มนุษย์ครอบครัวและปิตาธิปไตยในซีรีส์สายเยียวยาจิตใจ My Unfamiliar Family

“ครอบครัวคืออะไร” คือคำถามสำคัญจากตอนสุดท้ายของซีรีส์ My Unfamiliar Family

นี่ไม่ใช่การสปอยล์แต่อย่างใด แต่ที่ต้องจั่วหัวมาด้วยคำถามนี้เพราะมันคือสิ่งที่ซีรีส์ชวนคนดูอย่างเราย้อนกลับมาถามตัวเองซ้ำๆ ตลอดการรับชม 

ครอบครัวในอุดมคติอาจหมายถึงเซฟโซนที่พร้อมเข้าใจเราตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะในขณะเดียวกัน ครอบครัวคือกลุ่มคนที่ต้องเผชิญกับตัวตนอันร้ายกาจ เอาแต่ใจ และพังทลายที่สุดของกันและกัน ซึ่งหลายครั้งหลายคราวก็ดูไร้เหตุผลเสียจนยากจะทำความเข้าใจ

‘ครอบครัวคิม’ จากซีรีส์เรื่องนี้บอกเราไว้เช่นนั้น

My Unfamiliar Family

My Unfamiliar Family คือซีรีส์แนว slice of life-drama ที่ตั้งใจบอกเล่าการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในชีวิตครอบครัวอันแสนธรรมดา

เมื่อทั้ง 5 สมาชิกในบ้านได้ดำเนินชีวิตมาจนถึงช่วงวัยที่ ‘ครอบครัว’ ไม่ใช่ส่วนสำคัญในชีวิตอีกต่อไป พวกเขาได้พบผู้คนและความสัมพันธ์ใหม่ๆ ที่เริ่มจะมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตมากกว่า ครอบครัวจึงกลายเป็นกลุ่มคนที่ค่อยๆ ห่างหายจนคล้ายเป็นคนแปลกหน้า ขณะเดียวกันผู้คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนแปลกหน้ากลับค่อยๆ พัฒนามาเป็นครอบครัวใหม่ของกันและกัน

แต่การปล่อยมือจากกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัวเดียวกันมาค่อนชีวิตกลับไม่ง่ายขนาดนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับ ‘คิมซังชิก’ คุณพ่อผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว อาการความจำเสื่อมชั่วคราวของเขาเปรียบเสมือนระเบิดลูกใหญ่ที่ถูกปล่อยลงกลางบ้าน

My Unfamiliar Family

การกลับมาพูดคุยกันอีกครั้งของสองพี่น้องที่ไม่คุยกันมานานหลายปี แม่-ลูกที่ห่างเหินกันจนยากจะต่อติด รวมถึงสามีภรรยาที่เตรียมจะแยกทางกัน ในสถานการณ์ที่ความทรงจำของผู้เป็นสามีได้ย้อนกลับไปสมัยอายุ 22 ปี ทำให้ทั้งครอบครัวค่อยๆ มองเห็นตัวตนของกันและกันในแง่มุมที่ต่างออกไป และสั่นคลอนอคติในใจที่เคยมี

ก่อนจะมาเป็นครอบครัว

สำหรับคนทำหนังและซีรีส์ ‘ครอบครัว’ คือประเด็นที่ดึงดูดให้คนทั่วไปรู้สึกเชื่อมโยงได้ไม่ยาก แต่การเลือกหยิบแง่มุมที่น่าสนใจและถ่ายทอดออกมาอย่างมีชั้นเชิงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย 

My Unfamiliar Family ตีโจทย์ข้อนี้แตกกระจาย จนบรรดาคอซีรีส์ส่วนใหญ่ยกให้เป็นตัวเก็งอันดับต้นๆ ของทั้งรางวัลซีรีส์ยอดเยี่ยมและบทละครยอดเยี่ยมจากเวที Baeksang Arts Awards 2021 ซึ่งเปรียบเสมือนออสการ์แห่งวงการซีรีส์เกาหลีเลยก็ว่าได้

ซีรีส์เริ่มต้นจากการฉายภาพบรรยากาศความอึดอัดระหว่างพ่อและแม่ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกๆ เห็นกันตั้งแต่เด็กจนชินชา แต่เพราะอาการป่วยที่ทำให้ซังชิกเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ความทรงจำกว่าครึ่งชีวิตของเขาหายไป เหลือไว้เพียงช่วงเวลาก่อนปี 1982 ปีที่เขาได้พบกับว่าที่ภรรยาอย่าง ‘อีจินซุก’ เป็นครั้งแรก 

“เราไม่เคยรู้เลยว่าก่อนที่เราจะเกิดขึ้นมาพ่อกับแม่มีชีวิตเป็นยังไง” 

กรอบรูปเก่าๆ กับความทรงจำที่หายไปของซังชิกคือตัวแทนที่บอกเราว่า ชีวิตของคนเป็นพ่อแม่นั้นต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย กว่าจะกลายมาเป็นพ่อและแม่อย่างที่ลูกๆ รู้จักในปัจจุบัน

ในสายตาลูกสาวคนโตอย่าง ‘คิมอึนจู’ พวกเขาคือผู้ปกครองที่ไม่เอาไหน ทั้งยังปล้นช่วงอายุวัย 20 ปีของเธอไปอย่างไม่น่าให้อภัย จนเธอตัดสินใจแต่งงานเพื่อหนีจากภาระหนักอึ้งนี้ และสร้างครอบครัวใหม่ของตัวเองในทันทีที่มีโอกาส

สำหรับลูกสาวคนกลางอย่าง ‘คิมอึนฮี’ ที่ถูกพ่อแม่สร้างปมในใจตั้งแต่เด็ก เธอกลายเป็นคนที่มีนิสัยชอบตามใจคนอื่น พยายามทำให้คนรอบตัวพอใจอยู่ตลอดเวลา

ส่วนลูกชายคนเล็กอย่าง ‘คิมจีอู’ ตั้งแต่จำความได้เขาก็เห็นแต่ภาพความเย็นชาต่อกันของทั้งคู่ จึงพานทำให้จีอูเชื่อว่าในครอบครัวนี้คงไม่มีใครเข้าใจและเปิดใจรับฟังเขาอย่างแท้จริง

แต่เมื่อตัวตนของซังชิกที่ย้อนกลับไปสู่วัย 22 ปีนั้นกลับต่างจากที่ลูกทุกคนรู้จักราวฟ้ากับเหว ลูกๆ จึงเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลา 39 ปีที่ผ่านมา พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าเรื่องราวนั้นต้องร้ายแรงขนาดไหน ถึงทำให้ชายหนุ่มผู้แสนดีกลายเป็นคนแก่อารมณ์ร้ายของครอบครัว

ผู้หญิงในครอบครัว

“ฉันอยากจบการศึกษาจากชีวิตแต่งงาน” ไม่กี่วันก่อนที่พ่อจะประสบอุบัติเหตุ คุณแม่ลูกสามวัย 60 ปีอย่างจินซุก (ผู้ซึ่งเลือกใช้คำได้วัยรุ่นเป็นบ้า) ประกาศกร้าวต่อหน้าสามีและลูกๆ

เหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่องนี้ทำให้เรามองเห็นว่า ทุกการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวนั้นเปรียบเสมือนทางแยกบนถนนใหญ่ที่จะเปลี่ยนชีวิตเราไปตลอด ไล่ตั้งแต่การตัดสินใจแต่งงาน การมีลูก การทำแท้ง การแยกทาง หรือแม้กระทั่งการตัดสินใจเก็บเรื่องบางเรื่องเป็นความลับต่อกันในครอบครัว

ซึ่งผลกระทบจากการตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นจะหนักหน่วงขึ้นอีกหลายเท่าเมื่อคุณเป็นผู้หญิงในสังคมปิตาธิปไตยอย่างประเทศเกาหลีใต้ ที่จำเป็นต้องฝากความมั่นคงในชีวิตทั้งหมดไว้กับผู้ชายในบ้าน

ความสัมพันธ์ของจินซุกและสามีเริ่มต้นขึ้นจากความรักครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งคือความจำยอมของเธอในวัย 22 ปี เมื่อเธอถูกทั้งครอบครัวและสังคมไล่ต้อนจนมุม เด็กสาวที่ต้องรับผิดชอบอีกหนึ่งชีวิตในท้องจะมีทางเลือกใดนอกจากเริ่มต้นครอบครัวใหม่กับผู้ชายที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเธออย่างเต็มใจ

ชีวิตคู่ที่เริ่มต้นขึ้นอย่างฉุกละหุกเช่นนี้ย่อมมีปัญหามากมายตามมา เพราะเกรงใจกันมากเกินไป พูดคุยกันน้อยเกินไป จึงอดไม่ได้ที่จะคลางแคลงใจซึ่งกันและกัน

แม้แต่กับเรื่องใหญ่อย่างการสงสัยว่าสามีจะมี ‘บ้านเล็ก’ เธอยังไม่กล้าเอ่ยปากถาม เพราะต่อให้ไม่ชอบใจแค่ไหนแต่หากเธอลุกขึ้นมาท้วงแล้วเขาตัดสินใจทิ้งเธอกับลูกไว้เพื่อย้ายไปอยู่กับคนอื่น หญิงสาวที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกเต็มเวลาจะสามารถมีชีวิตต่อไปยังไงกัน

My Unfamiliar Family

Fast-forward มาที่ปี 2020 อีจินซุกพยายามโน้มน้าวลูกสาวคนโต ผู้ซึ่งพยายามมีลูกมาตลอดหลายปีในชีวิตแต่งงานจนเริ่มถอดใจ

“ถ้าไม่มีโซ่ทองคล้องใจ ความสัมพันธ์จะเปราะบางนะ” เธอแนะนำในฐานะคนเป็นแม่

“แม่มีลูกตั้ง 3 คน แล้วโซ่ทองกับพ่อยังแน่นดีไหมล่ะ” อึนจูสวนกลับทันควัน “การอยู่ด้วยกันเพื่อลูกๆ มันเป็นโซ่ทองของการแต่งงานจริงๆ เหรอ”

แม้กระทั่งการตัดสินใจที่จะไม่มีลูกและกลับมาทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายก็สร้างผลกระทบอีกหลายประการในชีวิตของคิมอึนจู ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศในบ้านที่ตึงเครียดขึ้นทุกวัน แรงกดดันจากครอบครัวสามี คำครหาในหมู่คนรู้จัก รวมถึงความรู้สึกผิดที่ทับถมอยู่บนบ่าอย่างไม่มีวันสลัดทิ้งได้

My Unfamiliar Family

ในวันที่ครอบครัวพังทลาย

เหตุแห่งความพังทลายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวคิมนั้นซับซ้อนยิ่งกว่าการแยกตัวประกอบในสมการคณิตศาสตร์ เพราะมันเกิดจากวิธีการตัดสินใจและรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่แตกต่างกันไปของสมาชิกในครอบครัว

เมื่อความประมาทนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรง ซังชิกวัย 20 กว่าปีที่เพิ่งเป็นพ่อคนได้หมาดๆ ไม่มีทั้งสติและเวลาที่จะไตร่ตรองหาทางออกที่ถูกต้อง เขาเพียงคว้าโอกาสที่อยู่ตรงหน้าเพื่อแทรกตัวหนีจากกระบวนการทางกฎหมาย และเก็บความผิดครั้งนั้นไว้เป็นความลับกับตัวเอง 

เขาก้มหน้าชดใช้ความผิดด้วยเวลาที่เหลือในชีวิต โดยที่นึกไม่ถึงเลยว่าความลับนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวในชีวิตคู่และครอบครัวที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน 

“บางครั้งการปกป้องครอบครัวไม่ให้พังทลายก็เป็นวิธีที่ขี้ขลาดนะ” ประโยคนี้ของ ‘พัคชานฮยอก’ ผู้เปรียบเสมือนลูกชายคนที่ 4 ของครอบครัวคิมนั้นเป็นจริงอย่างยิ่งสำหรับซังชิก เช่นกันกับจินซุกที่พยายามปกป้องครอบครัวในแบบของตัวเอง เธอไม่เคยปริปากถามถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของสามี ความสงสัยที่ข่มไว้ในใจนับสิบปีระเบิดออกมาด้วยการประกาศขอแยกทางในที่สุด

ในวันที่ครอบครัวพังทลายจนแทบไม่เหลือ ลูกสาวคนรองผู้เติบโตมากับการเอาอกเอาใจคนรอบข้างอย่างอึนฮีตัดสินใจปลดตัวเองออกจากความวุ่นวายทั้งปวงในครอบครัว (และความสัมพันธ์ส่วนตัวแสนยุ่งเหยิงของเธอกับ ผอ.บริษัท) แม้ไม่ได้ตัดขาด แต่อย่างน้อยเธอก็เติบโตและมั่นคงมากพอที่จะกลับมาให้ความสำคัญกับตัวเอง แทนที่จะเข้าข้างคนนู้นทีคนนี้ทีเหมือนอย่างเคย

“ฉันจะเข้าข้างตัวเองนี่แหละ” อึนฮึพูดกับชานฮยอกด้วยท่าทีปลอดโปร่ง ก่อนเสริม “อายุปูนนี้แล้วครอบครัวจะมีประโยชน์อะไร” 

เพราะท้ายที่สุดแล้วคนที่จะอยู่กับเราไปตลอดก็คือตัวเราเอง เช่นกันกับที่คุณแม่ลูกสามอย่างจินซุกตัดสินใจปลดตัวเองจากภาระในชีวิตคู่และเริ่มต้นใช้ชีวิตที่เป็นของตัวเองจริงๆ

ยิ่งเป็นครอบครัว ยิ่งต้องพยายาม

ในฐานะคนดู เรามักหัวเราะเยาะกับตัวละครในจอที่มีชีวิตวุ่นวายเละเทะไม่เป็นท่า และอาจนึกสมน้ำหน้าอยู่ลึกๆ ในใจ เพราะเรื่องบางเรื่องนั้นก็ฟังดูเล็กน้อยชนิดที่ “ถ้าคุยกันดีๆ แต่ต้นก็จบแล้ว”​ 

My Unfamiliar Family คือซีรีส์ที่พยายามถ่ายทอดแง่มุมที่ธรรมดาที่สุดของมนุษย์ ซึ่งไม่มีวันมานั่งจับเข่าคุยกันในทุกเรื่อง เพราะมนุษย์เราซับซ้อนและเข้าใจยากกว่านั้นเป็นร้อยเป็นพันเท่า 

ภายใต้ไอเดียนี้เราจึงได้เข้าใจสาเหตุที่อึนจูสาดคำพูดเจ็บแสบใส่น้องสาวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว เพียงเพราะเธอหมดสิทธิที่จะนำอารมณ์โกรธนั้นไปลงกับอดีตสามี หรือสาเหตุที่ซังชิกเปลี่ยนจากสามีผู้แสนดีเป็นชายแก่อารมณ์เกรี้ยวกราดและซึมเศร้า เพราะเขาไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าเขาทำอะไรพลาดไปในชีวิตคู่ของตัวเอง

“รู้ไหมปัญหาของครอบครัวส่วนใหญ่คืออะไร” ประโยคของชานฮยอกชวนให้เราคิดตาม ก่อนที่เขาจะเฉลย “ไม่พูดในสิ่งที่ควรกันไง ทั้งที่สามารถปัดมันออกไปได้ง่ายๆ เหมือนฝุ่นแท้ๆ แต่กลับปล่อยมันทิ้งไว้ให้ติดแน่นจนแข็ง แล้วอยู่ๆ มันก็ระเบิดออกมา”​ 

คล้ายเป็นคำตอบของเรื่องราววุ่นวายทั้งหมด เพราะครอบครัวคือหนึ่งในกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุด (อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต) แต่มีน้อยครอบครัวเหลือเกินที่จะใช้ความพยายามในการสื่อสารและเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างที่ควรจะเป็น

My Unfamiliar Family

แน่นอนว่าบนโลกนี้ยังมีครอบครัวอีกมากที่เป็น toxic relationship บั่นทอนชีวิตของกันและกัน เช่นกันกับหลายครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกับความอบอุ่นในอุดมคติชนิดมองตาก็รู้ใจ หากชีวิตของครอบครัวคิมในซีรีส์เรื่องนี้ไม่ใช่ตัวแทนของความสัมพันธ์ทั้งสองแบบ 

พวกเขาเป็นเพียงตัวละครที่บอกกับเราว่า ต่อให้ขึ้นชื่อว่าเป็นครอบครัว แต่เราก็ยังต้องใช้ความพยายามในการหันหน้าเข้าหากัน ไม่ต่างจากความสัมพันธ์อื่นๆ ในชีวิต

“เราทำร้ายกันเองมากกว่าใครทั้งนั้น แต่ถ้าไปเจ็บมาจากข้างนอก ก็จะปลอบใจกันได้ดีที่สุด นั่นแหละครอบครัว”

My Unfamiliar Family

ตามไปดูซีรีส์ My Unfamiliar Family ซับไทยได้ที่ Viu

AUTHOR