ตั้งแต่ปี 2559 ที่ ครูทอม ศุภกิจ จิตคล่องทรัพย์ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับสถานศึกษาแห่งนี้ภายใต้การดูแลของเขา
นี่เป็นตัวอย่างคร่าวๆ
โครงการ BCC SPACE PROGRAM ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ ร่วมมือกับหลายฝ่ายพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีอวกาศให้กับเด็กมัธยม รวมถึงเป้าหมายใหญ่อย่างการส่งดาวเทียมที่เป็นผลงานของนักเรียนขึ้นวงโคจรอวกาศให้ได้
วิชาเลือกเพิ่มเติมจากวิชาสามัญในชื่อ ‘Free Elective’ ที่เปิดโอกาสให้เด็กเลือกเรียนวิชาที่ตัวเองสนใจจริงๆ ผ่านวิชาสุดสร้างสรรค์ เช่น ภาษาอังกฤษจาก Netflix, การวางแผนการเงินและการลงทุน หรือการแสดงขั้นพื้นฐาน
หลักสูตรการเรียน BCC Next ที่เปลี่ยนจากการแบ่งเด็กสายวิทย์-สายศิลป์ให้เป็นไปตาม ‘Track’ วิชาชีพที่ตัวเองฝันที่จะเป็น เช่น แพทยศาสตร์, วิศวกรรมการบิน, นิติศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์การกีฬา
ในส่วนอื่นนอกจากการศึกษา ครูทอมยังสร้างความประทับใจให้กับเด็กนักเรียนหลายครั้งหลายคราว ตั้งแต่การออกข้อกำหนดให้นักเรียนแต่งชุดไปรเวทมาโรงเรียนหนึ่งวันต่อสัปดาห์จนเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ, การแต่งชุดนักเรียนมาต้อนรับเด็กๆ ในวันเปิดภาคเรียนจนทำให้ไม่ว่าใครที่เห็นก็ต้องอมยิ้ม และการร้องเพลงแรปหน้าเสาธงในวันเปิดเทอมเพื่อให้เด็กทุกคนรู้ว่าโรงเรียนแห่งนี้มีความสุขได้
‘นี่แหละ ผอ.ที่เราตามหามานาน’ –เด็กๆ หลายคนในโรงเรียน (และนอกโรงเรียน) ล้วนคิดแบบนั้น
ดังนั้นเมื่อช่วงต้นปีนี้ แทบทุกคนต่างคิดว่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ กำลังเดินมาถูกทางแล้ว พวกเขากำลังก้าวสูงขึ้นไปสู่การเป็น School of Happiness อย่างที่ครูทอมหวัง ขวบปีที่สดใสไร้เรื่องราวให้กังวลกำลังรอพวกเขาอยู่
จนกระทั่งช่วงกลางปี ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
30 กรกฎาคม สภาคริสตจักรในประเทศไทยมีคำสั่งปลดครูทอมออกจากตำแหน่ง ผอ.กะทันหัน
2 สิงหาคม เนื่องจากสภาคริสตจักรฯ ไม่เปิดเผยเหตุผลในการตัดสินใจครั้งนี้ โรงเรียนจึงเรียกร้องขอคำอธิบายและความเป็นธรรมให้มีการสอบสวนกรณีนี้
6 สิงหาคม สภาคริสตจักรฯ ยืนยันว่า ผอ.ศุภกิจ ทำความผิดเรื่อง ‘การจัดซื้อที่ดินและกิจการของโรงเรียนบึงกาฬคริสเตียน’ พร้อมตั้งกรรมการสอบสำหรับเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเป็นพิเศษ
