การเรียนรู้ที่จะรักแบบไม่สูญเสียความเป็นตัวเองของทราย อินทิรา

ใต้เงาของร่มไม้ที่มีแสงเล็ดลอดลงมากระทบในยามบ่าย เบื้องหน้าเราคือนักแสดงหญิงมาดแกร่ง นักเขียนเจ้าของพ็อกเก็ตบุ๊กที่หลายคนพูดถึงอย่าง 3 วันดี 4 วันเศร้า รวมถึงคอลัมนิสต์ของคอลัมน์สนุกๆ อย่างบันเทิงเชิงร้าย ที่เอ่ยชื่อแล้วทุกคนย่อมรู้จัก ทราย–อินทิรา เจริญปุระ เป็นอย่างดี

หนึ่งในผลงานแสดงล่าสุดของทราย คือมินิซีรีส์เล่าเรื่องรักพังๆ อย่าง Love So Hard รักยากสัส : The Series ครั้งนี้เธอสวมบทบาทเป็นหม่อมปิ๋ม สาวมั่นที่มีความเอาแต่ใจ เจ้ากี้เจ้าการกับยู แฟนหนุ่มของเธอ (รับบทโดยกตัญญู สว่างศรี) ตั้งแต่เรื่องเล็กยันเรื่องใหญ่ เรียกได้ว่าทุกอย่างในความสัมพันธ์ต้องเป็นไปอย่างที่หม่อมปิ๋มต้องการ

แต่จากประสบการณ์ความรักที่ผ่านมาของเธอ ทรายกลับบอกเราว่า เธอเห็นตัวเองในตัวละครของยูมากกว่าหม่อมปิ๋ม

ด้วยลุคที่ดูมั่นใจในตัวเอง ถ้าไม่ได้ฟังจากปากเธอ หลายคนคงไม่เชื่อว่าเธอเคยพยายามเปลี่ยนตัวเองและทำอะไรบ้าๆ หลายต่อหลายอย่างเพื่อพยายามรักษาความสัมพันธ์ให้ไปรอด ถึงตรงนี้ เราขอชวนทุกคนมานั่งใต้ร่มไม้ ฟังทรายเล่าถึงความรักไปด้วยกัน

เล่าเรื่องความรักครั้งที่ผ่านๆ มาของทรายให้ฟังหน่อย
ความรักครั้งแรกก็ดี แต่ตอนนั้นเราเด็กเลยรู้สึกว่าความไม่หวือหวาและความเสถียรเป็นเรื่องน่าเบื่อ มันดีไป ตอนนั้นแม่ยังสบายดี แม่ก็บอกว่านี่คือชีวิตในฝันเลยนะ ความสงบนิ่ง แต่ตอนนั้นเราไม่ได้ฝันแบบนั้นไง เรายังไม่เห็นคุณค่าของความสงบเลยเลิกกับเขา เรายังมีอะไรที่เราไม่ได้ทำอีกเยอะ ตอนนั้นอายุประมาณ 17-18 ไม่เคยคิดเรื่องการแต่งงานใส่ชุดกระโปรงบานเป็นเจ้าสาวเลย คิดแต่ว่าถ้ามีตังค์จะไปเที่ยว ไปที่โน่นที่นี่

จากนั้นก็มีความรักห่วยๆ ตามมาอีกเยอะ เรามีแนวโน้มที่จะสปอยล์คน ตามใจคนที่เรารัก อาจเป็นเพราะเรามีความไม่มั่นคงในจิตใจบางอย่าง เราทำงานตั้งแต่เด็ก ทุกคนก็จะวิจารณ์ว่าเราไม่ดียังไง ไม่สวยยังไง ไม่น่ารักยังไง เราเลยต้องการสักคนที่มายืนยันว่า ไม่จริง เธอน่ารัก เธอสวย เธอดี

พอมองย้อนกลับไปเลยรู้สึกว่าเราอาจจะสปอยล์เขาเพื่อให้เขารู้สึกว่าเราน่ารัก ทั้งๆ ที่บางทีมันก็ใช่ตัวตนของเราบ้างและไม่ใช่บ้าง เราอยากเป็นคนพิเศษของใครสักคน ยิ่งถ้าพิเศษในเรื่องได้เป็นคนรัก มันก็ยิ่งเพิ่มมูลค่า ยิ่งรู้สึกว่าดีจัง เขาไม่ดีกับคนอื่นแต่เขาดีกับเรานะ ทั้งที่บางทีด้วยเงื่อนไขต่างๆ มองจากดวงจันทร์ลงมาก็รู้ว่าไปกันไม่ได้หรอก แต่เราไม่มองจากดวงจันทร์ เราเลือกมองจากดาวพฤหัสที่ไกลขึ้นไปอีก

อะไรบ้างที่ไม่เป็นตัวเรา แต่ก็ทำไปเพราะรัก
การพยายามเปลี่ยนตัวเองในแบบที่ไม่รู้จะทำเพื่ออะไร เราไม่ใช่คนฉลาดมาก แต่ก็พอรู้ว่าต่อให้ฝืนไปก็เปลี่ยนใจเขาไม่ได้หรอก แต่ถามว่าอดใจไม่ทำได้ไหม ก็ไม่ได้ มันเหมือนถ้ามันมีทางแล้วทำไมเราไม่ลองล่ะ ซึ่งจริงๆ แม่งก็ไม่เวิร์กทุกทีแหละ

เช่น การยอมนอนน้อย จริงๆ การนอนเป็นสาระสำคัญในชีวิตของคนทำงานอย่างเรามาก แต่ถ้าเรานอนตามปกติ ชีวิตคู่จะไม่ราบรื่นเพราะแทบจะไม่ได้เจอกันเลย ก็ต้องลดเวลานอนให้น้อยลง กินกระทิงแดงกับกาแฟจนเลือดจะเป็นเกล็ดอยู่แล้ว เพื่ออะไรไม่รู้ เข้าใจนะว่ามันไม่ใช่คำตอบของความรักที่เฮลตี้ แต่มันอดไม่ได้ เหมือนแบบลองเผื่อไว้เว้ย ลองทำอะไรที่ไม่เป็นตัวเอง คำว่าลองก็คือลองเป็นปีเลยนะ นี่อาจจะเป็นการแทนช่วงเวลาดูใจของคนอื่นก็ได้

เช่น เวลาเขาถ่ายรูปคู่กับผู้หญิงอื่น แท็กกันหวานแหววไปมา เราก็ อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก เขาเป็นเพื่อนกัน เหมือนเราไม่รู้ว่าแค่นี้เราโกรธได้หรือยัง จะขัดกับภาพลักษณ์ที่เราวางไว้ตั้งแต่ต้นว่าเราเป็นคนสบายๆ ไหม ถ้าเรางี่เง่าเรื่องนี้มันดูเสียแต้มไหม คิดไปคิดมาจนเขาจะไปมีเมียใหม่ไม่รู้กี่คนแล้ว มีถึงขั้นที่เขาบอกว่า เธอ เราจะไม่อยู่สิบกว่าวันนะ ไปเกาะช้าง แฟนเก่ามา ไม่ต้องติดต่อนะ เดี๋ยวแฟนเก่ารู้สึกไม่ดี เราก็เอ๊ะ งงไปงงมา หรือว่านี่สิวิถีของคนรุ่นใหม่ หรือยังไงนะ แต่ระหว่างที่คิดเขาก็ไปแล้ว

พอเขากลับมา เราก็พยายามคุยกับเขาให้ปกติด้วยนะ ตกลงว่าคนนั้นเป็นไง เขามาแล้วสนุกไหม เฮ้ย เราต้องถามด้วยเหรอวะ ทำไมต้องทำให้มันปกติขนาดนี้ด้วย เรามามีสติกับเรื่องความสัมพันธ์จริงๆ เลยคือช่วงหลังจากกินยา หลังจากป่วยเป็นซึมเศร้าไปแล้ว เราเริ่มรู้สึกว่าเราต้องคัดกรองมนุษย์และวิธีที่จะอยู่ร่วมกับมนุษย์มากขึ้น ให้ไปฝืนเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ไหวแล้ว ถ้ากินยาเท่าไหร่ก็ไม่ช่วยเพราะไม่มีความพยายามที่จะดูแลตัวเองก็เลิกดีกว่า เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคมีในสมองมันดีขึ้น หรือเราเสียเงินค่ายาไปเยอะแล้วกันแน่

เคยถามตัวเองไหมว่าทำไมตอนนั้นถึงได้ยอมขนาดนั้น
การตัดสินใจของคนบ้ามันก็อย่างนี้แหละ มันเป็นความกลัวที่จะต้องเปลี่ยนแปลงด้วย มันรู้สึกว่างานการอะไรมันก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว ขอเมมเบอร์โทรศัพท์ใครสักคนแค่คนเดียวก็พอ ถึงจะเป็นคนที่โทรหาก็ไม่ได้ในเวลามนุษย์ทั่วไป แต่มีไว้ให้รู้สึกว่าเรายังมีใคร พอมาคิดตอนนี้แล้ว โห สิ้นหวังชิบหาย สิ้นหวังขนาดนี้คบกับตุ๊กตาก็ยังได้

อาการของโรคซึมเศร้าส่งผลกับความรักยังไง
ช่วงที่ยังไม่ได้รับการรักษาก็จะพยายามอะไรในแบบผิดๆ หรือรู้สึกว่าเป็นความผิดของเราตลอดเวลา การที่เขาไปมีคนอื่นก็เพราะเราผิดเอง สมควรได้รับการลงโทษนี้แล้ว มันเป็นความคิดที่บิดเบี้ยว แต่ในตอนนั้นจะไม่รู้ตัว เพราะมันคือความป่วย

หลังจากที่รักษาแล้ว เราก็จะมีความเอาแต่ใจกับแฟนคนปัจจุบัน เช่น เวลามาเจอกัน ฉันป่วย เอะอะฉันต้องได้เล่าก่อน จะเศร้ากว่าตลอดเวลา เธอต้องเข้าใจ แต่จริงๆ มนุษย์ทุกคนก็มีปัญหา บางทีเราก็ลืมว่าเขาเหนื่อย ในวันนึงเขาก็บอกว่า ถ้าเป็นแบบนี้เขาไม่ไหวนะ คนอื่นเขาก็มีเรื่องเศร้า เธอต้องหัดฟังคนอื่นมั่ง ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจ แต่พอมาคิดว่าต่อให้ไม่ป่วยแต่มีคนคอยมาวอแว จะเล่าแต่ความชอกช้ำอยู่ทุกวัน มันก็น่ารำคาญจริงด้วย ก็ขอโทษ ตอนนี้ก็รู้สึกมีสติกับอะไรแบบนี้มากขึ้น

หลายครั้งมีน้องมาถามว่า แฟนเขาเป็นซึมเศร้า เราจะทำยังไงดี จะทำเหมือนเดิมก็ดูประหลาด จะไม่ทำเหมือนเดิมก็ไม่รู้ควรจะทำอะไรแค่ไหนดี จะเลิกไปเลยก็ดูโหดร้ายเกินไป เดี๋ยวเขาตาย แต่เราคิดว่า เฮ้ย ถ้าลองพยายามทุกวิธีแล้วยังไม่มีอะไรดีขึ้น ฝั่งคนป่วยไม่ยอมปรับตัวเลย ก็เลิกเถอะ ไม่งั้นเราจะป่วยตาม การเป็นคนป่วยสองคนมันยิ่งไม่โอเค ใครจะช่วยใคร

เราเลยรู้สึกว่ามันมีสิทธิ์ที่จะบอกเลิกได้นะ อีกฝั่งมันเสียใจอยู่แล้วล่ะ แต่ก็ต้องก้าวต่อไป ทุกวันนี้ก็ยังบอกแฟนเลยว่าถ้ามันมีจุดที่ฉันงี่เง่าหรือเธอเบื่อขึ้นมาก็เข้าใจได้นะ เขามีสิทธิ์จะบอกเลิกได้ ไม่ใช่ว่าแฟนเป็นผู้ป่วย เราเลยต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตเพราะเขาเป็นผู้ป่วย แบบนี้เศร้ากว่าอีกว่า อ้าว ไม่ได้รักเราเหรอ อยากได้บุญเหรอเลยมาคบกัน ไม่ว่างทำสังฆทานเลยมาคบกันไปก่อน มันแย่นะ

ประสบการณ์ที่ผ่านมาหล่อหลอมให้ความรักในปัจจุบันของทรายเป็นยังไง
ยอมรับความจริงมากขึ้น เราลองมาแล้วทุกแบบ รู้แล้วว่าไม่เวิร์กคือไม่เวิร์ก ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ตาม เลยไม่มีความพยายามที่จะอยู่รอทำเสียงสดชื่นตอนเขาโทรมาห้าทุ่ม เรานอน ปิดโทรศัพท์ เป็นแบบที่เราเป็น เพราะการพยายามอยู่ฝั่งเดียวมันเหนื่อยมาก มันไม่เห็นจะได้อะไรขึ้นมา แฟนคนปัจจุบันนี้ก็เป็นเพื่อนกันมานานมากแล้ว เลยได้เห็นภาคพิสดาร ภาคเฮี้ยน ภาคเลวร้ายของเรามากมาย แอ๊บไปก็ไม่ทัน ไปๆ มาๆ พบว่ามันดีนี่หว่า

แล้วมันก็น่าตลก เพราะพอเรามองกลับไป นี่เป็นความเรียบง่ายแบบคนแรกที่กูบอกเลิกเขาไปนี่หว่า แต่นี่แหละ ซอฟต์แวร์ก็ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ รุ่นแรกๆ ก็ยังมีบั๊กหน่อย ต้องเวอร์ชั่นหลังๆ ถึงจะเสถียร

ทำไมความรักถึงเป็นเรื่องยาก
ลึกๆ มนุษย์ทุกคนอยากเป็นที่รักทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครอยากเดินเข้าไปในห้องวันเปิดเรียนวันแรกแล้วโดนทุกคนเกลียด ทุกคนอยากเป็นที่รัก ตอนเด็กพ่อแม่ก็จะบอกว่าเราน่ารักที่สุดในโลก แต่พอเริ่มไปโรงเรียนอนุบาล อ้าว ครูไม่ค่อยรักเราเท่าไหร่ แค่นี้ก็เริ่มยากละ

โตขึ้นมาอีกหน่อยพ้นเรื่องเพื่อนมาเป็นคู่รัก เรารักเขาแบบนี้ แต่เขาไม่ได้รักเราแบบเดียวกัน ก็เป็นบทเรียนความไม่สมหวัง 101 ไปอีก แล้วเราต้องทำยังไง เราเป็นตัวเองได้ไหม ได้แค่ไหน หรือไม่เป็นตัวเองไปเลยแต่ก็คุ้มค่าที่จะได้เขามา หรือจริงๆ ไม่มีใครชอบเราหรือชอบอะไรที่เราเป็นเลย แล้วมันเป็นความผิดของเราหรือเปล่า เราเคยถามตัวเองอย่างนี้

อย่างตอนโดนบอกเลิกก็คิดว่า นี่ไม่มีน้ำใจขนาดจะไม่บอกเลยเหรอวะว่าเราไม่ดีตรงไหน จะได้ปรับปรุงตัว คิดไปหมดทุกอย่าง กว่าจะเรียนรู้ว่าเวลาคนไม่รักก็คือไม่รักมันก็นานนะ แล้วบางคนก็ข้ามมันไปไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ผิด ความรักมันไม่เหมือนการสอบผ่านระดับชั้นอะไรต่างๆ มันไม่มีสูตร ไม่มีคู่มือ ไม่มีอะไรตายตัวเลย

คิดว่าความรักมันยากที่สุดตอนไหน
ยากสุดในช่วงที่ชีวิตมันไม่มีอะไรเลย คือช่วงที่มีวิกฤต เราจะรู้สึกมีคนนี้ที่มาช่วยกันแก้ปัญหา การฝ่าวิกฤตด้วยกันมันก็จะใช้วัดใจได้ในบางกรณี หรือในโอกาสพิเศษ เราก็รอดอกไม้ รอของขวัญ แต่วันธรรมดาอย่างวันนี้ เราอยู่บ้าน เขาอยู่ออฟฟิศ มีชีวิตกันคนละแบบ วันแบบนี้แหละคือการวัดว่าเราจะชั่งน้ำหนักทุกอย่างยังไงดี เราจะอยู่ด้วยกันยังไงโดยไม่รู้สึกว่าหลงลืมกันไป เราจะบริหารจัดการมันยังไงให้มันลงตัว เราจะต้องตัวติดกันตลอดเลยไหม หรือระยะนี้มันห่างไปหรือเปล่าวะ ยากนะ เพราะว่าถ้าอายุเฉลี่ยมนุษย์คือ 60 ปี คุณจะมีวันพีคๆ ในชีวิตสักกี่วันกัน มันมีวันเรียบๆ มากกว่าอยู่แล้ว

ตัวละครหม่อมปิ๋มกับตัวจริงของทรายเชื่อมโยงกันยังไง
มันเป็นคนแบบที่เราเคยพยายามจะตามใจมาก่อน แล้วยูก็เป็นเราในตอนนั้น ในบทมันมีตอนที่ยูถามว่า ‘แล้วผมจะเหลือที่ให้เป็นตัวเองตอนไหน’ ซึ่งเราก็เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน มันมีมนุษย์อย่างนั้นอยู่จริงๆ นะ คนที่เจ้ากี้เจ้าการกับทุกสิ่งทุกอย่าง และเชื่อว่าทำตามฉันสิแล้วมันจะดี ฉันจะรักเธอเพราะเธอทำตามฉัน ไม่ได้ว่าจะรักเธอเพราะเธอเป็นเธอ เล่นแล้วก็เลยตลกตัวเอง เพราะรู้สึกว่าคนแบบนี้มันเหี้ยจริงๆ ทำไมแต่ก่อนเราแม่งไม่เคยเห็น แล้วก็ทนมันได้เนอะ เราเลยไม่ตั้งข้อสงสัยในตัวละครของยูเลย บางคนมาดูแล้วคงพูดว่า โห ทำขนาดนี้ทำไมไม่เลิกๆ ไป แต่เราเคยโดนก็เลยเข้าใจ

ความรักให้อะไรกับเรา
ทำให้เราสั่งอาหารได้เยอะขึ้น มีคนแชร์ แล้วเราก็จะมีความสุขมากขึ้น (หัวเราะ)

เราว่าแฟนเราเป็นเหมือนของทอดนะ เพราะเรื่องงานหรืออะไรเราจัดการตัวเองได้ งานของเราทุกอย่างก็ทำตัวคนเดียวอยู่แล้ว แฟนเราก็เลยเป็นของทอด เป็นเฟรนช์ฟรายส์ เป็นวิงซ์แซ่บ ที่เอาไว้กินให้รางวัลตัวเองหลังกระบวนการการทำงานต่างๆ ในชีวิต เป็นของที่ไม่มีประโยชน์แต่มีประโยชน์ กินแล้วมีความสุข

ในโลกความเป็นจริง เราก็จะเก็บมื้ออย่างนี้ไว้กินด้วยกันกับเขาจริงๆ นะ เช่น วันนี้จะกินเบียร์ สั่งข้อไก่ทอดมาเลยเว้ย จะแดกให้หมดโลกเลย เขาเลยเป็นโซนพักผ่อนที่แท้จริง รู้สึกจิตใจสงบ ซึ่งมันมีคุณค่ามาก เพราะมันต้องมีวันที่เราสงบสักวันนึง ทั้งจากเรื่องงานด้วย จากอาการป่วยด้วย มันควรมีวันที่เราขี้เกียจ ไม่คิดอะไร ออกไปดูหนัง กินนู่นนี่ อยากสั่งอะไรก็ได้สั่ง เพราะมีคนมาแชร์ด้วยกัน

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย