คุยกับ ‘เขื่อน ภัทรดนัย’ ในวันที่ใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องขออนุญาตใคร

Highlights

  • ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวของ เขื่อน–ภัทรดนัย เสตสุวรรณ อดีตสมาชิกบอยแบนด์ดัง K-OTIC อยู่ในความสนใจของหลายคน ใครติดตามไอจีของเขาคงได้เห็นภาพชีวิตการเป็นนักศึกษาปริญญาเอกในลอนดอน เช่นเดียวกับภาพเขื่อนในชุดเดรสหลากสไตล์ที่สนุกสนาน สุดเฟียร์ซ พร้อมเมสเซจพลังบวกที่ตอกย้ำเสมอว่าเราทุกคนคือเจ้าของร่างกายและชีวิตของตัวเอง
  • แต่กว่าจะเป็นคนที่เลือกใช้ชีวิตอย่างไม่รู้สึกว่าต้องขออนุญาตใคร เขื่อนผ่านช่วงที่เขาไม่ได้เลือกมานับไม่ถ้วน คล้ายชีวิตของ LGBTQ+ ทั่วไป ในเปลือกนอกที่เข้มแข็งเขามีด้านเปราะบางที่เกือบจะแตกสลาย ในชีวิตที่เลือกได้ก็เคยต้องทนกับสิ่งที่ไม่เห็นด้วยอยู่หลายครั้ง
  • เขื่อนเชื่อว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงได้ ไม่ตายตัว และเราจะเติบโตได้อย่างเต็มที่ที่สุดเมื่อเราได้ผ่านการสำรวจตัวเองอย่างถี่ถ้วน

เขื่อน ภัทรดนัย

ตลอดการสนทนายาวนาน ประโยคที่ผุดขึ้นมาในหัวเราตลอดเวลาคือ บุคคลตรงหน้าตอนนี้ช่างเป็นคนที่ live life unapologetically หรือ ‘ใช้ชีวิตแบบไม่รู้สึกว่าต้องขอโทษใคร’

นักร้องในวงบอยแบนด์ดัง นักแสดง ยูทูบเบอร์ อาจเป็นบทบาทของ เขื่อน–ภัทรดนัย เสตสุวรรณ ที่หลายคนรู้จัก ส่วนใครที่ติดตามชีวิตของเขาใกล้ชิดกว่านั้นอาจรู้ว่านอกจากบทบาทที่ว่า สถานะตอนนี้ของเขื่อนคือนักศึกษาปริญญาเอกสาขา Existential Psychotherapy หรือการบำบัดจิตด้วยปรัชญาชีวิตที่เขาบินไปเรียนถึงลอนดอน ซึ่งล่าสุดเขาอัพเดตกับเราว่าเรียนมาได้เกือบครึ่งทางแล้ว

นอกจากบทบาทเหล่านี้ เขื่อนยังเป็นกระบอกเสียงที่ออกมาพูดเรื่องความหลากหลายทางเพศและความเท่าเทียมบ่อยครั้ง และอาจเป็นดาราไทยคนเดียวที่นิยามตัวเองว่าเป็น asexual (กลุ่มคนที่ไม่ฝักใจทางเพศ ให้ความสำคัญกับความรักโรแมนติกมากกว่าหรือเท่ากับเซ็กซ์) และในวันที่รู้สึกถึงความเป็นผู้หญิงสูง เขื่อนก็ลุกขึ้นมาแต่งชุดเดรสสีสันสดใส อวดภาพถ่ายทางอินสตาแกรม ในยามว่างเขาใช้เวลาตอบ direct message ของเด็กๆ LGBTQ+ ที่เข้ามาปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับตัวตน และในอนาคตเขื่อนฝันอยากเปิดคลินิกเยียวยาจิตใจที่เป็น safe zone ของทุกคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่อยู่ในกรอบเกณฑ์ของสังคม

แม้จะไม่เคยออกตัว แต่เขื่อนคือตัวอย่างของคนที่เลือกเป็นตัวเองได้สุดทางจนหลายคนยกให้เป็นไอดอล เราจึงถือโอกาสนี้ขอให้เขื่อนย้อนบทบาทในแต่ละช่วงชีวิตให้เราฟัง

เพราะสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ คือสิทธิในการเลือกเป็นตัวเองได้อย่างอิสระ แต่กว่าจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้สึกว่าต้องขอโทษใครอย่างทุกวันนี้ เขาผ่านอะไรในชีวิตมาบ้าง

ต่อไปนี้คือชอยส์ที่เขาเลือกได้และไม่ได้เลือก

เขื่อน

 

a. Brother

“ตั้งแต่จำความได้ เขื่อนโตมาพร้อมกับคำพูดของพ่อแม่ที่บอกว่าพวกเรามียูเพราะพี่สาวยูเป็นออทิสติกนะ หน้าที่ของยูคือดูแลพี่สาว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ถ้าคุณตาคุณยายหรือคุณแม่ไม่อยู่แล้ว เธอต้องเป็นคนดูแลพี่สาว

