The Uncanny Counter คือซีรีส์แอ็กชั่น-แฟนตาซีนอกสายตาของใครหลายคน จนเรตติ้งเปิดตัวตอนแรกต่ำเตี้ยเพียง 2.7 เปอร์เซ็นต์ แต่ใครจะไปคิดว่าระหว่างทางซีรีส์เรื่องนี้จะไต่อันดับความนิยมได้มากขึ้นถึง 4 เท่าตัว และปิดซีซั่นไปด้วยเรตติ้ง 10.9 เปอร์เซ็นต์ พ่วงกับอันดับป๊อปปูลาร์ในเน็ตฟลิกซ์ที่มีคนดูทั่วโลก
สรุปเรื่องย่อแบบเข้าใจง่ายที่สุด The Uncanny Counter คือเรื่องราวของเหล่า ‘เคาน์เตอร์’ หรือนักล่าปีศาจต่างวัย 4 คนที่ทำงานร่วมกับคู่หูจากปรโลก โดยใช้พลังวิเศษที่ได้รับจัดการเหล่าปีศาจร้ายที่เข้าสิงในร่างมนุษย์และสร้างความวุ่นวายให้กับเมืองชุงจินอันแสนสงบสุข โดยมีร้านบะหมี่เจ้าดังเป็นฐานทัพและฉากหน้าของทีม
แต่ถ้าให้เล่าเสริมจากมุมมองของคนที่โดนซีรีส์เรื่องนี้ตกจนดูติดต่อกันแบบไม่หยุดพัก เพราะแม้เรื่องราวจะมีกลิ่นอายความเป็นคอมิกซูเปอร์ฮีโร่สูงมาก (ซึ่งหาได้ยากในตลาดซีรีส์เกาหลี) แต่เวอร์ชั่นคนแสดงก็สนุกไม่แพ้การ์ตูนแถมยังมีความเป็นมนุษย์เป็นอย่างมาก
อาจเพราะเคมีอันแปลกใหม่ระหว่างเหล่าเคาน์เตอร์ต่างวัยทั้ง 4 คนที่จะว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ เป็นครอบครัวก็ไม่เชิง ไม่แปลกเลยที่คนดูอย่างเราจะสนุกไปกับพื้นเพและภูมิหลังอันแตกต่างของแต่ละตัวละครที่ค่อยๆ เปิดเผยออกมาทีละนิดจนอดใจไม่ไหวกดปุ่ม Next Episode ขอไปต่อทุกที
และภายใต้ความ ‘เหนือจริง’ อย่างการฝึกฝนพลังและออกตามล่าปีศาจของเหล่าเคาน์เตอร์ ประเด็นในแต่ละตอนล้วนเป็น ‘ความจริง’ ในสังคมเกาหลีที่ถูกหยิบยกมาเล่าแบบเนียนๆ ไล่ตั้งแต่ความรุนแรงในครอบครัว การกลั่นแกล้งกันในหมู่นักเรียน ไปจนถึงเรื่องฉาวๆ ของเหล่านักธุรกิจและแวดวงการเมือง ทั้งหมดนี้ถูกเล่าโดยมี ‘ปีศาจ’ เป็นทั้งสัญลักษณ์และแกนกลางในการเดินเรื่อง
สำหรับใครที่ยังไม่เริ่มดู อย่าเพิ่งกังวลว่าซีรีส์เรื่องนี้จะแฟนตาซีจนต่อไม่ติดหรือเต็มไปด้วยประเด็นหนักหน่วงชวนปวดหัว เราขอยืนยันว่า The Uncanny Counter คือส่วนผสมที่ลงตัว กลมกล่อม และครบรส เพราะภายใต้ฉากบู๊คือความเป็นมนุษย์ที่มีทั้งด้านสวยงาม อบอุ่น และด้านที่น่าเกลียดน่ากลัวราวกับปีศาจ เช่นเดียวกับปีศาจต่อไปนี้ในซีรีส์ที่ดูดีๆ ก็อาจแฝงอยู่ในตัวเราทุกคน
ปีศาจ ความปรารถนา และโลกหลังความตาย
ขณะที่เรื่องราวของโลกหลังความตายในซีรีส์อื่นๆ มักวนเวียนอยู่กับความรัก ความเกลียด และการปล่อยวาง แต่แกนหลักของซีรีส์เรื่องนี้คือการตั้งคำถามว่าแล้ววิญญาณของคนที่ถูกฆาตกรรมล่ะ พวกเขาจะเดินทางไปที่ไหน และเราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับวิญญาณเคราะห์ร้ายเหล่านั้น
กฎเกณฑ์เกี่ยวกับชีวิตและภพภูมิต่างๆ ใน The Uncanny Counter นั้นสร้างขึ้นโดยไม่ได้ยึดโยงกับศาสนาไหนเป็นพิเศษ คล้ายกับว่าเป็นการหยิบเอาจุดร่วมของหลายวัฒนธรรมมาต่อเติมจนได้เป็น ยุง (융) พื้นที่ที่เชื่อมต่อระหว่างปรโลกและโลกมนุษย์ คอยทำหน้าที่พิจารณาและจัดการกับวิญญาณอย่างเหมาะสมทั้งในแง่ดีและเลว (พูดง่ายๆ ก็คือทำหน้าที่ส่งวิญญาณไปนรกหรือสวรรค์นั่นแหละ)
โจทย์ยากของชาวยุงก็คือคดีฆาตกรรมบนโลกมนุษย์ซึ่งหลายครั้งเกิดจาก ‘ปีศาจ’ ที่เข้าไปสิงสู่ในร่างคนที่มีความอาฆาตและใช้ร่างนั้นก่อคดีฆาตกรรมเพื่อที่จะกินวิญญาณของเหยื่อเข้าไปเป็นอาหาร นั่นแปลว่านอกจากเหยื่อจะต้องตายอย่างไม่เป็นธรรมแล้วยังต้องถูกขังไว้ในร่างของปีศาจและไม่มีโอกาสได้ไปเยือนยุงเพื่อผ่านไปสู่ภพภูมิใหม่อีกต่างหาก
ด้วยเหตุนี้ยุงจึงต้องทำงานร่วมกับเหล่าเคาน์เตอร์อย่าง โดฮานา (แสดงโดย คิมเซจอง) มันสมองของทีม พูดน้อยต่อยหนัก และมีอดีตเป็นปริศนา, คาโมทัก (แสดงโดย ยูจุนซัง) อดีตตำรวจสายสืบที่ปัจจุบันผันตัวมาเป็นเคาน์เตอร์ผู้มีพละกำลังแข็งแกร่ง และ ชูเมอ๊ก หรือที่ใครๆ ต่างก็เรียกว่าคุณชู (แสดงโดย ยอมฮเยรัน) หัวหน้าทีมเคาน์เตอร์ที่มีพลังในการรักษาอาการเจ็บป่วย
ทั้งสามคือมนุษย์ที่เฉียดตายจากภาวะโคม่าแต่ยังมีความปรารถนาในการใช้ชีวิตต่อเพื่ออะไรบางอย่าง ยุงจึงมอบโอกาสในการมีชีวิตต่อพร้อมกับพลังพิเศษของแต่ละคน แลกกับการทำงานไล่ล่าปีศาจ ปลดปล่อยวิญญาณที่ถูกขังและส่งพวกเขาขึ้นไปสู่ยุง
ในขณะที่พระเอกของเรื่องอย่าง โซมุน (แสดงโดย โจบยองกยู) นั้นเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่จับพลัดจับผลูได้มาเป็นเคาน์เตอร์ทั้งที่ไม่ได้มีอาการโคม่าเหมือนกับคนอื่นๆ เขาจึงมีสิ่งตอบแทนภาระการเป็นเคาน์เตอร์คือโอกาสที่จะได้พบกับพ่อและแม่ที่จากไปอีกครั้ง
ปีศาจในชุดนักเรียน
เป็นไปตามสูตรหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เราคุ้นเคยซึ่งต้องเปิดมาด้วยปมในชีวิตของตัวเอก สำหรับเรื่องนี้คนดูจะได้รู้จักกับโซมุนในฐานะนักเรียนมัธยมปลายขาพิการที่มีอดีตอันแสนเจ็บปวด เมื่ออุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้เขาต้องสูญเสียทั้งพ่อแม่และได้รับบาดเจ็บอย่างหนักที่ขาขวา
แต่หลังจากที่เขาได้รับพลังจากการเป็นเคาน์เตอร์และได้คุณชูช่วยรักษาขาจนหายเป็นปกติ สิ่งที่เขาตัดสินใจทำเป็นอย่างแรกก็คือการจัดการเหล่าเด็กอันธพาลที่คอยไถเงินและซ้อมเด็กนักเรียนคนอื่นๆ รวมถึงเพื่อนสนิทของเขาที่ถูกเหล่าปีศาจในชุดนักเรียนตั้งช่ือใหม่ว่า ‘ไอ้กระสอบทราย’
