออกนอกลู่นอกทางเขาก็จะดึงเรากลับมาเสมอ แต่ถ้าถามว่าได้ดีเพราะใคร ก็คงต้องตอบว่าได้ดีเพราะ RAP IS NOW ครับ เพราะถ้าไม่มีรายการนี้ก็คงไม่มี MAIYARAP แบบทุกวันนี้หรอก

“การเดินทางในเส้นทางแรปเปอร์มาตลอด 8-9 ปี มันให้ทั้งเพื่อน ทั้งครอบครัว ทั้งช่วยลบคำสบประมาท ให้เงิน ให้อาชีพ ให้รถ ผมน่าจะเป็นคนที่พูดได้เต็มปากจริงๆ ว่าแรปแม่งให้ทุกอย่าง แต่ผมก็ยังไม่ได้พอใจกับชื่อเสียงของตัวเองนะ ไม่ได้พอใจกับสิ่งที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ กว่าจะถึงความสำเร็จที่คาดหวังไว้ยังเหลืออีกไกล มันยังไม่ถึงจุดสูงสุดของจริง”

แชมป์ก้มมองรอยสักที่มือที่เขาให้ความหมายว่านี่คือมือที่จะคว้าความสำเร็จ ก่อนจะยิ้มบอกเราถึงเป้าหมายสูงสุดอันเป็นบทสรุปเรื่องราวทั้งหมด

“เพราะเมื่อไหร่ที่คนพูดถึงแรปเปอร์แล้วพูดชื่อ MAIYARAP ออกมา วันนั้นต่างหากที่น่าจะเป็นวันที่ผมประสบความสำเร็จ”

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

เธียรสิน สุวรรณรังสิกุล

เจ้าของเพจ T E 4 M ที่หลงใหลในมุกตลกคาเฟ่และชื่นชอบน้องหมาหน้าย่นเป็นที่สุด