อารีย์ถือเป็นย่านฮอตฮิตของคนฮิปๆ ในกรุงเทพฯ เมื่อถึงช่วงวีคเอนด์ทีไรก็จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะเด็กๆ วัยรุ่น และคนวัยเริ่มทำงานที่ขอสวมวิญญาณเป็นคาเฟ่ฮอปเปอร์
เพราะแค่คาเฟ่สวยๆ ในอารีย์อย่างเดียว เราก็แทบใช้นิ้วมือนับจำนวนแทบไม่ไหว ยังไม่รวมร้านอาหาร แกลเลอรี บาร์ ร้านรวงต่างๆ ตามรายทางกับที่แอบซ่อนในตรอกซอกซอยให้ไปค้นพบอีกไม่น้อย แค่คิดว่าถ้าได้เดินเล่นสำรวจมุมนั้นมุมนี้ของย่านนี้ที่ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันรื่นรมย์ทั้งช่วงกลางวัน-กลางคืนก็รู้สึกแฮปปี้ขึ้นมาแล้ว
นอกจากสถานที่เก๋ๆ ที่เล่าไปตอนต้น ย่านอารีย์ยังมี JOSH HOTEL ไลฟ์สไตล์โฮเทลที่พร้อมต้อนรับผู้คนด้วยการตกแต่งยุค 80s กับไวบ์สนุกๆ มีชีวิตชีวา ราวกับได้นั่งไทม์แทชชีนย้อนกลับไปในอดีต ให้ได้ไปเยี่ยมเยือนกันด้วย
จากเดิมที่นี่เคยเป็นตึกหอพักเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานกว่า 10 ปี ก่อนผลัดมือเปลี่ยนเป็นโฮสเทลที่ผ่านการปรับปรุงหลายครั้งกว่าจะกลายมาเป็นโฮเทลแห่งนี้เมื่อช่วงปลายปี 2018 โดยนักออกแบบที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งตัดสินใจคงอาคารชุดเดิมไว้ และปรับปรุงโครงสร้างของตึกเพิ่มโดยไม่ทุบทำลาย จะได้ไม่กระทบผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง
ด้วยคอนเซปต์ไลฟ์สไตล์โฮเทลที่ตอบโจทย์ชีวิตคนยุคใหม่ ที่นี่จึงเป็นเหมือนจุดแวะพักแบบที่ต่อให้ไม่ได้มานอนพักก็มาใช้บริการ เดินเล่น เอนจอยเหล่าร้านรวงในโรงแรมได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านโดนัท บาร์ หรือซีเลกต์ช็อปก็ตาม อีกทั้งที่นี่ยังจัดอีเวนต์ช่วงวันหยุดอยู่เรื่อยๆ
ในช่วงที่ยังออกนอกประเทศไม่ได้แบบนี้ เราหนีร้อนไป staycation นอนริมสระว่ายน้ำ กินของอร่อย และช็อปปิ้งจบครบในที่เดียวกันแถวกรุงเทพฯ ก่อนก็ไม่เลวนะ
โฮเทลที่เป็นมิตรกับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะกับผู้เข้าพัก
JOSH HOTEL เริ่มต้นจากกลุ่มเพื่อน 4 คน ได้แก่ จักรินทร์ อักษราวดีวัฒน์, วิศัลย์ ภู่ไพบูลย์, อนุวัตร มีนะโยธิน และ สุรชัย ลีลาธนมงคล ที่ทำงานหลากหลายสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น คนทำธุรกิจโรงแรม เจ้าของร้านอาหาร ดีไซเนอร์ จนถึงนักลงทุน โดยพวกเขามีความฝันเดียวกันคือ อยากสร้างโรงแรมที่ไม่ว่าใครมาก็รู้สึกมีชีวิตชีวา ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเนรมิตที่นี่ให้เป็นไลฟ์สไตล์โฮเทล เพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ เน้นโลเคชั่นที่เต็มไปด้วยความคึกคัก สร้างพื้นที่ให้มีสีสัน เสริมด้วยฟังก์ชั่นสอดคล้องกับวิถีชีวิตคนยุคนี้
ขณะที่ยืนอยู่ด้านหน้า เราแทบไม่รู้สึกว่าที่นี่เป็นโฮเทลแบบที่เคยไปพัก เพราะด้วยการตกแต่งสไตล์ mid-century สีสันสดใส ดูสนุกสนาน ราวกับอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง The Grand Budapest Hotel ของ Wes Anderson ยังไงยังงั้น
นอกจากการออกแบบตกแต่งที่ดูเฟรนด์ลี่น่าถ่ายรูปแล้ว ทีมผู้ก่อตั้งยังพยายามทำให้โฮเทลเข้าถึงง่ายและเป็นกันเองมากขึ้นด้วยการเปิดพื้นที่ชั้น 1 เป็นพื้นที่กึ่งสาธารณะ คนนอกสามารถเข้ามาใช้งานได้ เกิดเป็นคอมมิวนิตี้ เป็นมากกว่าแค่ที่พักให้ผู้คนมานอนแล้วจากไป
บริเวณโฮเทลมีร้านอาหารญี่ปุ่น Kisu Izakaya กับร้านโดนัท Drop by Dough ให้เลือกกินได้หนำใจ และเมื่อเปิดประตูชั้น 1 เข้าไปจะพบกับคาเฟ่ Casa Lapin ร้านคราฟต์เบียร์ Taproom ป๊อปอัพสโตร์ Everyday kmkm รวมถึงบาร์ค็อกเทลที่มีชื่อว่า The Key Room No.72 อีกด้วย
หรือถ้าใครอยากเอนหลังอ่านหนังสือหรือเล่นน้ำดับร้อน ฝั่งด้านหน้าของโฮเทลก็มีสระว่ายน้ำที่มีกิมมิกเป็นชื่อโฮเทลประทับไว้เหมือนสระน้ำในยุค 80s คอยให้บริการ ชวนให้นึกถึงฉากที่ Stephen Dorff กับ Elle Fanning นอนคุยกันในภาพยนตร์เรื่อง Somewhere ของ Sofia Coppola
มีขนาดนี้ ต่อให้ไม่ต้องไปเดินเล่นข้างนอก อยู่แต่ในโฮเทลอย่างเดียวก็ยังได้เลยนะเนี่ย
สตอรีก็สำคัญไม่แพ้สถานที่
เพราะอยากสร้างความสนุกให้โฮเทล พวกเขาได้คิดสตอรีให้กับพื้นที่ด้วยการสร้างคาแร็กเตอร์ Mr.Josh ผู้เดินทางไปท่องเที่ยวมาแล้วทั่วโลกขึ้นมา โดยอ้างอิงจากคาแร็กเตอร์ของผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสี่คน แล้ววางให้โฮเทลเป็นเหมือนบ้านพักตากอากาศของ Mr.Josh ส่วนที่ต้องชื่อ Josh ก็เพราะชื่อนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนยุค 80s มากๆ
“และขณะเดียวกันก็ย่อมาจาก Journey of Someone Hotel” อนุวัตรว่า “เราอยากให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางของคนที่ชอบเดินทาง และเป็นจุดแวะพักระหว่างการท่องเที่ยว”
ด้วยเหตุนี้ในห้องพักจำนวน 71 ห้องจึงมีห้องพักพิเศษที่มีชื่อว่า Josh Room ซึ่งกว้างและตกแต่งไม่เหมือนห้องอื่นๆ เพื่อเสริมเรื่องราวของ Mr.Josh ให้ดูสมจริงมากขึ้น จนกลายเป็นห้องขายดีที่สุดแทบไม่มีวันไหนที่ห้องพักห้องนี้จะร้างลาผู้คนเลย
บาร์ค็อกเทล The Key Room No.72 ที่ซ่อนตัวในโฮเทลเองก็มีเรื่องราวเบื้องหลังแบบนี้เช่นเดียวกัน
“เราสร้างเรื่องราวต่อว่า Mr.Josh ล็อกตัวเองในห้องห้องหนึ่งหลังจากเดินทางมาอย่างยาวนาน และสร้างสรรค์เครื่องดื่มออกมา 9 ชนิด วันหนึ่งพอเปิดห้องนั้นออกมาก็กลายเป็นบาร์ The Key Room No.72 เพราะถือเป็นห้องที่ 72 ต่อจากห้องทั้งหมดของเราที่มี 71 ห้อง โดยเปิดให้ทุกคนเข้ามาดื่มด่ำกับรสชาติค็อกเทลที่เขาคิดค้นขึ้น เป็น hidden bar เล็กๆ นั่งได้ประมาณ 15 ที่นั่ง ซึ่งเครื่องดื่มแต่ละชนิดล้วนมีสตอรีทั้งสิ้น แรงบันดาลใจจากที่ไหน ประเทศอะไร เป็นต้น”
อนุวัตรเสริมต่อว่าสตอรีที่สร้างขึ้นมานี้ทำให้แขกชาวต่างชาติหลายคนถามหาและอยากเจอ Mr.Josh แบบตัวเป็นๆ จนเขาถึงกับต้องนำไปวางแผนกับผู้ก่อตั้งโฮเทลคนอื่นๆ ว่าจะหาคนมาสวมบท Mr.Josh เลยดีไหม ทว่าสุดท้ายเมื่อเจอวิกฤตโควิด-19 ก็จำต้องพับโครงการไป
รู้จักขยับและปรับตัวถึงจะอยู่รอด
กว่า JOSH HOTEL จะออกมาเป็นหน้าตาอย่างที่ทุกคนเห็น ได้ผ่านการปรับเปลี่ยนมาเยอะมาก ถ้าย้อนดูในฟีดอินสตาแกรมของที่นี่ จะพบว่ามีสถานที่และมุมใหม่ๆ เกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายในเสมอ
ในระยะเวลากว่า 2 ปีที่โฮเทลแห่งนี้เปิดให้บริการ อนุวัตรกับทีมผู้ก่อตั้งพูดคุยและทบทวนถึงความเหมาะสมของตัวสถานที่กับพื้นที่ใช้สอยอยู่เรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าพื้นที่หรือสิ่งที่เคยทำไว้ไม่ตอบโจทย์ก็รีบคิดหาวิธีปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น
หนึ่งในนั้นคือ การพาพาร์ตเนอร์จากข้างนอกมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่จากเดิมที่โฮเทลทำเองทั้งหมด
“มันคือการเรียนรู้ของเรา เพราะที่ผ่านมาเราได้เห็นสัจธรรมว่าถ้าเอาคนที่มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้วมาทำร้านมันดีกว่าเราลงไปทำเองทุกอย่าง เพราะมันจะวุ่นวายอยู่อย่างนั้น สู้เราชวนเขามาเป็นพาร์ตเนอร์เลยดีกว่า อีกอย่างธุรกิจโรงแรมในสมัยนี้เปลี่ยนเร็วมาก เราไม่สามารถมาเรียนรู้ทุกอย่างใหม่ได้ทั้งหมด เราก็ตั้งใจทำในสิ่งที่ถนัดและมีความรู้ความมั่นใจให้ดีขึ้นแทน”
นอกจากนี้ โฮเทลยังเปิดพื้นที่ให้คนเข้าถึงมากขึ้นด้วยการจัดกิจกรรมและอีเวนต์อยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการชวนดีเจมาเปิดเพลง ฉายหนังสารคดี จัดนิทรรศการศิลปะ และ flea market เป็นต้น
“เราตั้งใจจะปักหมุดให้แถวนี้เป็นที่เคานต์ดาวน์สำหรับปีหน้า อยากตกแต่งให้ทั้งซอยเป็นธีมเคานต์ดาวน์ เพราะเรามองว่าย่านนี้มีโพเทนเชียล ถ้าหลายธุรกิจมาร่วมมือกันพลังจะยิ่งขยาย เราอยากให้ผู้ประกอบการในอารีย์เติบโตขึ้น”
และในช่วงที่ผู้คนยังเดินทางข้ามประเทศไม่ได้ พวกเขาก็ใช้เวลานี้ในการชวนพาร์ตเนอร์ใหม่ๆ มาเป็นส่วนหนึ่งของโฮเทลเพิ่มขึ้น ทั้งยังมีแพลนจะทำ Cinema Bar ที่ชั้น 2 และปรับห้องพักให้เป็นธีมหนัง เพื่อดึงดูดใจมูฟวี่เลิฟเวอร์ให้มาเยี่ยมเยือน กับรอต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหลังจากสถานการณ์ดีขึ้นเป็นปกติ
ใครที่กำลังมองหาสถานที่ staycation ย่านอารีย์ แบบที่ตื่นขึ้นมาได้กลิ่นกาแฟหอมๆ ขนมปังกรุ่นๆ ก่อนออกไปตระเวนคาเฟ่ฮอปปิ้ง พอตกเย็นกินปิ้งย่างแบบญี่ปุ่น ดึกก็นั่งชิลล์ในบาร์ค็อกเทล แล้วค่อยขึ้นไปพักผ่อนสบายๆ
JOSH HOTEL รอต้อนรับอยู่เสมอ
JOSH HOTEL
address : อารีย์ซอย 4
tel : 02-102-4999, 02-010-4606
facebook: JOSH HOTEL