หากย้อนมองต้นตอของการกลั่นแกล้งและความรุนแรงในโรงเรียนแห่งนี้ ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะนักเรียนอยากชกตีกันเท่านั้น แต่มันย้อนไปถึงรากฐานสำคัญคือครอบครัวที่มีปัญหา อย่างลูกชายของนายกเทศมนตรีประจำเมืองที่ถูกพ่อทำร้ายและปฏิบัติราวกับไม่ใช่คน และเมื่อเขารับเอานิสัยเหล่านั้นมาใช้ต่อที่โรงเรียน อำนาจและบารมีของพ่อก็กลายเป็นเกราะที่คอยคุ้มครองให้เขารอดพ้นจากความผิดทั้งปวง
แน่นอนว่าสิ่งนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงความล้มเหลวในหน้าที่ของครูที่เลือกเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ทั้งหมดเพียงเพราะไม่อยากมีปัญหากับผู้ปกครองเหล่านั้น จนกลายเป็นว่าพวกเขาได้ฟูมฟักทั้งปีศาจและเมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวในตัวเด็กๆ คนอื่นไปโดยไม่รู้ตัว
“บอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามใครรังแกเพื่อนของฉันและเพื่อนของพวกเขาด้วย”
คำประกาศกร้าวและการท้าชนกับเหล่านักเรียนอันธพาลทำให้โซมุนได้รับการสรรเสริญจากคนทั้งโรงเรียน แต่ขณะเดียวกันเขาก็ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญนั่นคือผลที่จะตามมาเมื่อเขาใช้พลังของเคาน์เตอร์เพื่อแก้แค้นเรื่องส่วนตัวหรือแทรกแซงเรื่องของมนุษย์
ปีศาจผู้รักษากฎหมาย
หากจะถามถึงสมาชิกทีมเคาน์เตอร์แห่งร้านบะหมี่ที่มีชะตาชีวิตพัวพันกับปีศาจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นคาโมทัก อดีตตำรวจสายสืบที่สูญเสียความทรงจำก่อนจะมาเป็นเคาน์เตอร์ไปจนเกือบหมด
เอาเข้าจริงก็ต้องยอมรับว่าในโลกของการทำงานนั้นย่อมมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันไป เพียงแต่ในกรณีของคาโมทักนั้นอาจหนักหนาเป็นพิเศษเมื่อตำรวจซึ่งเป็นอาชีพของผู้รักษากฎหมายกลับมีแต่คนเลวที่ขายจรรยาบรรณตำรวจให้กับเงินและอำนาจ
“ไม่อายบ้างเหรอ การที่คุณสืบคดีแบบลวกๆ แล้วรับเงินเดือนจากภาษีประชาชน”
คำถามของคาโมทักที่ตอกหน้าอดีตเพื่อนร่วมงานนั้นนอกจากจะสะเทือนมาถึงประเทศแถวนี้แล้วยังสะท้อนให้เห็นว่าอำนาจหน้าที่บางอย่างที่เราเป็นผู้รับผิดชอบนั้น หากปล่อยให้หลุดมือไปเพียงนิดเดียวก็อาจจะสูญเสียทั้งจรรยาบรรณและศักดิ์ศรีไปได้ตลอดกาล
ในกรณีของสถานีตำรวจชุงจิน ต้นตอที่ทำให้ระบบการทำงานทุกอย่างบิดเบี้ยวและถูกแทรกแซงตลอดเวลาเป็นเพราะผู้กำกับนั้นได้ตำแหน่งมาจากการสนับสนุนของผู้มีอำนาจ ทำให้คดีความทุกอย่างต้องขึ้นตรงกับคนภายนอกอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่เกี่ยวข้องกับเหล่านักการเมือง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ตำรวจน้ำดีอย่างคาโมทักและอีกหลายคนต้องถูกกีดกันจากการทำงาน หรือหนักเข้าก็ต้องจบชีวิตลงอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งจากเงื้อมมือของปีศาจจริงๆ และปีศาจในร่างของตำรวจด้วยกันเอง
ปีศาจและการเมือง
ยิ่งมีความขัดแย้ง ช่วงชิง และอาฆาตมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสที่เราจะได้เห็นมนุษย์แปลงกายเป็นปีศาจมากขึ้นเท่านั้น
สนามการเมืองท้องถิ่นใน The Uncanny Counter เปรียบเสมือนภาพใหญ่ที่ยึดโยงปมประเด็นเล็กน้อยทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ต่างจากคำกล่าวที่ว่า “ทุกอย่างคือการเมือง” และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นในระบบการเมือง นักการเมืองในสภาฯ ก็ไม่ต่างจากปีศาจที่กำลังฆ่าประชาชนอย่างช้าๆ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
เมื่อตำรวจกลายเป็นเพียงเครื่องมือในการบริหารอำนาจของนักการเมือง การตามจับฆาตกรต่อเนื่องอย่าง ชีจองชิน ที่ฆ่าคนไปนับสิบจึงไม่ต่างอะไรกับการเล่นขายของ เพียงแค่นักการเมืองสั่งตำรวจก็พร้อมที่จะจัดฉากการแถลงข่าวขึ้นทันที แม้ว่าความเป็นจริงแล้วปีศาจตัวนั้นจะยังลอยนวลอยู่ในหมู่ประชาชน จนท้ายที่สุดก็เกิดเหตุนองเลือดอีกมากมายตามมา
แต่ถ้าคิดว่าคดีฆาตกรรมนั้นไกลตัวเกินไป ซีรีส์เรื่องนี้ก็ยังมีตัวอย่างง่ายๆ แต่สะเทือนใจอย่างการฝังกลบขยะโดยไม่เตรียมระบบรองรับจนสารพิษรั่วไหลลงสู่แหล่งน้ำที่เชื่อมต่อกับระบบประปา และทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่าง ควอนโซอึน และประชาชนอีกจำนวนมากต้องป่วยหนักเพราะสารพิษในร่างกาย ส่วนพ่อของเธอที่ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขก็ถูกฆาตกรรมอย่างเหี้ยมโหด ขณะที่ฉากหน้าของเหล่านักการเมืองก็ยังคงใสสะอาด นายกเทศมนตรีชินมยองฮวีก็ยังสามารถประกาศเดินหน้าโครงการสมาร์ตซิตี้ได้อย่างภาคภูมิใจ แถมยังได้เสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกต่างหาก
โชคดีที่เมืองชุงจินแห่งนี้ยังมีเหล่าเคาน์เตอร์คอยจัดการเหล่าปีศาจทั้งหลาย แต่ในฐานะคนดูเราก็ได้แต่นึกสะท้อนใจเพราะในโลกความเป็นจริงที่มีปัญหาหนักหน่วงไม่แพ้กัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะสามารถปกป้องชีวิตของตัวเองและทวงถามความเป็นธรรมจากเหล่าปีศาจที่จ้องกัดกินชีวิตของผู้คนอยู่ตลอดเวลา
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าช่วงปลายของซีรีส์เรื่องนี้อาจจะแปร่งปร่าหรือแกว่งออกนอกเส้นเรื่องหลักไปบ้างเพราะมีการสลับตัวนักเขียนบทกันอุตลุด แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปก็คือแก่นของเรื่อง เพราะไม่ว่าจะเป็นคนหรือวิญญาณ อาศัยอยู่ในสังคมเกาหลีหรือสังคมไหนๆ เราทุกคนล้วนมีซอกหลืบในใจที่พร้อมให้เหล่าปีศาจแทรกตัวเข้าควบคุมได้ตลอดเวลาไม่ต่างกัน