วางงานลงแล้วตามไป Life Crossover Trip การเดินทางกว่า 7 วันบนเส้นทางไทย-ลาว-เวียดนามที่เปี่ยมด้วยสีสันและความท้าทาย

วางงานลงแล้วตามไป Life Crossover Trip การเดินทางกว่า 7 วันบนเส้นทางไทย-ลาว-เวียดนามที่เปี่ยมด้วยสีสันและความท้าทาย

Honda Life Crossover Trip เป็นกิจกรรมที่แบรนด์ Honda ชวนลูกค้ารถ SUV หรือรถอเนกประสงค์ Honda BR-V, Honda HR-V และ Honda CR-V จากทั่วประเทศ ยื่นใบลาจากกิจวัตรเดิมๆ อย่างการงานอันแสนยุ่งเหยิง และภาระที่ต้องดูแลครอบครัว ออกเดินทางไกลด้วยรถคู่ใจของพวกเขาผ่านเส้นทางจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มุ่งหน้าสู่ประเทศลาวและเวียดนาม ระยะทางกว่า 2,563 กิโลเมตร

ก่อนอื่นใด ผู้ร่วมทริปทุกคนจะต้องทำการสมัครร่วมกิจกรรมผ่านเว็บไซต์ แนบรูปภาพรถ SUV คู่ใจพร้อมบอกเหตุผลที่อยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางครั้งนี้

“เราเห็นคลิปโปรโมตกิจกรรมที่แสตมป์ อภิวัชร์ มาสยามแล้วชวนพ่อแม่ที่รอลูกเรียนพิเศษแถวนั้นยื่นใบลา เราเห็นแล้วรู้สึกว่ามันใช่เรามากๆ (ยิ้ม) เราเป็นแม่บ้านที่ต้องดูแลลูกสองคน วันธรรมดาก็ไปรับไปส่งลูกไปโรงเรียน วันหยุดก็ไปส่งเขาเรียนพิเศษ พอคุยกับสามีว่ากี่ปีแล้วนะที่เราไม่ได้เที่ยวด้วยกันสองคน กลายเป็นว่าหลายปีแล้วเหมือนกัน พอเห็น Honda มีกิจกรรมนี้ก็เลยลองสมัครดู” ชนิกานต์ ธนังทอง เจ้าของรถ Honda CR-V เล่าจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอและสามีตัดสินใจพารถคันเก่งของพวกเขามาร่วมทริป

“ที่เราเลือกลางานมาทริปนี้ สำหรับผมกับภรรยามันคือการขับรถออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิต ผมว่าชีวิตเราคงมีไม่กี่ครั้งในชีวิตหรอกที่จะได้ทำอะไรแบบนี้ ขับรถเดินทางท่องเที่ยวสองพันกว่ากิโล กับคนที่ใช้ชีวิตในเมืองมันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เลย แล้วเราก็คิดกันว่าถ้าเรามากันเองก็คงจะทำไม่ได้แบบนี้” ธนสิทธิ์ ทองทับ หนุ่มวิศวกรที่เดินทางไกลด้วย Honda BR-V ไปกับพวกเราเล่า

รถของผู้ร่วมทริปครั้งนี้มีด้วยกันทั้งหมด 21 คัน กติกามีอยู่ว่าพวกเขาสามารถพาคนรู้ใจหรือเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยได้อีกหนึ่งคน รถจะต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ผู้ขับต้องมีใบขับขี่ถูกต้องตามกฎหมาย และหนังสือเดินทางที่พร้อมออกนอกประเทศ และที่สำคัญคือต้องเคยชินกับการขับรถทางไกลด้วย

วันแรกเป็นการเริ่มต้นขับจากกรุงเทพมหานครไปสู่จังหวัดมุกดาหาร รวมระยะทาง 675 กิโลเมตร

ผู้ร่วมทริปส่วนใหญ่ค่อนข้างชำนาญกับการขับรถทางไกล แต่ในขณะเดียวกันหลายๆ คนเองก็เป็นมือใหม่ในการขับรถแบบคาราวาน ความปลอดภัยคือสิ่งที่ Honda ให้ความสำคัญมากที่สุด นอกจากจะมีรถนำขบวนและรถเซอร์วิสมากกว่า 5 คันแล้ว รถทุกคนจะต้องมีหมายเลขรถ ใช้ walkie-talkie ในการสื่อสารตลอดเวลา

การเดินทางในวันที่สองทวีความสนุกมากขึ้นเพราะเป็นวันที่เดินทางข้ามพรมแดนไทย-ลาว และตรงไปยังประเทศเวียดนาม สีสันของวันนี้คือการผ่านสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างกัน

“ปกติเราขับรถเที่ยวไปตามต่างจังหวัดในไทย เรื่องการเดินทางไกลสำหรับเราไม่มีปัญหาเลยครับ แต่การขับมาเมืองนอกที่เราไม่รู้สภาพภูมิประเทศ ไม่รู้จักผู้คน แถมการจราจรที่ต่างจากบ้านเราอย่างสิ้นเชิงเป็นอะไรที่ท้าทายพวกเรามาก” วิศวกรหนุ่มแบ่งปันประสบการณ์

โดยเฉพาะเส้นทางในลาว ความยากของเส้นทางนี้คือการขับรถพวงมาลัยซ้าย ชิดเลนขวา “ความยากของเส้นทางนี้คือการขับรถพวงมาลัยซ้ายชิดเลนขวา (กลับด้านกับเมืองไทยที่เราขับพวงมาลัยขวาชิดซ้าย) ทุกคนจึงต้องใช้สติอย่างมากในการขับแบบปกติ และต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเวลาที่ต้องขับแซง คนที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับต้องทำหน้าที่เป็นดวงตาที่คอยสังเกตสัญญาณจากทีมสตาฟ

ช่วงที่วิ่งผ่านจังหวัดสะหวันนะเขต ประเทศลาว ริมข้างทางที่นี่เป็นบรรยากาศแบบชนบท เราพบเห็นคนท้องถิ่นออกมาใช้ชีวิตของพวกเขา เช่น ทำสวน ทำนา รวมไปถึงเลี้ยงสัตว์ตลอดเส้นทาง ดังนั้นสิ่งที่เราต้องระวังมากๆ คือบรรดาสัตว์ใหญ่และสัตว์เล็กอย่างวัว ควาย แพะ หมู และไก่ ที่ถูกปล่อยให้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ บ้างอยู่ตามไหล่ทาง บ้างเดินมาอยู่กลางถนน ในอีกแง่มุมหนึ่ง การขับรถช้าลงบ้างก็เหมือนกับการได้ใช้เวลาเสพบรรยากาศข้างทางมากขึ้นนั่นเอง

จวบจนเวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน ทุกคนก็เดินทางมาถึงด่านลาวบาว (ชายแดนลาว-เวียดนาม) เราสังเกตว่าผู้ร่วมทริปหลายคนเริ่มปรับตัวให้เข้ากับการขับรถเลนขวาได้แล้ว แต่ใช่ว่าการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง เมืองหลวงเก่าของเวียดนามอย่างเมืองเว้จะชิลล์ เพราะเวียดนามมีภูมิประเทศค่อนข้างสูงชัน หนทางที่นี่จึงมีความคดเคี้ยวและต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขึ้น-ลงเขาเป็นพิเศษอีกด้วย

ขับรถกันอย่างมาราธอนแล้วก็ถึงเวลาที่ได้แวะที่เที่ยวที่แรก ก็คืออุโมงค์วินห์ม็อก อุโมงค์ที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์สงครามเวียดนาม เป็นที่หลบภัยของชาวบ้านในแถบนั้น หลังจากนั้นก็เดินทางสู่ที่พักในตัวเมืองเว้ แน่นอน เมื่อเข้าเมืองแล้ว ทุกคนก็ได้พบเจอความวุ่นวายของการจราจรที่นี่

เพราะเวียดนามมีปริมาณรถมอเตอร์ไซค์ค่อนข้างมากและขับปาดไปปาดมา ดังนั้นการใช้แตรเพื่อส่งสัญญาณขอทางจึงเป็นส่วนสำคัญเพื่อให้เราอยู่รอดปลอดภัยจากการจราจรอันคับคั่งของประเทศนี้

“ตอนขับขึ้นเขาลงเขา เราไม่เครียดกันเลยเพราะรถขับสบายมาก นิ่มมาก และระบบ Paddle Shift ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ตอนขับขี่สะดวกขึ้น แต่ทริปนี้เครียดอย่างเดียว คือเครียดถนนในเวียดนาม เครียดกับอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรา (หัวเราะ) จริงๆ เราเกือบชนกับรถมอเตอร์ไซค์ที่เวียดนามแล้ว บีบแตรขนาดไหนเขาก็ไม่หลบ ไม่เบรกให้เราเลย โชคดีที่เราเบรกทัน วัวที่เราเจอริมทางก็เหมือนกันค่ะ พอผ่านสองเหตุการณ์นี้ทำให้เรามั่นใจเลยว่าระบบเบรกของรถเราเนี่ยปลอดภัยจริงๆ” ชนิกานต์เล่าความตื่นเต้น

วันที่สามของทริปเป็นวันสบายๆ ที่ผู้ร่วมทริปทุกคนจะได้สัมผัสบรรยากาศเมืองเว้อย่างเต็มที่ นำทีมโดยไกด์ท้องถิ่นที่พาเราเยือนสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น พระราชวังเก่าเมืองเว้ และวัดสำคัญๆ สำหรับชาวพุทธในเวียดนาม

พอสัมผัสบรรยากาศเมืองเก่าอย่างเต็มที่แล้วก็ได้เวลาสตาร์ทรถคู่ใจ ขับเดินทางไปยังสถานที่ไฮไลต์ของทริปอย่าง Bana Hills ระยะทางห่างออกจากตัวเมืองเพียงแค่ 100 กิโลเมตร วิธีการเดินทางขึ้นไปยังจุดชมวิวก็คือการนั่งกระเช้าที่ว่ากันว่ายาวที่สุดและสูงที่สุดในโลก เดินเล่น ถ่ายรูปที่สะพานชมวิว เรียกความตื่นเต้นให้กับทุกคนในทริปได้ไม่ใช่เล่น

เมื่อถึงมื้อค่ำ ทาง Honda ได้จัดมินิคอนเสิร์ตสุดเซอร์ไพรส์จากศิลปิน Stamp (อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข), The TOYS (ธันวา บุญสูงเนิน) และแป้งโกะ (จินตนัดดา ลัมะกานนท์) ทั้งสามคนได้มอบความสุขให้กับผู้ร่วมทริปอย่างอบอุ่น อีกทั้งร่วมกันร้องบทเพลงพิเศษที่จัดทำเพื่อทริปนี้โดยเฉพาะ อย่าง การเดินทาง ที่ถูกนำมาเรียบเรียงและขับร้องใหม่โดยทั้งสามศิลปิน ซึ่งไพเราะและน่าประทับใจเอามากๆ

วันที่สี่ของทริปเป็นวันเก็บตกแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในเวียดนามตอนกลางอย่างเมืองฮอยอัน เมืองมรดกโลกที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเก่าแก่ที่น่าหลงใหล โดยวิ่งเลียบเส้นทางสาย 1A ที่เป็นถนนเลียบชายหาดยาวหลายสิบกิโลฯ ตั้งแต่เมืองดานังจนถึงฮอยอัน

ทริปครั้งนี้พิเศษตรงที่เราใช้เส้นทางเดินทางไปและกลับต่างเส้นทางกัน เพื่อให้ผู้ร่วมทริปได้เก็บประสบการณ์ขับรถอย่างเต็มที่และได้เห็นวิวสองข้างทางที่หลากหลาย

วันที่ห้าเป็นวันที่เราจะต้องเดินทางกลับประเทศลาวผ่านเส้นทางฮอยอันมายังปากซอง ถือเป็นเส้นทางที่ท้าทายที่สุดในทริปเพราะต้องขับรถผ่านภูเขา เข้าโค้งและคดเคี้ยว อีกทั้งสภาพถนนที่เป็นหลุ่มเป็นบ่อ แถมยังเจอฝนฟ้ากระหน่ำลงมาอีก ผู้ร่วมทริปทุกคนส่งสัญญาณเตือน ช่วยเหลือกันตลอดเส้นทาง เป็นมิตรภาพระหว่างทางที่น่าประทับใจมากๆ

เราเดินทางถึงปากซองในเวลาค่ำ ให้รางวัลตัวเองด้วยการเที่ยวสบายๆ นอนพักที่ลาวหนึ่งคืน เช้าวันต่อมาก็แวะดื่มกาแฟที่ Paksong Highland เที่ยวชมน้ำตกตาดเยือง ก่อนเดินทางกลับสู่ประเทศไทย ผ่านพรมแดนไทย-ลาว ด่านช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี

การเดินทางของเราก็มาถึงช่วงเวลาสุดท้าย เราแวะค้างคืนกันที่จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานครในรุ่งเช้า และนี่คือความประทับใจเล็กๆ ที่เพื่อนผู้ร่วมทริปยินดีเล่าสู่กันฟัง

“ตั้งแต่ซื้อ Honda HR-V คันนี้มา เราขับไปไกลที่สุดก็คือเชียงใหม่กับภูเก็ต การเดินทางครั้งนี้เหมือนเป็นการเปิดโลกใบใหม่ของเรา ได้เจอประสบการณ์แปลกใหม่ ได้ทดสอบรถ ทดสอบความพร้อมตัวเราเองด้วย” คุณเมธิณี พิพัฒน์ภานุวิทยา หนึ่งในผู้ร่วมทริปของเราเล่า แถมยังกระซิบบอกความประทับใจในระบบเตือนและช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ (City Brake Active System) ของรถคู่ใจที่ช่วยทำให้เธอมั่นใจในความปลอดภัยตลอดการเดินทาง

“อีกเรื่องที่เราประทับใจคือการได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ที่ต่างวัยต่างอาชีพกันค่ะ แล้วทริปก็เกินกว่าที่เราคาดหวังไว้มากเลย ทั้ง route การเดินทาง ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก เซอร์ไพรส์ต่างๆ คิดไม่ผิดที่มาร่วมทริป อยากขอบคุณ Honda มากเลย” เธอเล่าพร้อมรอยยิ้ม

“ตอนแรกผมกับภรรยาก็คุยกันว่า Honda CR-V เครื่องดีเซลของเราจะเล็กไปหรือเปล่าสำหรับคาราวาน ทริปนี้ทำให้ผมเห็นว่ารถเราไม่ได้เหมาะแค่การขับในเมืองเท่านั้น มันพร้อมกับการเดินทางไปไกลต่างประเทศ แทบไม่ต้องกังวลตอนขึ้นเขาลงเขา แล้วก็ประหยัดน้ำมันจริงๆ” สุรทัศน์ นาควัชระ อีกหนึ่งผู้ร่วมทริปเสริม

“ทุกกิจกรรมที่ Honda จัดเตรียมให้ค่อนข้างเซอร์ไพรส์เราพอสมควร ในวันคอนเสิร์ต คุณแสตมป์เขาถือเค้กมาให้ผมด้วย (ยิ้ม) ผมว่าคงมีไม่กี่คนหรอกที่จะเจอกับความประทับใจแบบนี้

“ตอนเดินทางกลับนี่เหมือนเราได้เจอสภาพเส้นทางที่ครบมาก ตั้งแต่ผิวทางไม่ดี หินสไลด์ ฝนตก ถนนลื่น ความท้าทายที่เจอก็ยิ่งทำให้เรามั่นใจในสมรรถภาพรถคันนี้มากขึ้น เข้าโค้งก็ไม่หลุดเพราะระบบ VSA (ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง) ช่วยให้รถเราเกาะถนนค่อนข้างดี จะแตะเบรกตอนไหนก็มั่นใจ จนตอนนี้ผมอยากแพลนทริปเดินทางไกลครั้งต่อไปแล้วครับ” ธนสิทธิ์เล่าปิดท้าย

เราเชื่อว่าผู้ร่วมทริปทุกคนคงรู้สึกคล้ายกับเราว่า แม้การเดินทางครั้งนี้จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม แต่เรื่องราวระหว่างทางที่เราได้เจอตลอดทริปนี้อย่างน้อยๆ มันได้ช่วยเติมความสุขให้กับชีวิตที่เคยจำเจ แถมยังทำให้ความรู้สึกที่มีต่อการเดินทางด้วยรถ SUV คันเก่งของเราเปลี่ยนไปตลอดกาล

 

 


 

AUTHOR