กับการสัมภาษณ์ครั้งนี้ เราตกลงกันภายในทีมว่าจะไปถึงสตูดิโอก่อนเวลานัดหมาย
สถานที่นัดหมายคือสตูดิโอถ่ายทำรายการ บริษัทฮาไม่จำกัด (มหาชน) รายการคอเมดี้ที่แทบจะเรียกได้ว่าโด่งดังและได้รับความนิยมที่สุดในโมงยามนี้ และคนที่เรานัดหมายไว้คือหนึ่งในนักแสดงตลกอาวุโสตัวหลักประจำรายการ
และเพียงแค่เราเปิดประตูเข้าไป เสียงที่ได้ยินมาแต่ไกลก็บ่งบอกว่าเรามาถูกที่แล้ว
“ไอ้สัส!!!!”
ปู
ระหว่างช่วงพักเบรกรายการที่นักแสดงคนอื่นๆ กำลังพักผ่อนและเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย อาคม ปรีดากุล หรือ น้าค่อม ชวนชื่น เดินออกมาจากห้องพักนักแสดงและเปิดบทสนทนากับเรา
“จริงๆ แล้วน้าไม่ชอบให้สัมภาษณ์เลยนะ”
ใช่ว่ารังเกียจการสัมภาษณ์ แต่เขามักจะบอกเหตุผลกับทุกคนว่าตัวเองพูดไม่ค่อยเก่ง
“น้าเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเหตุผลในหัว หลักการไม่ได้ เรียบเรียงไม่ได้ ยิ่งคุยเรื่องหลักคิดด้วย น้าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
ฟังแล้วถือเป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าดูจากสิ่งที่เขาทำมาตลอดหลายสิบปี คำว่าพูดไม่ค่อยเก่งดูจะห่างไกลจากภาพจำของคนทั่วไปมากเหลือเกิน
ย้อนกลับไปเกือบหกสิบปี หลังจากเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เด็กชายอาคมตัดสินใจเดินออกจากระบบการศึกษาเพื่อหันหน้าเข้าหาโรงลิเกตามอาชีพของพ่อแม่ การเป็นตัวโจ๊กลิเกทำให้เขามีความสุขสบายและมีชื่อเสียงอยู่พอสมควรตั้งแต่วัยรุ่น คณะลิเกที่เขาเคยอยู่ล้วนเป็นคณะแถวหน้าของเมืองไทยทั้งนั้น แต่พอเข้าสู่วัยหนุ่ม โชคชะตาก็พาให้เขาเบี่ยงเบนเส้นทางเข้าสู่การเป็นตลกผ่านชายที่ชื่อจิ้ม ชวนชื่น
“พออายุ 30 กว่าๆ จิ้มก็มาชวนเข้าคณะ ตอนนั้นไม่ค่อยอยากมาหรอก กลัวไม่ขำ” น้าค่อมอธิบายความรู้สึกตัวเองไว้แบบนั้น แต่เพียงครั้งแรกที่เขาก้าวขึ้นไปปล่อยมุกบนเวที เสียงหัวเราะของคนดูก็ดังสนั่น หลังจากจบโชว์ทุกคนต่างเข้ามาพูดกับจิ้มเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไปเอาตัวนี้มาจากไหน’
แล้ว ‘ค่อม ชวนชื่น’ ก็เป็นที่รู้จักครั้งแรกวันนั้น
“ช่วงนั้นมันมาก ที่คนฮาเพราะเราไม่เหมือนใคร มันออกมาเอง เป็นธรรมชาติ ชีวิตจริงเราก็เป็นคนแบบนี้ คำพูดคำจาไม่ค่อยเหมือนใครเขาหรอก คนได้ยินเลยยิ่งชอบ”
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ บทบาทการเป็นศิลปินตลกพาค่อม ชวนชื่น ผจญภัยผ่านวันเวลาตั้งแต่ช่วงตลกคาเฟ่รุ่งโรจน์ ถึงขนาดเล่นกันวันละ 7-8 ที่ ไปจนถึงช่วงที่คาเฟ่ล่มสลาย ซึ่งเขาถือเป็นเพียงไม่กี่คนที่ก้าวผ่านวันเวลานั้นมาได้ด้วยการพลิกบทบาทเป็น ‘ตลกหน้าหนัง’
ผลงานภาพยนตร์กว่าหกสิบเรื่องคือหลักฐานอย่างดีของความสำเร็จ เขายังคงเรียกเสียงฮาจากคนดูมาได้จนถึงปัจจุบัน ไม่ได้หายหน้าหายตาไปไหน
“ยิ่งเราสนุกกับงาน น้าเชื่อว่าก็จะยิ่งมีงานเข้ามานะ” ถึงตรงนี้ รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนหน้าเขา
ชง
“ถ้าให้ทบทวน เคล็ดลับความสำเร็จในชีวิตที่ผ่านมาของน้าคืออะไรบ้าง” เราถือโอกาสชวนเขาคุยลงลึก
“น้าให้เครดิตกับบุญวาสนามากกว่า” คำตอบแรกของเขาไม่ใช่เรื่องฝีมือแต่อย่างใด “น้าไม่มีความรู้ แต่บุญวาสนาของน้าคือเป็นคนจำแม่น ความจำดี เวลาเล่นละครหรือหนังเขาจะบอกบทมาแล้วเราจะจำ หลังจากนั้นคำที่ออกไปจะเป็นการเอาคำของเราไปใส่ในบทของเขา
“จริงๆ แล้วคนที่เป็นตลกเก่งทุกคน แต่น้อยคนที่จะมายืนอยู่จุดนี้ได้ การที่น้ามายืนอยู่ได้ถือว่าโอเคแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ตลกสอนกันไม่ได้ เอาเยี่ยงรุ่นก่อนได้แต่เอาอย่างไม่ได้ ดังนั้นอย่างที่บอกว่ามันอยู่ที่บุญวาสนาของคน
“น้าไม่ได้เก่งกว่าใคร ขยันก็พอกับคนอื่นๆ แต่ที่มาถึงจุดนี้ได้เพราะคนดูชอบ ถ้าไม่ชอบเขาคงไม่อยากดูน้า แต่โชคดีที่คนชอบสิ่งที่เราทำ คำด่าคืออาวุธของเรา เรียกว่าเป็นโลโก้ก็ได้ บางคนเอาไปทำเป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็มี ที่พูดว่า ‘ตื่นได้แล้ว ไอ้สัส!’”
เสียงหัวเราะครืนใหญ่ดังขึ้นแทรกกลางบทสนทนาเมื่อคำด่าสุดคลาสสิกของน้าค่อมถูกเอ่ยขึ้นมา
“นอกจากบุญวาสนา ถ้าให้ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา มีอะไรอีกไหมที่ทำให้มาอยู่ตรงจุดนี้ได้” เราชวนเขาคิด
“เวลาสำคัญที่สุด” น้าค่อมนิ่งคิดนานก่อนตอบ
ความจริงข้อนี้ใครที่เคยร่วมงานกับดาวตลกผู้นี้ย่อมรู้ดี ทุกกองถ่ายไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนเขาก็ไม่เคยไปทำงานสาย วินัยยังคงเป็นสิ่งที่เขายึดถือเสมอมา
“เราไปเอาเงินเขา เราต้องตรงต่อเวลา ตรงต่อหน้าที่ สิ่งเหล่านี้คือดีที่สุด การเป็นนักแสดงถึงคุณไม่ได้เล่นดีมากแต่ถ้าทำเวลาได้ดีเขาก็ยังจ้างคุณ เวลาในวงการนี้คือเรื่องสำคัญมาก ซึ่งถ้าเราทำได้ เผลอๆ เวลาเราทำอะไรผิดพลาดนิดหน่อยเขาก็ให้อภัยเรา เพราะอย่างน้อยเราไม่เคยผิดเรื่องเวลา
“น้าเรียนรู้เรื่องนี้จากรุ่นใหญ่มาอีกที อะไรที่ดีอยู่แล้วเดินตามเขาน่ะดีที่สุด อย่างเรื่องเวลา สมัยที่ชวนชื่นตระเวนเล่นคาเฟ่ เขามีกฎว่าถ้ามาสาย 15 นาทีจะโดนตัดเงิน 100 บาท สมัยก่อนเงิน 100 นี่เยอะมากนะ”
“น้าเสียดายเงิน” เราทวนตามที่เข้าใจ
“น้าไม่เสียดายเงินหรอก น้าเสียดายที่เราไม่รักเวลามากกว่า คาเฟ่คล้ายโรงเรียนของพวกเรา ถ้าไปสายก็เหมือนไปโรงเรียนสาย”
“ตอนที่คาเฟ่ล่มสลายรู้สึกยังไงบ้าง” เราชวนน้าค่อมคุยถึงสิ่งที่เขาผ่านมา
“พอตลกไม่มีคาเฟ่ก็เหมือนไม่มีงานทำ บางคนตอนมีเงินไม่รู้จักเก็บ พอที่ทำงานล้มลงก็เกิดปัญหา อย่างน้าเองตอนนั้นคิดว่ากูต้องเดินไปทางไหนต่อ เราห่วงครอบครัวว่าเขาต้องมาลำบากไหม ยอมรับว่าเครียดนะ ไม่รู้จะหากินยังไง ตลกก็เหมือนกับทุกคนแหละ มีทุกข์ มีเหนื่อย แต่น้าไม่ค่อยบอกให้คนอื่นรู้หรอก ปล่อยให้ทุกข์ไปเงียบๆ ไม่ค่อยอยากให้คนอื่นทุกข์ตามเรา เราต้องสู้ต่อ”
“ที่ผ่านมาชีวิตเครียดเรื่องอะไรมากที่สุด”
“เรื่องงานนี่แหละ แต่เครียดมากก็ตอนที่เข้าโรงพยาบาล”
ตบ
ช่วงไม่กี่ปีก่อน ในวันธรรมดาวันหนึ่งที่น้าค่อมมีคิวงานเต็มวัน เขาตื่นขึ้นมาด้วยอาการผิดปกติ ปากเบี้ยว สมองเบลอ หลงทิศ จนเมื่อจบวัน คนสนิทเห็นว่าน้าค่อมอาการไม่ค่อยดีจึงพาเขาไปหาหมอ
จากที่คนปกติน้ำตาลในเลือดควรอยู่ที่ 70-100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่วันนั้นน้ำตาลในเลือดของน้าค่อมพุ่งสูงถึง 350 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร เมื่อแพทย์ตรวจร่างกายอย่างละเอียดจึงพบว่าเขามีอาการเส้นเลือดในสมองตีบและปอดอักเสบ ต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วน
“ตอนนั้นน้าทุกข์หนักเลย น้าเป็นเสาหลักของบ้าน ยิ่งพอหันมามองลูกเมีย โอ้โห ใครจะเลี้ยงพวกเขา มีแต่คำถามว่าจะทำยังไงดี ออกจากโรงพยาบาลแล้วเราจะเหมือนเดิมไหม เราไม่มีงานทำแน่แล้ว โชคดีที่บอล เชิญยิ้ม กับตั๊ก บริบูรณ์ ขี่ม้าขาวมาช่วย พวกเขาหิ้วเราไปทำงานด้วยตลอด”
ปัจจุบันในวัย 62 ปี น้าค่อมเพิ่งรับบทบาทใหม่ในชีวิตตัวเองด้วยการทำหน้าที่เป็นคุณตาของน้องณิลลา หลานสาวแสนน่ารัก เธอคนนี้เองที่เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้การป่วยครั้งนั้นเปลี่ยนแปลงเขาไปมากกว่าที่ตัวเขาคิด
“หมอถามน้าคำเดียวว่าไม่อยากเลี้ยงหลานเหรอ หลังจากนั้นน้าเลิกทุกอย่างเลย เหล้า บุหรี่ เครื่องดื่มมึนเมา เราเลิกหมด หักดิบได้แบบไม่มีความอยากใดๆ
“ตอนอยู่โรงพยาบาลน้าไม่ได้คิดเสียดายอะไรในชีวิตเลย เราทำตรงนี้มาจนครอบครัวสบายแล้ว แต่แค่เราไม่อยากเป็นอะไรตอนนี้เพราะเป็นห่วงหลานมากกว่า”
“เท่าที่ฟังมา ดูน้าคิดถึงตัวเองน้อยมาก” เราแสดงความเห็น
“ชีวิตน้าไม่มีความรู้ แต่เรากระเสือกกระสนและสู้ชีวิต ถามว่าเสียดายอะไรไหม มันก็อาจจะเสียดายบ้างที่เราไม่ได้เรียนหนังสือ ถ้าเรียนเราคงไปไกลกว่านี้ แต่ดิ้นรนมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีแล้ว การเป็นตลกทำให้ครอบครัวน้าสบาย ถึงแม้มันจะทำให้เราเจอมาทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี แต่สำหรับน้ามันอยู่ที่เราเท่านั้นเอง อะไรที่ทุกข์ก็อย่าไปใส่ใจมากเลย
“ชีวิตคนเรามีแค่ตื่นกับนอนน่ะ ตื่นมาก็ไปทำงาน ทำงานเสร็จแล้วก็กลับมานอนให้เต็มอิ่ม ดังนั้นอย่าไปคิดอะไรมากกว่านั้น ไม่รู้จะคิดถึงตัวเองมากๆ ไปเพื่ออะไร น้ามาถึงขนาดนี้ได้ก็บุญมากแล้ว ตอนเข้าโรงพยาบาล หมอก็บอกน้านะว่าเป็นคนบุญดี เพราะถ้าไม่มีบุญป่านนี้น้าตายไปแล้ว”
พอคุยกันมาถึงจุดนี้ ทีมงานก็เข้ามาแจ้งว่าถึงเวลาที่น้าค่อมจะต้องกลับไปอัดรายการต่อ
“ถ้าศาสตร์ตลกสอนกันไม่ได้ แล้วการใช้ชีวิตสอนกันได้ไหม” ก่อนจากกันเราชิงถามคำถามสุดท้าย
“น้าไม่ค่อยเชื่อในการสอนหรอก น้าเชื่อในการทำให้ดูมากกว่า อย่างครอบครัวเรา ลูกก็เห็นว่าพ่อทำงานแบบนี้ เขาจะเอาเยี่ยงอย่างไหมก็แล้วแต่เขา น้าปล่อยให้ลูกมีชีวิตเป็นของตัวเอง เพราะคนเรามีวาสนาไม่เหมือนกันหรอก มันอยู่ที่การทำตัวของเราเอง
“แค่ตั้งใจทำงานเพื่อให้ครอบครัวมีความสุขอย่างทุกวันนี้ก็เพียงพอแล้ว”
ทุกวันนี้มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
คนเราเกิดมาต้องตาย และทุกคนก็พูดเหมือนกันหมดว่ากลัวตายใช่ไหม ดังนั้นคำถามคือเมื่อไหร่เท่านั้นเอง แต่น้าก็ไม่อยากให้ถึงจุดนั้นไวๆ เพราะน้าอยากจะอยู่กับครอบครัวไปนานๆ
เหตุการณ์ที่มอบบทเรียนสำคัญกับชีวิต
ตอนป่วยเข้าโรงพยาบาล ขอแนะนำทุกคนว่าไปหาหมอดีที่สุด อย่าไปกลัว รู้ไว้ก่อนดีกว่า เพราะถ้ารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ หมอจะแนะนำเราได้ ถ้าไม่รู้แล้วปล่อยไปจะอันตราย
อยากให้คนจดจำตัวเองแบบไหน
ไม่ต้องจำช่วงไหนทั้งนั้น แค่ทุกวันนี้มีคนรู้จักและเรียกว่า ‘น้าค่อม’ ก็ดีมากแล้ว ไม่ต้องไปจำว่าเป็นตลกที่เก่งกาจหรืออะไรอย่างอื่นหรอก แค่จำว่า ‘น้าค่อม’ เราก็พอใจและมีความสุขมากแล้ว