“ตอนนั้นเขื่อนไม่คิดอะไรมากเลย คิดแค่ว่า this is my purpose (นี่คือเป้าหมายของฉัน) ในการเกิดมา เราก็รับไว้ แต่พอเขื่อนยิ่งโตก็ยิ่งรู้ว่า โห การบอกเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไรด้วยซ้ำว่าเขามีหน้าที่ มันหนักมากเลยนะ ตอนเรียนมัธยมเขื่อนตัวติดกับพี่สาว เห็นพี่โดนบูลลี่มาตลอด แต่เราก็โทษเด็กเหล่านั้นไม่ได้เพราะระบบการศึกษาที่นี่ไม่เคยสอนเด็กว่าออทิสติกคืออะไร สเปกตรัมของ Autism คืออะไร พี่สาวเขื่อนโตมากับความรู้สึกว่าไม่ belong กับที่ที่เขาอยู่เลยแค่เพราะเขาแตกต่าง

“ในขณะเดียวกัน เราก็รู้สึกไม่ belong เหมือนกัน ตอนเด็กเขื่อน feminine มาก เลือกเรียนอินเตอร์ ไว้ผมยาว มัดผมไปเรียน ไม่ได้สุงสิงกับเด็กผู้ชายคนอื่น แม้ตอนนั้นจะยังไม่ได้นิยามตัวเองว่าเป็นอะไร แต่ I always knew I was different. (ฉันรู้มาตลอดว่าฉันแตกต่าง)”

เขื่อน และ K-OTIC

 

b. Singer

“ตอนเข้าไปเป็นนักร้องวง K-OTIC ใหม่ๆ เรารู้ว่าเราไม่เหมือนเพื่อนๆ ทั้ง 4 คน พอรู้จักคำว่าเกย์ก็คิดว่านี่แหละนิยามของเรา ซึ่งเพื่อนๆ ก็น่ารักมากเพราะเขารู้ตั้งแต่เริ่มต้นและต้อนรับเรา อาจจะมีแซวนิดหน่อยด้วยความสนิท แต่ไม่เคยบูลลี่หรือกดดัน

“ช่วงเข้าวงการบันเทิงใหม่ๆ เขื่อนลำบากมากนะ เพราะเพลง รักไม่ได้หรือไม่ได้รัก ปล่อยออกไปแล้วขึ้นที่หนึ่งทั่วประเทศทันที แล้วตอนนั้นเขื่อนว่าค่ายก็คงเซนส์ได้ว่าเขื่อนไม่ได้เป็น straight boy ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเขาก็เรียกไปบรีฟเลยว่า ห้ามนะ ห้ามพูด ห้ามออกตัวตรงนี้

“คำว่าห้ามในวันนั้นติดอยู่ในใจของเขื่อนกว่าสิบปี เหมือนมันเป็นคำที่สร้างตัวตนใหม่ให้เราทันที ลืมการออกเดตกับผู้ชายไปได้เลย ช่วงนั้นมีเสียงในหัวดังอยู่ตลอดว่าถ้าออกมาบอกว่าเป็นเกย์แล้ววงโดนรุมก็เท่ากับทำให้เพื่อนๆ อีก 4 คนพังด้วยนะ ยูไม่ดีพอนะ และจะดีพอก็ต่อเมื่อยูเดินไปข้างหน้า เขื่อนก็รับมือด้วยการทำให้คนอื่นพอใจ ใครให้ทำอะไรเขื่อนทำหมด เป็นเด็กที่เข้ากับผู้ใหญ่ได้ง่ายเหมือนถูกตั้งค่าอัตโนมัติ

เขื่อน และ K-OTIC

“ตอนเด็กๆ เขื่อนรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลาแต่ไม่ร้องไห้ เพราะเขื่อนเป็นคนร้องไห้ยากตั้งแต่เด็ก เหมือนทุกครั้งที่รู้สึกแย่จะกลืนความรู้สึกตัวเองลงไป เขื่อนจะมีวิธีรีเซตคาแร็กเตอร์ของตัวเองเวลาทำงานด้วยการนับถอยหลัง 5 4 3 2 สวัสดีครับ เขื่อนครับ 5 4 3 2 ซ้อมเต้น 5 4 3 2 บริษัท พอหมดวันเขื่อนกลับบ้านมาตัวชา นอนไม่ได้ หายใจไม่ทั่วท้อง แต่แค่นับ 5 4 3 2 เขื่อนก็จะเอาคาแร็กเตอร์ที่คนยอมรับเรา เห็นเราแบบนั้นแล้วคนแฮปปี้ออกมา