11 สิงหาคม โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ ยื่นหนังสือไปถึงสภาคริสตจักรฯ ตั้งคำถามถึงความผิดแปลกในการปลด ผอ.ทั้งๆ ที่ยังไม่มีการสอบสวนใดๆ และตั้งคำถามต่อไปว่าคณะกรรมการที่ตั้งขึ้น 3 ใน 5 คนเป็นเครือญาติของบุคลากรในสภาคริสตจักรฯ เอง ซึ่งสภาคริสตจักรฯ ไม่มีคำตอบกับคำถามนี้ พร้อมแต่งตั้งรักษาการ ผอ. และออกคำสั่งให้ครูทอมไปช่วยงานที่จังหวัดเชียงใหม่ทันที
24 สิงหาคม จากความไม่เป็นธรรมที่เห็นอยู่ตรงหน้า นักเรียน ศิษย์เก่า และผู้ปกครอง ของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ จำนวนมากรวมตัวกันก่อตั้งเพจ องค์กร SaveBCC ขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูล กระจายข่าวสาร และเรียกร้องความเป็นธรรม ในกรณีที่เกิดขึ้น
27 สิงหาคม เกิดการรวมตัวกันของกลุ่ม SaveBcc โดยนัดแต่งชุดดำและชุมนุมกันช่วงเช้าที่โรงเรียน ก่อนสลายกลุ่มก่อนเวลาเรียน เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม รวมถึงส่งเสียงว่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ ไม่ควรถูกแทรกแซงโดยสภาคริสตจักรฯ อีกต่อไป
28 พฤศจิกายน หน่วยงานของรัฐอย่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ตัดสินใจลงมาสอบสวนคดีนี้ด้วยตัวเองพร้อมประกาศว่า ต่อแต่นี้โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ จะอยู่ในการควบคุมของ สช.แทน ระหว่างนี้คำสั่งย้ายของครูทอมจะถูกระงับ แม้จะไม่ได้กลับมาทำงานในตำแหน่ง ผอ. แต่ครูทอมสามารถกลับมาปฏิบัติงานครูที่โรงเรียนต่อได้ และทันทีที่สิ้นเสียงประกาศนี้ เสียงเฮกู่ร้องตะโกนดีใจของคนทั้งโรงเรียนก็ดังขึ้น
ครูทอมให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในวันนั้นว่าจะกลับไปอยู่ที่โรงเรียนเหมือนเดิม แม้จะไม่ได้ทำงานบริหาร แต่จะกลับไปให้ทุกคนรู้ว่าเขายังอยู่และไม่ไปไหน ในงานแถลงข่าววันนั้นครูทอมหลั่งน้ำตา
กับขวบปีที่มีอะไรเกิดขึ้นกับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ ขึ้น-ลงเป็นรถไฟเหาะตีลังกาขนาดนี้ นั่นเองคือเหตุผลที่วันนี้เราตัดสินใจเดินทางมาที่นี่ในช่วงหนึ่งอาทิตย์ก่อนวันคริสต์มาส แม้เรื่องราวทั้งหมดยังไม่มีข้อสรุปเพราะอยู่ในขั้นตอนของการไต่สวน แต่เราก็อยากชวนคนที่เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องอย่างครูทอมมาสรุปสิ่งที่เขาพบเจอมาตลอดปีนี้เสียหน่อย
ครูทอมทำยังไงให้เป็น ผอ.ที่เด็กรัก เขารู้สึกนึกคิดกับเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ยังไงบ้าง มีอะไรเกิดขึ้นภายใต้พาดหัวข่าวเหล่านี้กันแน่ และคำถามสำคัญ–ปีนี้สอนให้เขารู้ว่าอะไร
เพื่อไม่ให้เกริ่นยาวไปมากกว่านี้และไม่ให้เป็นการเสียเวลา ‘สวัสดีครับคุณครู’
คุณชอบให้เด็กเรียกว่าอะไรมากกว่ากัน ผอ. อาจารย์ หรือครู
(หัวเราะ) จริงๆ ก็ได้หมดเลย แต่หลังๆ เด็กเรียกว่า ผอ.นะ แต่เราก็ไม่อยากให้เรียกหรอก รู้สึกว่ามันห่างเหิน เรียกว่าครูทอมดีกว่า เป็นแค่ครูธรรมดาๆ ไม่จำเป็นต้องเป็น ผอ.อะไรหรอก
ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็น
เรารู้สึกว่าการเป็น ผอ.เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้าวันหนึ่งหมดวาระเราไม่อยากให้เกิดภาวะกระอักกระอ่วนในการเรียกกัน ดังนั้นกับนักเรียนก็เรียกเราว่าครูทอมแหละ กับบุคลากรในโรงเรียนเราก็เป็นพี่ทอมเหมือนเดิม
งั้นขออนุญาตเรียกว่าครูทอมนะครับ
ได้ๆ ยินดีๆ (ยิ้ม)
จากการเป็น ผอ.มาเกือบ 3 ปี ในมุมมองของครูทอมคำจำกัดความของงาน ผอ.คืออะไร
(นิ่งคิดและถอนหายใจ) ถ้าถามเรา ณ ชั่วโมงนี้ เราว่าหลักๆ คือเรื่องการตัดสินใจเลย
สำหรับเราการตัดสินใจอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าได้มาอยู่ในจุดที่แบกรับมันคุณจะรู้ว่าการตัดสินใจต้องอาศัยความกล้า ความรอบคอบ ความอดทนอดกลั้น และอะไรอีกหลายอย่าง มันไม่ง่าย และงานหลักของ ผอ.ก็คือตรงนี้ นี่เป็นสิ่งที่คนต้องการจากเรามากที่สุดเพราะเราคือตัวแทนของพวกเขา เขาคาดหวังให้เราตัดสินใจทำอะไรที่เขาสามารถภาคภูมิใจผ่านทางเราได้
ถือเป็นงานที่ยากไหม
ถ้าไม่ได้ทำด้วยความรักและความสนุก (ส่ายหัว) ยากแน่นอน แต่บังเอิญเราอยู่ตรงนี้ด้วยความรักและความสนุกไง ความยากเลยหายไปเยอะ
ดูเหมือนสิ่งที่ครูทอมทำและเป็นนั้นแตกต่างจากภาพจำของคำว่า ผอ.เยอะเหมือนกัน
(หัวเราะ) ก็คงใช่ แต่เราไม่คิดว่าที่เราเป็นมันถูกต้องอะไรหรอก เราคิดว่าการเป็น ผอ.แบบไหนขึ้นอยู่กับบริบทขององค์กรมากกว่า บางองค์กร ผอ.อาจต้องทำหน้าที่เหมือนผู้คุม ต้องคิด ต้องทำให้ แต่บางองค์กร ผอ.ต้องทำหน้าที่เป็นลูกหมาน่ารัก เพราะคนอื่นเป็นเสือกันหมด ดังนั้นเราก็ดูที่บริบทกันไป
แล้วบริบทของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ เป็นแบบไหน
โห เราต้องเล่นทุกบทนะ (หัวเราะ) เผอิญว่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ เป็นโรงเรียนที่ใหญ่มาก คนในองค์กรมีหลายรูปแบบ ดังนั้นหน้าที่ของผู้บริหารคือการดูว่าเราจะดีลกับแต่ละคนด้วยลักษณะไหน จะเป็นลูกหมาตลอดไม่ได้ จะมั่นใจสูงทุกครั้งก็ไม่ได้อีก อย่างบางครั้งเราต้องเป็นผู้นำให้เห็นว่าเราไม่กลัว แต่บางครั้งเราก็ต้องเป็นหัวหน้าที่ให้ความอบอุ่น เราต้องเล่นบทบาทให้เหมาะสมกับแต่ละสภาวการณ์ไปน่ะ
ครูทอมเป็นครูที่นี่มาก่อนตั้งหลายปี แล้วพอมาเป็น ผอ.มันมีการเปลี่ยนแปลงเยอะไหม
ถ้าในแง่ตัวเองเราว่าเปลี่ยน อาจจะด้วยหน้าที่หรืออะไรก็ตามมันทำให้ต้องคิดและเปลี่ยนตลอดเวลาเพื่อความเหมาะสม แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเจอนักเรียนเรายังอยากให้เด็กรู้สึกว่าเราคือ ‘ครูคนหนึ่ง’ เหมือนเดิม
