ถ้านับกันที่วันเวลา
ผมนั่งสนทนากับ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ไม่กี่อาทิตย์หลังจากหนังเรื่องล่าสุดที่เขากำกับอย่าง ดิว ไปด้วยกันนะ ออกฉาย และไม่กี่เดือนหลังจากที่แฟนหนุ่มของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
ถ้านับกันที่วันเวลา
หนึ่งปีอาจจะเป็นช่วงเวลาแสนสั้นถ้าเขียนออกมาเป็นตัวเลข แต่ในแง่รายละเอียด มันก็ยาวนานพอจะทำให้ใครบางคนเปลี่ยนความคิดจากเหตุการณ์ในชีวิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอด 365 วัน
และในปีนี้ มะเดี่ยวคือหนึ่งในนั้น
ถ้านับกันที่วันเวลา
เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงอาจไม่ได้นานมากมายอะไรในการสนทนาของเราสองคน แต่ถ้อยคำที่เกิดขึ้นนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรู้ว่า มะเดี่ยวได้บทเรียนในการเปลี่ยนแปลงตัวเองยังไงบ้างตลอดหนึ่งปีนี้
และบรรทัดต่อจากนี้คือถ้อยคำเหล่านั้นที่เขาตอบคำถาม
ว่าปีนี้สอนให้เขารู้ว่าอะไร
ความรู้สึกหลังจากหนังเรื่องล่าสุดออกฉายมันต่างไปจากเรื่องก่อนหน้าบ้างไหม
เราว่าต่างจากเดิม เมื่อก่อนเราจะตื่นเต้นมากเวลาเห็นคนดูมีแง่มุมหลากหลายกับหนัง ซึ่งเดี๋ยวนี้ความตื่นเต้นตรงนั้นน้อยลงแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่แคร์นะ แต่ที่เห็นชัดเจนมากๆ คือหลังจากทำหนังหรือคอนเทนต์มาหลายปี เราค้นพบว่าความแคร์ในตัวเราน้อยลง
ส่วนหนึ่งเราคิดว่าอาจเป็นเพราะเราโตขึ้น เราผ่านมาหมดแล้วทั้งจุดที่คนชอบหนังเรามากๆ และจุดที่คนด่ามากๆ ดังนั้นกับงานที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มันจึงเป็นแค่งานงานหนึ่งที่ต้องเจอคนคอมเมนต์ มันเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะชมหรือด่า เอาเข้าจริงเราค้นพบว่ามันไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นหรือแย่ลงไปมากกว่าเดิมเท่าไหร่ โอเค มันอาจมีผลต่อมุมมองของคนที่มองเข้ามาหรือนายจ้างบ้าง แต่เราทำงานมาขนาดนี้แล้ว เราต้องรู้ว่างานที่เราทำมันดี-ไม่ดียังไงตั้งแต่ต้นแล้ว เวลาทำหนังเราควบคุมร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราเห็นจุดบกพร่องหรือตำหนิในงานของเราอยู่แล้ว
ถ้าอย่างนั้นทุกวันนี้คำวิจารณ์มีผลยังไงกับคุณบ้าง
เรายังอ่านคอมเมนต์หรือบทวิจารณ์อยู่นะ แต่เราเลือกขอบคุณคนที่เขาชอบ เลือกเก็บด้านดีๆ เข้าหาตัวดีกว่า ส่วนคำวิจารณ์ที่ไม่ดีเราก็เห็น แต่ไม่ได้เก็บมาคิดมากและเลือกปล่อยไป
เราทำหนังมาจนรู้แล้วว่าวงการนี้ใช้คำว่าติเพื่อก่อไม่ได้ มันไม่เหมือนสร้างบ้านแล้วจะกลับมาแก้ได้ หนังคือการติเพื่อติเท่านั้น เพราะหนังเสร็จไปแล้ว พอหนังออกฉายผลงานนี้ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป มันเป็นของคนดูไปแล้ว
ที่บอกว่าความคิดต่างไปจากเดิม แสดงว่าก่อนหน้านี้คุณไม่ได้คิดแบบนี้
เมื่อก่อนอ่านหมดเลย ตามประสาแหละ อ่านแล้วก็เก็บมาคิดทุกสิ่ง ตอนนั้นเราอยากรู้ไงว่าคนคิดกับงานของเรายังไง แต่พอเวลาผ่านไป เราเข้าใจความเป็นไปพวกนี้มากขึ้น เอาจริงนะ ผู้กำกับที่ทำหนังมาสิบปีแล้วยังมีผลงานอยู่ได้เรื่อยๆ ในประเทศนี้มีอยู่ไม่กี่คน เราเองโชคดีที่อยู่ในกลุ่มนั้น ดังนั้นสิ่งที่เราทำก็ไม่มีอะไรมากกว่าทำหนังของเราต่อไปจนกว่าจะไม่มีใครให้ทำ
ถอยออกมามองภาพใหญ่กว่านั้น เราจะเรียกปีนี้ของคุณว่ายังไงดี ‘ปีแห่งการสูญเสีย’ ได้ไหม
(นิ่งคิดนาน) ใช้คำว่าเป็นปีที่พลิกผันมากๆ ก็แล้วกัน แฟนเราตาย มันเป็นสิ่งที่แย่มากๆ แย่แบบที่คงไม่มีอะไรแย่กว่านี้อีกแล้ว อาจเป็นจุดนี้ด้วยมั้งที่ทำให้เราแคร์อะไรภายนอกน้อยลง เพราะสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้คือสิ่งสำคัญในชีวิตคนเรา มันคือคนที่อยู่กับเรา
ถ้ามาคิดกันจริงๆ เรื่องภายนอกอื่นๆ ทำอะไรเราไม่ได้หรอกถ้าเทียบกับคนที่อยู่กับเรา ไม่ว่าจะแม่ แฟน พี่น้อง หรือเพื่อนแท้ สิ่งที่มีค่าในชีวิตคือการที่คนเหล่านี้อยู่กับเรา ผิด-ถูกไปร่วมกัน อยู่เคียงข้างกันไม่ว่าจะดีหรือร้าย เพราะในความเป็นจริง ยิ่งโตขึ้นคนเหล่านี้จะยิ่งมีน้อยลงนะ ดังนั้นการสูญเสียแฟนซึ่งเป็นคนที่เรารักมากๆ จึงเป็นเรื่องแย่มาก ปีที่ผ่านมายอมรับเลยว่าเราเทไปหลายอย่างเพื่อได้อยู่ดูแลเขา
คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่านี่คือการเทงานครั้งแรกในชีวิต ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น
เราแบกมันไม่ไหว ซึ่งเอาจริงๆ ไม่ใช่แค่งานนะ ลูกน้องเอย บริษัทเอย เราเทหมด เราบอกพวกเขาให้ไปทำอย่างอื่นกันได้เลย เราแบกไม่ไหวแล้ว ขอให้เข้าใจด้วย
งานที่เราทำคืองานที่ใช้อารมณ์ ดังนั้นเมื่อความเศร้าหรือความกังวลเกิดขึ้นในตัวเรามากเกินไป เราเลยเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรได้ ห้วงสุดท้ายเราถึงเลือกที่จะไม่เอาอะไรแล้ว ขออยู่กับเขาอย่างเดียว ขอแค่เขาไม่ตาย เราคิดถึงขนาดว่าไม่ต้องทำอย่างอื่นเลยก็ได้ ขออยู่ข้างเขาก็พอ แต่กลายเป็นว่าเหมือนเขาเองแหละที่ตัดสินใจว่าจะไปตอนไหน
ในแง่ของโรคที่เขาเป็นมันทรมานอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ทรมานจนโอดโอย ประเด็นคือระหว่างที่เขาป่วย เราไป-กลับเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ตลอด เขาเห็นสภาพเรา เห็นว่าทุกวันเราเอาข้าวไปให้กิน เห็นเรานั่งทำงานตัดหนังอยู่ข้างๆ เราคิดว่าเขาคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระมั้ง ดังนั้นเขาก็เลยเลือกที่จะไป
หลังจากนั้นเราเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ช่วงหนึ่งเลยนะ แต่ยอมรับว่าฟื้นตัวได้ไวมากเพราะงาน
อาจเป็นความบังเอิญก็ได้ แต่มันก็เป็นความบังเอิญที่มาเยียวยาเราพอดี อยู่ดีๆ งานก็เข้ามาเยอะมากหลังเหตุการณ์นี้ ทั้งๆ ที่เราทำใจไประดับหนึ่งแล้วว่าเราคงฉิบหายแน่ เพราะช่วงที่เราอยู่กับเขา เราคิดว่าตัวเองหลุดจากลูปการพิจารณาของนายทุนไปแล้ว อีกอย่างเราก็ไม่รู้จะดูแลใจตัวเองยังไง จะหยุดจากความรู้สึกสูญเสียด้วยวิธีไหน เราคิดว่ามันยากมากในการทำให้ตัวเองดีขึ้นจากความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่งานที่เข้ามาก็ช่วยเราได้มาก พูดง่ายๆ ว่าชีวิตพลิกผันอีกครั้ง
ตรงกับที่สเตตัสเฟซบุ๊กส่วนตัวของคุณบอกว่าจะเดินทางไปต่อแล้ว
ใช่ๆ เราว่าชีวิตต้องไปต่อนะ แต่เราก็ยอมรับว่าคิดถึงเขาอยู่ทุกวัน ตื่นเช้ามาเรายังคงคิดถึงเขาอยู่
มันมีบางอารมณ์นะที่คิดว่าถ้าเขาอยู่ เขาคงได้มานั่งดูหนังข้างๆ ถ้าเขายังอยู่ ชีวิตการงานเขาคงรุ่งโรจน์แน่ๆ (นิ่งคิด) แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว ดังนั้นเราเองมีหน้าที่ต้องใช้ชีวิตต่อไป แต่ก็เป็นการใช้ชีวิตของคนที่ล้ม สะดุด และมีบาดแผล เรารู้แล้วล่ะว่าอะไรที่สำคัญกับเรา เงินทอง การงาน ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่คนที่จะสานสัมพันธ์กับเราและอยู่ในชีวิตร่วมกันได้แบบนี้ มันยากมากเลยที่จะสร้างขึ้นมาใหม่
ถ้าให้ทบทวน ตัวคุณเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้างจากเหตุการณ์นี้
พอดีแฟนเราคือคนที่ทำงานและสร้างสรรค์ผลงานออกมาด้วยกัน (แฟนของมะเดี่ยวเป็นตากล้องถ่ายทำหนัง) ดังนั้นพอเขาจากไป เรามีเรื่องให้คิดเยอะว่าต่อจากนี้จะเป็นยังไง ยิ่งเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นในสภาวะที่เรายังไม่ได้ตั้งตัว เรายังไม่ได้แก่ไปด้วยกันอย่างที่ตั้งใจเลย แผนการในชีวิตที่วางร่วมกันมันพังไปหมด ดังนั้นสิ่งที่เราได้เรียนรู้น่ะเหรอ (นิ่งคิด) โอ้โห เยอะเลยล่ะ
เรารู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปเยอะ เราอารมณ์เย็นลงเยอะ เข้าใจคนอื่นเยอะขึ้น และสำหรับงาน ก่อนหน้านี้งานคือสุดยอดในชีวิต มันเป็น priority ของเรามาตลอด แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เรารู้สึกอยากลดตัวเองลงบ้างและอยากส่งเสริมให้คนอื่นขึ้นไปแทน ตอนนี้เราอยากอยู่นิ่งๆ อยากใช้เวลาครุ่นคิดกับสิ่งที่ผ่านมาและทำอะไรที่ตอบโจทย์ทางจิตวิญญาณเรามากขึ้น เราอยากเรียนรู้จิตใจตัวเองใหม่และสร้างผลงานอะไรออกมาสักอย่างเพื่อส่งสารกับผู้คน เราอยากทำงานที่ค้นลึกเข้าไปในใจว่าตัวตนเราเป็นยังไง มาถึงตรงนี้เราผ่านอะไรมา เรารู้จักตัวเองแค่ไหน รู้จักโลกแค่ไหน พูดง่ายๆ ว่าตอนนี้เราอยากหาสมดุลชีวิตใหม่ จากที่เคยทำงานหนักหนามาก เราอยากหาจุดที่โอเคกับตัวเองมากขึ้น
เหมือนพอเห็นชีวิตที่สูญเสีย คุณจึงหันกลับมามองชีวิตตัวเอง
เหมือนช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งเรื่องงาน ชีวิต และความตาย มันบีบเรามากๆ ทุกอย่างบีบให้เราวิ่งๆๆๆ จนตอนนี้เราไม่ต้องวิ่งแล้ว เราหายใจได้เต็มปอด สติเรากลับมา เราได้เดิน หยุดพัก เห็นข้างทาง มองข้างหลังว่ารอบตัวเราเป็นยังไงบ้าง (นิ่งคิด) นี่อาจเป็นจุดที่ทุกคนต้องการในชีวิตเหมือนกันนะ เราเรียกมันว่าอาหารทางจิตวิญญาณ คล้ายการได้เข้าถึงและเข้าใจความจริงบางอย่างอย่างถ่องแท้ เพียงแต่ตอนนี้เราแค่ต้องการเวลาที่ได้ขบคิดเรื่องที่ผ่านมาสักหน่อย เพราะนี่คือสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ชีวิต ที่เราจะได้เรียนรู้ด้วยตัวเองล้วนๆ
ในวัยใกล้สี่สิบ เรียกปีนี้ว่าเป็น coming of age ได้ไหม
มันเป็นปีที่มีทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีแหละ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่าชีวิตมีขึ้น-ลงเสมอ
เราไม่อยู่ในจุดต่ำสุดนานหรอก และเราก็ไม่ได้ขึ้นไปบนจุดสูงสุดนานนัก วันที่ตกต่ำที่สุดเราก็อย่าท้อแท้ อย่าหมดกำลังใจ หาทางขึ้นไป และในวันที่อยู่สูงเราก็อย่าทะนงตนว่าจะอยู่แบบนี้ไปตลอดกาล วันหนึ่งเราก็ต้องลงมาอยู่ดี ดังนั้นเตรียมตัวให้พร้อมกับทุกสถานการณ์ดีกว่า ซึ่งการเตรียมตัวให้พร้อมนั่นก็คือการรู้จักตัวเอง
ใจเราทุกข์ตรงไหน สุขตรงไหน ถ้าเรารู้เท่าทันความรู้สึกได้ เราคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องดี
มีสติในโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอน
ประมาณนั้น คือความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้อยู่แล้วน่ะ แต่เราต้องมีสติรู้ตัวว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญและมีผลต่อความรู้สึกเรา เหมือนการใช้ชีวิตให้ชาญฉลาดน่ะ อย่างตอนนี้งานยังเป็นสิ่งที่ทำให้สนุกและรู้สึกมีไฟในการทำงานอยู่นะ แต่แค่เราหาสมดุลกับอะไรที่ทำให้มีความสุขแท้จริงอย่างครอบครัว พี่น้อง เพื่อน คนรัก เพราะถ้าเรายังมีมือ มีสมอง เงินทองเราหาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ แค่ไม่ใจร้ายกับตัวเองเกินไปนัก แต่คนที่อยู่ข้างๆ ถ้าจากไปแล้วพวกเขาจะไม่กลับมาไง ดังนั้นจงลำดับความสำคัญและใช้ชีวิตให้เป็นดีกว่า
ถ้าจะมองชีวิตคุณในปีนี้เป็นหนังสักเรื่อง คุณว่าเรื่องนี้จะเป็นหนังแนวไหน
(นิ่งคิดนานมาก) มันคงเป็นหนังที่จบสวยงามนะ ในแง่งาน ชีวิตเราก็ดีขึ้น ส่วนเขาก็คงไปในภพภูมิที่ดีขึ้น ซึ่งจริงๆ เราว่าปีนี้สำหรับเราไม่คล้ายหนังหรอก มันเหมือนซีรีส์ที่จบซีซั่นมากกว่า มันอาจจะสะเทือนใจกว่าซีซั่นที่ผ่านมาสักหน่อยตรงที่มีตัวละครที่คนดูรักและผูกพันจากไป แต่โดยรวมทั้งซีซั่นนี้ถือเป็นเรื่องดีแหละ
คุณเคยบอกว่าหนังของตัวเองมักทำขึ้นจากความทรงจำและความรู้สึก สุดท้ายนี้คุณว่าตัวเองจะทำหนังถึงเขาไหม
เราคิดว่ามี แต่มันจะเป็นหนังที่เป็นส่วนตัวมากแน่ๆ
เอาจริงมีคนอยากให้เราทำนะ เอาตังค์มาให้ทำด้วยซ้ำ แต่อย่างที่บอกว่าเราเองขอตกผลึกเหตุการณ์นี้สักหน่อย เราอยากได้เวลาคิดถึงเรื่องนี้ และถ้าทำ เราคงจะทำมันอย่างทะนุถนอม อย่างดีที่สุด สุดท้ายถ้าถึงวันนั้นเราอาจจะออกตังค์ทำเองก็ได้นะ เพราะมันจะเป็นงานที่เป็นส่วนตัวกับเราร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งแน่นอนว่าเราคงไม่อยากให้ใครมาแตะ
ช่วยไม่ได้ ก็เรื่องนี้เป็นความทรงจำที่เราหวงแหนนี่