“ช่วงอายุประมาณ 15-16 มีวันหนึ่งที่เขื่อนไปบอกแม่ว่าไม่ไหวแล้ว ถ้าไปต่ออย่างนี้เขื่อนไม่อยากอยู่แล้ว ซึ่งมองย้อนกลับไป ตอนนั้นเรายังไม่รู้เลยว่าที่บอกว่าไม่อยากอยู่แล้วคืออะไร รู้แค่ไม่อยากอยู่อย่างนี้แล้ว ไม่อยากไปต่อแล้ว ตอนนั้นยังไม่รู้จักคำว่าสุขภาพจิตหรือนักจิตวิทยาด้วย เราบอกแม่แค่ว่า วันนี้เขื่อนขอ แม่เชื่อใจเขื่อน แม่ทำยังไงก็ได้หาความช่วยเหลือให้เขื่อนหน่อย คุณแม่ไม่ถามอะไรเลยนะ บอกว่าแม่รักลูกนะ แค่นี้

“วันนั้นคือวันที่เขื่อนได้สัมผัสการบำบัดจิตใจเป็นครั้งแรก ในยุคนี้การรักษาโรคซึมเศร้าเพิ่งกลายเป็นที่พูดถึงอย่างแพร่หลาย แต่ยาต้านความเศร้าซึมไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเขื่อนเลย”

 เขื่อน และครอบครัว

 

c. Survivor

“ช่วงชีวิตวัยรุ่นเป็นช่วงเวลาที่เซอร์เรียล ตอนรับยาต้านซึมเศร้า เขื่อนไม่ได้หยุดพักงานหรือการเรียนเพราะตั้งหลักในใจว่าจะต้องไม่ล้มเหลวในทุกเรื่อง ช่วงนั้นในหัวเขื่อนเบลอมาก จำเหตุการณ์ต่างๆ ได้แค่เป็นช็อตๆ แต่ตอนที่จำได้แม่นคือวันที่ come out กับแม่

“ตอนนั้นไม่ได้มีรูปหลุดหรือข่าวลืออะไรเลยนะ เขื่อนกลัวแม่จะรู้จากที่อื่นแล้วแม่จะเสียใจ ไม่รู้ว่าความกลัวนั้นมาจากไหน แต่คิดว่าถ้าจะมีคนรู้ก็อยากให้คนที่เรารักที่สุดในชีวิตรู้ก่อน

“ตอนจะบอกเรากลัวมากเพราะเคยเห็นฉากเปิดตัวในหนัง มันยิ่งใหญ่มากเลย แต่พอบอกคุณแม่จริงๆ คุณแม่ชิลล์มาก บอกว่าอ๋อเหรอ แค่นี้ใช่ไหม ฉันรู้อยู่แล้ว ฉันรักเธอ จบ ตอนนั้นเขื่อนแอบเคืองด้วยนะ ทำไมขอไปนอนอะ ทำไมไม่มีโมเมนต์แบบ heart to heart เลย (หัวเราะ)

“ผิดกับตอน come out กับสาธารณชน ตอนนั้นเขื่อนไปเรียนปริญญาโทที่อังกฤษแล้ว เขื่อนโดน outed (ถูกบังคับให้เปิดตัว) แบบไม่ตั้งใจ เพราะมีรูปหลุดกับเดเมียนแล้วมันไม่ได้หลุดแค่รูปกินข้าว มันเป็นรูปที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว เช่น รูปครอบครัวเราอยู่ด้วยกัน รูปที่เรานั่งตักกัน ตอนนั้นจะโทษเดเมียนก็ไม่ได้เพราะเขาก็เล่นเฟซบุ๊กเหมือนคนเล่นเฟซบุ๊กไม่เป็น อัพรูปทีเดียว 400 รูปพร้อมกัน รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นข่าว

“แฟร์ไหม มันไม่แฟร์หรอก เพราะเราไม่ได้เป็นคนบอกเองในเวลาที่เราพร้อม การโดนบังคับให้เปิดตัวมันเหมือนเอาสิทธิความเป็นมนุษย์ของเราออกไป ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเขื่อนอยากเลือกเปิดตัวเองมากกว่า สิ่งที่เราทำได้คือเลือกที่จะรับรู้ บอกคุณแม่ว่าเขื่อนว่าวันที่เราเคยคุยกันมันมาแล้วนะ คุณแม่ก็บอกโอเค เขาก็ไปประมวลผลในฝั่งของเขา เพราะการที่เราเปิดตัวมันเป็นมากกว่าการเปิดตัวของเราแต่แม่เขาก็จะโดนเพื่อนๆ พี่น้องหลายคนตั้งคำถาม เขื่อนก็มาคิดว่าถ้าโดนกระแสโจมตีว่ารับไม่ได้ เราจะทำยังไงต่อ