เราคิดตั้งแต่ได้โอกาสเป็น ผอ.แล้วว่าต้องจับต้องได้ เราต้องเป็น ผอ.ที่พอเดินหาเด็กแล้วเขาไม่แหวกออกและแอบไปด่า เราอยากให้เขากล้าคุยกับเราแม้เรื่องสัพเพเหระ กล้ามาขอเซลฟี่ ซึ่งเดี๋ยวถ้าคุยกันเสร็จคุณลองไปดูปฏิกิริยาของเด็กที่มีต่อเราสิ มันเป็นแบบนั้น เราดีใจมาก อันนี้ไม่ได้อวดตัว เราดีใจกับสิ่งที่เราทำได้จริงๆ แต่ก็ไม่ได้จะบอกว่า ผอ.ที่ดีต้องเป็นแบบเราเท่านั้นนะ มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่ทำและความเป็นตัวตนของแต่ละคนมากกว่า
บางคนอาจจะแย้งว่าการเป็น ผอ.ที่เด็กเข้าถึงได้ง่ายอาจจะมีข้อเสีย และการเป็น ผอ.ที่ดุอาจจะมีข้อดีหรือเปล่า เช่น การควบคุมเด็กในกรณีจำเป็นต่างๆ เด็กไม่ลามปาม
ไม่ใช่ (ตอบทันที) คำถามนี้เรากล้าตอบว่าไม่เห็นด้วยแน่นอน และไม่ใช่ตอบเพื่อให้ตัวเองดูดีด้วย แต่ตามหลักการจริงๆ แล้ว เราเห็นชัดเจนว่าไม่เป็นผลนะ
ยกตัวอย่างโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ ก็ได้ เด็กที่นี่แสบนะครับ (ยิ้ม) แต่พอเป็นแบบนี้มันเลยเกิดภาวะที่ครูคิดว่าเด็กแสบ ครูต้องดุเพื่อเอาให้อยู่ เด็กก็เลยคิดว่าครูดุเกินไป เขาต้องก้าวร้าว วนไปอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น แต่พอเราเป็น ผอ.ด้วยความที่เราเป็นเด็กคนนั้นมาก่อนและได้ไปเห็นโรงเรียนในบางประเทศทำให้เรารู้ว่ามันมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ เราเลยลองเปิดใจกับวิธีการใหม่คือการ respect เด็กก่อน
แทนที่จะกำราบเด็ก เราเปลี่ยนการเอาชนะใจเขาด้วยการเคารพเขา นี่แหละที่เราบอกว่าการดุไม่เป็นผลดี เพราะพอเราเปลี่ยนมาทำแบบนี้ผลที่ตามมานั้นดีมาก อะไรที่เราอยากได้จากเด็ก อย่างการเชื่อฟัง การตั้งใจเรียน การให้เกียรติ หรือความสุภาพ วิ่งเข้ามาหาเราหมด ถ้ามีอะไรที่เกินไปเราก็ค่อยสอนเขาตอนนั้นแล้วแต่กรณีไป คล้ายๆ กับการเอาจุดแข็งของฝรั่งมาแก้ไขจุดอ่อนของความเป็นเอเชีย ซึ่งในปัจจุบันเราเห็นชัดเจนว่ามันเวิร์ก สิ่งที่ได้กลับมาจากเด็กในโรงเรียนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมาก
ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี ในฐานะ ผอ.ตอนนั้นครูทอมวางแผนให้โรงเรียนเดินไปทางไหน
โอ้โห ตอนนั้นโรงเรียนกำลังไปได้ดีมากเลย เราตั้งมิสชั่นว่ากรุงเทพคริสเตียนฯ จะเป็นโรงเรียนแห่งความสุข นั่นคือการเป็นสถานศึกษาที่สามารถบอกเด็กได้ว่าความสุขของเขาคืออะไร ทุกคนมีความสุขได้ และความสุขอยู่รอบตัว
สำหรับเราโรงเรียนอย่านิยามความสุข คุณจะมาทำเหมือนเดิมโดยบอกว่า ‘ความสุขคือ…’ เท่านั้นไม่ได้ นี่ไม่ใช่คณิตศาสตร์ที่ 1+1=2 คุณต้องถามเด็กว่า 1+1 เป็นเท่าไหร่ดี พอเขาตอบมาคุณต้องถามเขาต่อว่าทำไมถึงตอบแบบนี้ ถ้าเขาบอกว่า 3 ก็ต้องเชื่อเขาก่อน อย่าเพิ่งไปปฏิเสธว่ามันต้องเป็น 2 สิ นี่แหละคือสิ่งที่เราพยายามทำให้ครูและเด็กเป็น เขาต้องหานิยามความสุขของตัวเองให้เจอ และเมื่อเจอแล้วก็ต้องรู้วิธีไขว่คว้าความสุขเหล่านั้นมา
วางแผนเอาแนวคิดตรงนี้ออกมาเป็นรูปธรรมยังไง
พอเราเชื่อว่าความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ จึงไม่เอากรอบความคิดมาจำกัดใครด้วยกรอบเดียว นั่นเลยเป็นที่มาของการที่เราทำความเข้าใจกับบริบทปัจจุบันและทำหลักสูตรให้หลากหลายเพื่อให้เด็กลองหาความสุขของตัวเอง ซึ่งผลตอบรับที่ได้กลับมาก็ดีมากนะ ผู้ปกครองและเด็กหลายคนอยากเข้ามาเรียนที่นี่เพราะเหตุนี้
ทุกอย่างฟังดูดีมาก แต่เช้าวันที่ 30 กรกฎาคม หลังจากได้ทราบข่าวตอนนั้นครูทอมรู้สึกยังไง
โห แย่ (นิ่งคิด) เครียดมาก แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจตัวเองมากๆ คือเราคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด พอเรามั่นใจว่าไม่ได้ทำผิดเราก็มีความรู้สึกว่าโอเคแหละ ถ้าสมมติเขาไม่ต้องการเราจริงๆ ไอ้สิ่งที่เราทำมามันก็น่าจะทำให้เรามีที่ไปอื่นๆ แต่โดยรวมมันก็เป็นความรู้สึกที่แย่มากอยู่ดี
ท้อไหม น้อยใจหรือเปล่า
มีมาหมดแหละ แต่เราอยู่ได้เพราะกำลังใจ
เราไม่เคยรู้ว่ามาก่อนเลยว่าระหว่างทำหน้าที่ ผอ.มาเกือบ 3 ปี เรามีเด็ก ครู และผู้ปกครอง ที่รักในสิ่งที่เราทำมากขนาดนี้ เราได้กำลังใจจากหลายๆ คน จากนอกโรงเรียนก็มี ทั่วประเทศไทยเลยนะ มีทุกแบบทั้งโทรมาและเมสเซจ เราดีใจเพราะรู้สึกว่าเขาคงเห็นว่าเราไม่ได้โกหก ไม่ได้หลอกลวง สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเดินหน้าไปในแต่ละวันได้ พลังเหล่านี้พยุงเราให้ผ่านวิกฤตความท้อหรืออะไรก็ตาม
โดยส่วนตัวครูทอมเองมีโมเมนต์ที่คิดจะยอมแพ้และออกไปบ้างไหม
เอาตรงๆ นะ มี
ตอนที่เกิดเหตุเราคุยกับภรรยาว่า เฮ้ย ไม่ไหวว่ะ เราไม่รู้จะต่อสู้กับเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร เพราะที่ผ่านมาในฐานะ ผอ.เราคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ถ้าคุณไม่ต้องการเราขนาดนี้เราไปดีกว่า แต่เราน่ะติดอยู่นิดเดียวเลยคือคิดว่าเราไม่ผิด และด้วยแรงกาย แรงใจ ความผูกพันที่มีให้ที่นี่ มันทำให้เราอยากต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้องก่อน เราถึงเลือกจะกลับมาและยังอยู่จนถึงทุกวันนี้
มีกำลังใจไหนไหมที่พิเศษต่อครูทอมมากๆ
(นิ่งคิดนาน) ถ้าแตะใจเรามากที่สุดก็ต้องเป็นครูกับนักเรียนแหละ เพราะเขาใกล้ชิดเรามากที่สุด อย่างมีอยู่วันหนึ่งน่าจะเป็นเดือนที่ 2-3 หลังจากเหตุการณ์ มีคนส่งคลิปวิดีโอมาให้เราเราก็เปิดดู มันเป็นคลิปที่ครูในโรงเรียนพูดให้กำลังใจเรา ทำเป็นเหมือนมิวสิกวิดีโอ เราดูไปได้แค่ 2-3 ประโยคเองก็เดินเข้าห้องน้ำและร้องไห้เสียงดัง ร้องๆๆๆๆ ฟูมฟายเป็นเด็กเลย
ปกติเราเป็นคนร้องไห้ยากมากเลยนะ แต่ในเวลานั้นเราไม่ไหวจริงๆ ใจเราบางและแหลกสลาย แต่พอเห็นคลิปนี้มันเป็นความรู้สึกตื้นตัน คือมันจะมี ผอ.สักกี่คนที่คนในโรงเรียนจะทำแบบนี้ให้น่ะ มันเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่าความผูกพันที่พวกเขามีต่อเรามันยิ่งใหญ่ หรืออย่างตอนเห็นครู นักเรียน ผู้ปกครอง ที่มาชุมนุม นั่นก็จุกในใจเรามากๆ (คิด) เราแม่งคนธรรมดามากนะ เราไม่ได้พิเศษอะไร เป็นแค่ ผอ.คนหนึ่ง แต่สิ่งที่เราทำมันได้ใจเขาขนาดนั้น มันเลยยิ่งตอกย้ำว่าถ้าเราเลือกจะไปเราคงเป็นคนที่แย่มาก คงเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ เป็นครูที่แย่ เป็นผู้บริหารที่ใช้ไม่ได้ เราคงเป็นคนจอมปลอมที่ไม่ได้รักพวกเขาจริง เราจะทิ้งความรักทั้งหมดนี้ไปได้ยังไง เราคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ๆ และไม่กล้าไปสอนใครอีกแล้ว
อัพเดตสถานการณ์ปัจจุบัน เรื่องทั้งหมดยังไม่ถึงข้อสรุป
ใช่ครับ แต่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างกำลังเดินหน้า และเราก็เชื่อว่าสุดท้ายแล้วมันจะมีสิ่งดีเกิดขึ้นกับทุกฝ่ายด้วย
ในส่วนของโรงเรียน วิกฤตทำให้เรารู้ว่าโรงเรียนมีจุดอ่อน ดังนั้นถ้าทุกคนหันมาจับมือแก้ไขปัญหาเราว่ามันน่าจะเป็นแบบอย่างให้กับโรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนที่มีสังกัดได้ว่าพวกเขาต้องมีจุดยืนและวางตัวแบบไหน
ในส่วนของนักเรียน เราว่านี่คงเป็นไม่กี่ครั้งที่เด็กจะได้มีส่วนร่วมในการชุมนุมที่ไม่ใช้ความรุนแรง เขาจะได้เรียนรู้ว่าตัวเองเรียกร้องสิทธิที่ควรมีได้ เขาจะได้รับประสบการณ์จริงในการใช้วิจารณญาณเลือกข้างและไม่ฟังความข้างเดียว จะมีสักกี่ที่กันเชียวที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ดังนั้นสำหรับเราเหตุการณ์นี้มีค่าต่อเด็กมากๆ ด้วยซ้ำ
และสุดท้ายในส่วนของเราเอง เหตุการณ์ทั้งหมดนี้สอนตัวเราเหมือนกันว่าก่อนจะไปสอนให้เด็กมีความสุข ครูเองก็ต้องมีความสุขก่อน ในเดือนแรกที่แทบแย่ มีเช้าวันหนึ่งที่เราตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่า เฮ้ย ไอ้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตนี่ถ้าเรามีความสุขไม่ได้ แล้วเราจะเป็นครูที่สอนเรื่องความสุขได้ไงวะ ไม่ใช่แล้ว ดังนั้นแม้เรื่องทั้งหมดจะแย่ขนาดไหนก็ตามเราก็ต้องหาหนทางที่จะยิ้มให้เจอ ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดอยู่กับมันทั้งวัน
แล้วครูทอมเจอความสุขไหม มันคืออะไร
การให้
เราไม่ได้อยากมองความสุขเป็นแค่เนื้อหนังแล้วน่ะ เราอยากให้ตัวเองมีความสุขที่แท้จริง ซึ่งสำหรับเรามันชัดเจนมากว่าคือการให้ การให้เป็นต้นเหตุให้เกิดความสุขมากกว่าการรับ การให้จะทำให้คนรอบตัวมีความสุข และพลังตรงนี้ก็ทำให้เราโคตรมีความสุข ต่อให้ไม่มีเงิน ความสำเร็จ ตำแหน่งใหญ่โต แต่ถ้าเราให้ได้เราก็มีความสุขได้แล้ว
ถ้าให้มองย้อนกลับไป ครูทอมจะนิยามปีนี้ของตัวเองว่ายังไง
(นิ่งคิดและยิ้ม) ปีนี้เป็นปีแห่งการเรียนรู้จริงๆ โดยเฉพาะคำว่าความสุข เราเอาแต่สอนเด็กว่าให้หาความสุข แต่ถ้าในเวลาวิกฤตเรากลับหาไม่เจอ เราไปสอนเขาไม่ได้หรอก ดังนั้นมันเป็นปีที่ให้อะไรกับเราเยอะมากนะ เราได้เห็นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของโรงเรียน ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ถึงปลายทาง แต่เราก็ได้ร่วมต่อสู้กันมา ดังนั้นเราว่ามันเป็นปีที่ดี เพราะถ้าไม่มีความทุกข์เราคงไม่เข้าใจเลยว่าความสุขหอมหวานขนาดนี้ ถ้าไม่รู้จักความทุกข์เราคงยิ่งไม่รักษาและปกป้องความสุขของพวกเราให้ดีขนาดนี้
เมื่อสูญเสียจึงเห็นคุณค่าของสิ่งที่มี
ใช่ ตอนนี้เราเข้าใจคำว่าคุณค่ามากๆ เพราะวิกฤตที่เจอมันหนัก ตอนนั้นหลายคนส่ายหัวแล้วว่าโรงเรียนจะหาทางออกได้ยังไง ทุกคนเจ็บปวด จากกราฟที่พุ่งสูงก็ดิ่งลงเหว แต่ตอนนี้พวกเราเหมือนกราฟที่กำลังพุ่งขึ้นแล้ว และเป็นการพุ่งขึ้นที่ทุกคนเรียนรู้คุณค่าของความสุข
มันมาในเวลาที่เหมาะสมมากเลยครับ ด้วยความที่เราเป็นโรงเรียนคริสต์ ทุกคนจะใจจดใจจ่อกับวันคริสต์มาสมาก ดังนั้นทุกคนอยากให้เรื่องทั้งหมดจบก่อนคริสต์มาส ซึ่งปรากฏว่าจบได้ก่อนจริงๆ โอ้โห โคตรมีความสุขเลยนะ ทุกคนพูดเหมือนกันว่านี่คือของขวัญคริสต์มาสที่พระเจ้าให้กับพวกเรา
สุดท้ายครับ ครูทอมเคยให้สัมภาษณ์ว่า ผอ.เป็นอาชีพที่โคตรเจ๋ง แต่จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นครูทอมยังคิดว่า ผอ.เป็นอาชีพที่โคตรเจ๋งอยู่ไหม
เจ๋งดิ (ตอบทันที) ถามว่าสิ่งที่เจอเจ็บปวดไหม เจ็บปวดมาก เจ็บปวดแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่ก็เพราะงานนี้ไม่ใช่เหรอที่ทำให้ได้รู้ว่าคนรักเรามากขนาดไหน ณ ชั่วโมงนี้ถึงจะพ่ายแพ้แต่เราว่าเราชนะแล้ว เราไม่ใช่คนเด่นคนดังอะไร แต่สิ่งที่เราได้มามันสุดยอด เรารู้สึกถึงขนาดว่าถ้าพรุ่งนี้เราตายไป โดยรวมของชีวิตเรายังถือว่าเป็นความสุขเลย เพราะทุกคนเห็นความตั้งใจที่เราทำให้มาทั้งหมด
มันคือความรักน่ะครับ ดังนั้นเราโอเคแล้ว ไม่เสียดายอะไรเลย