“ตอนนั้นเขื่อนโดนยำ โดนบูลลี่ โดนเหยียบ แต่ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มคนที่เขาตระหนักเรื่องเพศ ทุกคนต้อนรับเขื่อนดีมาก สิ่งที่เราทำคือโฟกัสกับกลุ่มนี้ เพราะเขื่อนเลือกไม่ได้ว่าใครจะมาว่า แต่เขื่อนเลือกที่จะโฟกัสกับคนที่ซัพพอร์ตเราและพร้อมเป็นกำลังใจให้เราได้

“เขื่อนไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อไหน เพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องออกมาแก้ตัว เขื่อนรับมือด้วยการโพสต์รูปภาพคู่กับเดเมียน พร้อมแคปชั่นว่า ‘This is Damien. พวกเรามีความสุขมาก’ เพราะเขื่อนอยากเป็นมาตรฐานให้คอมมิวนิตี้ LGBTQ+ เห็นว่าเราเลือกได้ แม้ในวันที่เราควบคุมอะไรไม่ได้ เราก็ยังสามารถเลือกได้ในสถานการณ์นี้”

เขื่อน

 

d. Psychotherapist Student

“เขื่อนมีแพสชั่นเรื่องจิตบำบัดมานาน นอกจากพี่สาวเป็นออทิสติก แม่เขื่อนก็เป็นไบโพลาร์ เราเห็นพี่กับแม่ใช้ชีวิตลำบากมาตลอด เขื่อนได้เข้าใจว่าจิตบำบัดทำให้แม่กับพี่ดีขึ้นยังไงในวันที่พวกเขาได้รับการบำบัดแล้ว เขามาคุยกับเขื่อนว่าเขาอยากให้ตอนเขาเด็กๆ มีใครสักคนจูงมือพาไปรักษาแบบตอนนี้ เขาเสียใจมากที่ไม่ได้ใช้ชีวิต เพราะที่ผ่านมาเขาโทษตัวเองมาตลอด พอได้ยินเขื่อนเข้าใจเลยว่าสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติ เราไม่ควรจะอายเพราะ it’s not you. It’s a part of you. หรือนั่นไม่ใช่ยู มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ยูสามารถเรียนรู้ที่จะจัดการมันได้ นั่นคือเหตุผลที่เขื่อนตัดสินใจเดินออกจากวงการและไปเรียนต่อด้านจิตบำบัดที่อังกฤษ

“ตอนนี้เขื่อนเรียนปริญญาเอกด้าน Existential Psychotherapy หรือการทำจิตบำบัดโดยใช้ปรัชญา มันเป็นแนวคิดที่ทำให้คนตระหนักว่าความหมายของชีวิตคืออะไร กระบวนการรักษาเคสหนึ่งปกติจะอยู่ที่ 6-12 ครั้ง แต่ของเขื่อนจะไม่กำหนดเวลาเพราะเราชอบคิดว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่เซตแล้ว ถ้าคุณเป็นคนแบบนี้ก็ต้องเป็นแบบนี้ไปตลอด แต่เขื่อนรู้สึกว่ามนุษย์คือ process ไม่ต้องมองไกลเลย เขื่อนวันนี้กับเขื่อนเมื่อวานก็ไม่เหมือนกันแล้ว

เขื่อน

“แค่เราอยู่กับคนนี้กับอีกคนก็ไม่เหมือนกันแล้ว หลายคนยึดติดกับคำว่าเฟคหรือบอกว่าคนคนหนึ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง เขื่อนมองกลับกัน เขื่อนว่าคนเราวิวัฒนาการตลอดเวลา บางทีก็พัฒนาไปข้างหน้า บางทีก็ถอยหลัง เพราะฉะนั้นเขื่อนจะไม่มองมนุษย์เป็นสิ่งที่เซตไว้แล้ว เราสามารถมีความเข้าใจ มีคาแร็กเตอร์ หรือ personality กับใครหลายคนไม่เหมือนกันได้ การใช้ชีวิตก็เหมือนกัน มันเป็นกระบวนการที่เราพัฒนาไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ที่ใครบางคนบอกว่า ฉันหยุดพัฒนาแล้ว เขื่อนว่านั่นคือวันที่คนคนหนึ่งเลิกใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

“มีโควตโควตหนึ่งในการทำงานจิตบำบัดที่เขื่อนชอบมาก เขาบอกว่า who ever learn to be anxious the right way, have learn to live life (ใครก็ตามที่เรียนรู้วิธีกังวลอย่างถูกต้อง คือคนที่ได้เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิต) เขื่อนมองว่าวันที่เราใช้ชีวิตเต็มที่คือวันที่เรายอมรับว่าเราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้นะ เรายอมรับกับ anxiety (ความวิตกกังวล) ที่เกิดขึ้นและพร้อมจะพุ่งชนมัน เขื่อนว่านั่นคือวันที่เราเลือกใช้ชีวิตอย่างเต็มที่แล้ว”

เขื่อน

 

e. Explorer

“ช่วงที่เรียนปริญญาโทอยู่อังกฤษ เขื่อนมีโอกาสได้สำรวจตัวเองอย่างลึกซึ้ง ทั้งเรื่องรสนิยมทางเพศ เซ็กซ์ และเสื้อผ้า

“จริงๆ ตอนอยู่ K-OTIC เสื้อผ้าของเขื่อนก็ค่อนข้าง feminine กว่าคนอื่นอยู่แล้ว แต่ตอนที่ได้ใส่เสื้อผ้าผู้หญิงจริงๆ เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อน เขื่อนจำได้ว่าวันหนึ่งเขื่อนรู้สึก hyper feminine มาก ตื่นมาแล้วทาครีม ทำผม พอเปิดตู้เสื้อผ้าออกมาก็เจอแต่เสื้อโปโล เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต รู้สึกว่าไม่มีเสื้อที่เราอยากใส่เลย นั่งคิดอยู่นานจนสรุปกับตัวเองว่า โอเค maybe let’s work on it. ลองดูสักตั้ง แล้วก็ไปร้านเสื้อผ้า ซื้อกระโปรงมาชุดหนึ่ง

“ครั้งแรกที่ใส่ชุดผู้หญิงอยู่บ้าน โคตรสบายเลย พอเรารู้สึกสบาย ตอนทำงานก็มีสมาธิ หลังจากนั้นก็เริ่มใส่ชุดผู้หญิงตอนอยู่กับเพื่อน ตอนแรกเพื่อนนึกว่าเล่นตลก ใส่ออกมาเดินเฟียซๆ หมุนตัว แต่เปล่า เราใส่ออกมานั่งเขียนงาน เพื่อนก็ถามว่าเขื่อนมึงบ้าเปล่าวะ เป็นไร เราก็ตอบเขาไปว่าไม่ได้เป็นอะไร อยากใส่ รู้สึกใส่สบายดี จากนั้นก็เริ่มใส่ไปซื้อของ กินข้าว ใส่ออกไปเดินเล่นคนเดียวเพื่อสำรวจตัวเอง”

เขื่อน

 

f. 100% Koen

ในกระบวนการสำรวจตัวเองนั้น คุณค้นพบอะไรบ้าง

เขื่อนอยากรู้ว่าถ้าเขื่อนใส่ชุดผู้หญิงไปข้างนอกแล้วโดนคนมอง ในหัวเขื่อนจะเกิดอะไรขึ้น การสำรวจตรงนี้เป็นพาร์ตใหญ่ของชีวิตเขื่อนเลยนะ เราสำรวจเพราะอยากรู้ว่านี่คือสิ่งที่ชอบหรืออยากเป็นหรือเปล่า เรามองตัวเองยังไง

เขื่อนโตมากับความรู้สึกว่าเขื่อนไม่ belong เลย ทั้งในความเป็นผู้ชายหรือวงการบันเทิง ตอนออกมาบอกว่าเป็นเกย์มีคนถามว่าเป็นรุกหรือรับ เป็นเกย์แมนหรือเกย์สาว ทำให้เขื่อนรู้ว่าถึงจะบอกว่าเป็น LGBTQ+ ยูก็ยังเอากรอบความคิดของชาย-หญิงมาใช้กับเรา ซึ่งเขื่อนไม่เข้าใจจริงๆ เพราะในบางวันที่เขื่อนรู้สึก feminine คือเขื่อนรู้สึกจริงๆ ว่าวันนี้ผิวเราสวย อยากพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ อยากใช้เวลาหน้ากระจกกับตัวเองมากขึ้น ไม่รู้จะอธิบายยังไงแต่ความรู้สึกมันอยู่ในใจ

ช่วงที่อยู่อังกฤษเขื่อนชอบออกกำลัง ในขณะเดียวกันก็ชอบใส่เสื้อผ้าผู้หญิง ใส่สร้อยไข่มุก คนที่เขื่อนรู้จักบางคนเขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขื่อนที่มีรูปร่างแบบนี้ถึงใส่อะไรที่เป็นผู้หญิงมาก เขาลำบากมากในการทำความเข้าใจ เพราะในหัวเขาคิดว่าเขื่อนต้องบ้าคลั่งกับการทำตัวให้เป็นผู้ชายเหมือนภาพเกย์ในสื่อ เป็นเกย์สาวแต่ใส่เสื้อแมนหมายถึงแอ๊บแมน ไปเล่นยิมไอต้องเป็นคน hypersexual (คนที่มีแรงขับทางเพศมากๆ) ใช่ไหม แต่พอเขื่อนพยายามอยู่ในโลกนั้น เขื่อนลำบากมากเลย มันกลายเป็นว่าเราทำอย่างที่คนอื่นบอกแล้วเราไม่เอนจอยชีวิตเลย จนได้มาค้นพบตรงนี้

เขื่อน

ในคอนเซปต์ของเขื่อน เขื่อนรู้สึกได้เลยว่าถ้าวันนี้เขื่อน masculine เขื่อนก็ใส่สูท ในวันที่เขื่อน feminine เขื่อนอยากทาลิปสติกแดงไปเจอเคสคนไข้ หรืออยากใส่กระโปรงไปมหา’ลัย เขื่อนก็ทำเลย สบายมาก ใช้ชีวิต hyper feminine หรือ hyper masculine แล้วได้ใส่เสื้อผ้าที่ genderless (ไร้กรอบของเพศ) เขื่อนกล้าพูดได้ว่าเขื่อนโคตรมีความสุขเลย

เขื่อนมีความสุขถึงขั้นที่เขื่อนเดินใส่กระโปรงไปในสวน มีฝรั่งผู้ชายเขาเดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า what the fuck are you doing man? what the fuck? (นี่มันบ้าอะไรของคุณเนี่ย) เขื่อนสบายใจมากที่ใส่ และตอบเขาไปว่า It’s not your fucking business. (มันไม่ใช่กงการอะไรของคุณ)

เขื่อนอยากจะบอกหลายๆ คนที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ ว่าถ้าเกิดหลายๆ คนคลิกกับสิ่งที่เขื่อนพูดแล้วมีคนมาบอกว่าสิ่งที่ยูคิดมันมโน มันไม่จริง ยูไม่ต้องไปฟังเลยนะ ถ้านั่นคือสิ่งที่ยูรู้สึก มันคือความจริงในโลกของยู ทำไปเลย If in your world this is valid, It’s valid for you. ไม่ต้องขออนุญาตจากใคร

การลุกขึ้นมาใส่ชุดผู้หญิงส่งผลต่อเรื่องความรักของคุณบ้างไหม

เป็นคำถามที่ดีมาก มันมีเรื่องที่ดีและไม่ดี เขื่อนรู้สึกว่าคนที่เข้ามาหาเราในเชิงโรแมนติกเขาโคตรเก็ตเลย มันเหมือนฟิลเตอร์คัดคนเข้ามาแล้ว I don’t have to proof myself to them. เขื่อนคิดตลอดว่าฉันไม่ใช่สูตรคูณที่ต้องมานั่งอธิบายตัวเอง แล้วถ้าเขื่อนใส่เดรสไปเดตกับเขา เราสามารถนั่งอยู่ด้วยกันได้ แปลว่าเขามั่นใจกับความชอบของเขาและตัวตนของเรามาก ซึ่งสามารถปรับใช้กับเพื่อนและผู้ใหญ่ได้ ดูว่าเขาสบายใจแค่ไหน เพราะการที่เขื่อนแต่งตัวแบบนี้คือเขื่อนรู้สึกปลอดภัยกับตัวเองแล้ว

ข้อเสียคือคนไม่เก็ตก็เยอะ คนที่มาบอกว่าพี่เขื่อนใส่กระโปรงก็ดีนะแต่โกนขนขาบ้าง เหมือนจะชมแต่ก็ยัง body shame เราอยู่ แล้วคนที่บอกว่า เขื่อนใส่กระโปรงแปลว่าเขื่อนต้องผ่าตรงนั้นเพื่อที่จะเข้ากับชุดให้ได้ เขาก็เอาสิ่งที่สังคมบอกเขามาบอกเขื่อนอีกที ซึ่งเขื่อนรู้สึกว่ามันน่าเบื่อมาก ปี 2020 แล้วแต่ทำไมเรายังเหยียดจุดนี้

ข้อเสียอีกข้อคือหลายคนมาแสดงท่าทีสนใจเราในเชิงที่ทำให้เราเป็นของแปลก “ไอไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายที่ใส่กระโปรงเลย ดูยูแล้วมีอารมณ์” เขื่อนตอบเลยนะว่า ไอเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ยูกำลังตีค่าไอว่าเป็นวัตถุทางเพศ หรือบางคนก็ จริงๆ ไอชอบผู้หญิงนะ แต่ไออยากลอง เขื่อนก็ตอบเขาว่า ไอไม่ใช่การทดลองของยู if you want to talk to me about your gender ถ้าคุณอยากจะคุยกับไอเรื่องเพศวิถีไอยินดีมีเซสชั่นคุยกับยูเลย แต่ถ้ายูจะมา fetishize ไอเพราะยูเห็นไอเป็น sex object ก็ NO.

 

พูดตรงๆ ไปเลย

แต่ก่อนเขื่อนอิกนอร์นะ อย่าง direct message เชิงเหยียดเชื้อชาติหรือคนที่ส่งข้อความมาบูลลี่ จะฆ่าเขื่อน จะกระทืบถ้าเจอ คงเพราะตอนเด็กๆ เขื่อนรับมือด้วยการเงียบมาตลอด แต่เดี๋ยวนี้เขื่อนไม่ปล่อยเลย เขื่อนตอบเขาเลยว่านี่คือการเหยียดเชื้อชาติและมันไม่โอเค นี่คือการเหยียดเพศและมันไม่โอเค (ดีดนิ้ว) เขาจะตอบหรือไม่ตอบหรือเขาจะบ้ากว่าเดิมก็เรื่องของเขา แต่เขื่อนได้ประกาศแล้วว่า I’m not gonna ignore เพราะว่าการเพิกเฉยเท่ากับซัพพอร์ต

วันนี้เขื่อนผ่านวงการ โดนคนรุมทั้งประเทศมาแล้ว คนมาด่ามาโจมตีเขื่อนทนได้ แต่น้องๆ ที่เด็กกว่าเขื่อน 10 ปี 5 ปี ที่เขาไม่เคยเปิดเผยตัวออกมาล่ะ ถ้าเขาโดนบ้าง ชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปเลย การที่จะพิมพ์ไปขู่ว่ายูจะฆ่าเขาเพราะเขาใส่กระโปรงหรือเขาไม่ใช่เพศเดียวกับคุณ ชีวิตเขาอาจจะพังไปเลยนะ เขื่อนไม่อยากให้โอกาสนั้นมันเกิดขึ้น แล้วการที่เขื่อนเงียบแปลว่าเขื่อนซัพพอร์ตมันไปแล้วครึ่งทาง วันนี้เขื่อนเลือกที่จะไม่ซัพพอร์ตเรื่องพวกนี้แล้ว

คุณผ่านประสบการณ์การ come out ที่ดีกับคุณแม่ รวมถึงการโดนบังคับให้ออกมายอมรับโดยไม่ได้ตั้งใจ คิดว่าจริงๆ การ come out จำเป็นสำหรับทุกคนไหม

เขื่อนหวังว่าเราจะได้อยู่ในโลกที่ไม่มีการ come out อีกแล้ว เป็นเกย์แล้วก็เป็นเกย์เลย ไม่ต้อง come out หมายถึงว่า come out มันดีถ้ามันเป็นสิ่งที่เราจะได้เฉลิมฉลอง แต่เขื่อนไม่อยากให้คนต้อง come out เพราะสังคมบอกให้ทำ เพราะถ้า come out แล้วไม่มีใครซัพพอร์ตแล้วจะไปยังไงต่อ การที่รู้ว่าคนใกล้ตัวไม่ยอมรับ โลกยูสลายเลยนะ ยูอาจจะมีครอบครัวที่พูดว่า I don’t want you in this family anymore. เราไม่อยากมีเธออยู่ในครอบครัว สุดท้ายแล้วเขาอาจจะต้องเลือกครอบครัวของตัวเอง เพราะฉะนั้นการ come out ถ้าไม่รู้สึกปลอดภัยจริงๆ ไม่จำเป็นต้องทำเลย เพราะการ come out อาจจะไม่เหมือนที่คิดก็ได้

 

ที่หลายคนไม่อยาก come out มีหลายเหตุผล หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่แบกรับหลังจากการ come out อย่างวาทกรรมที่เราคุ้นเคยว่า ‘เป็นเกย์ไม่เป็นไร ขอให้เป็นคนดีก็พอ’

โกรธนะ ได้ยินแล้วโกรธ (ตอบทันที) “เป็นเกย์ไม่เป็นไร” ทำไม ก็ไอไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แล้วยูจะมาพูดได้ยังไงว่าไม่เป็นไร การที่คนมาบอกเราว่ายูเป็นเกย์ไม่เป็นไร เท่ากับว่าเขาตัดสินเราแล้วนะว่าจริงๆ มันเป็น เขื่อนว่าการเอาคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ มาโยนให้คนอื่นมันไม่โอเค

 

จำเป็นไหมที่เป็นเกย์แล้วต้องประสบความสำเร็จ

เขื่อนว่าหลายๆ คนในคอมมิวนิตี้ LGBTQ+ มีการรับมือเหมือนเขื่อนนะ คือบอกตัวเองว่าไอเป็นเกย์ ไม่เป็นไร fuck it! ไอจะประสบความสำเร็จแล้วกัน I accomplish แล้วกัน เขื่อนว่าคนที่อยากประสบความสำเร็จไม่มีอะไรผิดนะ ไอซัพพอร์ตยูไปเลย ทำสิ่งที่อยากทำ แต่อาจจะต้องใช้เวลาสะท้อนกับตัวเองไปก่อนว่าสุดท้ายแล้วคำว่าสำเร็จของเขาคืออะไร

แล้วถ้าเกิดคำว่าสำเร็จของเขาคือสิ่งที่เขาอยากทำจริงๆ มันคือแพสชั่น ทำไปเลย ไอซัพพอร์ตยู และถ้ามีวันที่ยูล้มไอก็ซัพพอร์ตยูด้วย แต่ถ้าเกิดการทำตัวเองให้ประสบความสำเร็จคือวิธีการรับมือกับการไม่เป็นที่ยอมรับ ก็อาจจะต้องถามตัวเองมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วมันใช่ความสำเร็จหรือเปล่า หรือความสำเร็จเป็นแค่เสื้อคลุมที่เอามาใส่เพื่อที่จะเข้าสังคมได้อีกทีหนึ่ง

เราเห็นคอมเมนต์ในอินเทอร์เน็ตที่ตอบโต้การออกมาเรียกร้องสิทธิของ LGBTQ+ ไทยในปัจจุบันว่า จริงๆ ก็มี LGBTQ+ บางกลุ่มที่ตั้งคำถามกับการออกมาเรียกร้อง บอกให้อยู่เงียบๆ เหมือนเดิมก็ดีอยู่แล้ว ในฐานะไอดอลของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศหลายคน คุณคิดเห็นยังไง

เขื่อนว่าเราควรเคารพกันและกัน ถ้าคุณไม่อยากไฟต์เรื่อง LGBTQ+ และคุณใช้พริวิเลจ ใช้อภิสิทธิ์ของคุณแล้วคุณรู้สึกปลอดภัยนั่นเป็นเรื่องที่เราว่าคุณไม่ได้ แต่แปลว่าการที่เราเลือกทำสิ่งนี้ คุณก็ไม่มีสิทธิว่าเราเหมือนกัน

เขื่อนเคารพเรื่องทางเลือกของมนุษย์มาก เขื่อนว่าคนคนหนึ่งมีความคิดที่แตกต่างได้ ในวันที่เราเริ่มตัดสินคนอื่นว่าเขาควรคิดยังไง นั่นคือวันที่เราเริ่มตัดสินคนอื่นแล้วเหมือนกัน และไม่ต่างอะไรกับคนที่เหยียดเพศ เพราะเราต้องการจะยัดเยียดความคิดของเราให้คนอื่น

 

อะไรที่หล่อหลอมให้คุณกลายเป็นคนที่เชื่อในทางเลือกของมนุษย์

โลกนี้คือโลกที่ถูกควบคุมด้วยอำนาจของคนขาว เราโดนกดทับทั้งเรื่องสีผิว รสนิยมทางเพศ และบางทีก็มีเรื่องอื่น เช่น เรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง เพราะฉะนั้นถ้าเขื่อนเชื่อว่าเขื่อนสู้เพื่อ LGBTQ+ หรือเรื่องความเท่าเทียมแล้ว มันก็จะส่งผลไปที่มุมอื่นที่เกี่ยวกับความเท่าเทียมด้วย เขื่อนจะเลือกความเท่าเทียมมุมหนึ่งแล้วไม่เลือกความเท่าเทียมในมุมอื่นไม่ได้ ถ้าเราเลือกที่จะ fight for equality แล้ว มันต้องเป็นเรื่องของ equality for all ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นว่าเขื่อนเป็นคนกลับกลอกกัดลิ้นตัวเอง

การยืนหยัดว่าจะเป็นตัวของตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ สำคัญกับคุณยังไง

สำคัญตรงที่ทำให้เรามีโอกาสได้สำรวจในสิ่งที่เราอยากเป็น ในสิ่งที่เราเป็น ในคนที่เราเลือกจะรัก เลือกคนที่จะเข้ามา เพราะว่าเรารู้สึกปลอดภัย ในที่นี้คือเราคิดว่าเรารู้จักตัวเองจริงๆ แล้วมันทำให้เรารู้ว่าเราเข้าใจคนแบบไหนได้ เราอยากทำอะไร เราอยากมีความเชื่อ เราอยากสู้เพื่ออะไร มันทำให้ตาของมนุษย์คนหนึ่งเปิดกว้างได้มากขึ้นเยอะเลย

แต่เขื่อนเชื่อว่ามนุษย์เป็นกระบวนการนะ เขื่อนเชื่อว่าเขื่อนในวันนี้กับเขื่อนอีกสิบปีข้างหน้าก็ไม่เหมือนกัน ถ้าในสิบปีข้างหน้าเขื่อนเลือกที่จะเป็นผู้หญิงเลย เขื่อนก็ไม่แปลกใจ

เขื่อน ภัทรดนัย เขื่อน ภัทรดนัย

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน