การ์ตูนจากชีวิตของ วิศุทธิ์ พรนิมิตร นักวาดการ์ตูนไทยที่โด่งดังในเมืองมังงะของโลก

นักวาดการ์ตูน เป็นอาชีพที่เราเชื่อว่าอยู่ในใจของเด็กหลายคน แต่คงไม่มีกล้าเอื้อนเอ่ยมันออกมา เพราะมันดูเป็นอาชีพที่ผู้ใหญ่เบือนหน้าหนีและไม่อยากให้ลูกหลานทำ ด้วยเหตุผลทั้งเรื่องเงินหรืออนาคต

ตั้ม-วิศุทธิ์ พรนิมิตร ก็เคยคิดเช่นนั้น เขาไม่กล้าฝันว่าอยากจะเป็นนักวาดการ์ตูนเพราะคงทำให้แม่ไม่สบายใจ แต่การวาดการ์ตูนกลับกลายเป็นความสุขและเป็นพื้นที่ที่เขาจะได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเองมากที่สุด จนในที่สุดผลงานของเขาก็ได้รับการยอมรับทีละเล็กทีละน้อย การ์ตูนของเขาได้ลงคอลัมน์การ์ตูนเล็กๆ ในนิตยสารไทย ไปจนถึงจัดนิทรรศการในมุมเมืองใหญ่ๆ ที่ญี่ปุ่น ประเทศที่นับเป็นเมืองหลวงมังงะของโลก ทั้ง hesheit, ควันใต้หมวกeverybodyeverything ที่ก่อเกิดคาแรกเตอร์ที่ใครหลายคนรักอย่าง ‘มะม่วง’ นอกจากนี้เขายังทำแอนิเมชัน วาดปกซีดีและหนังสือหลายเล่ม และยังแสดงดนตรีประกอบแอนิเมชันอีกด้วย

หากมีใครพูดว่าอาชีพนักวาดการ์ตูนไร้สาระและไม่มีอนาคต ลองอ่านชีวิตของชายคนนี้ดู

ไม่กล้าฝันอยากเป็นนักเขียนการ์ตูน

ถ้าถามความฝันในวัยเด็กของวิศุทธิ์ เขาไม่กล้าฝันว่าอยากจะเป็นนักเขียนการ์ตูนสักนิด เพราะเส้นทางของอาชีพนั้นดูเลือนลางซะเหลือเกินที่จะบอกแม่หรือบอกครู แม้เขาจะรักการวาดการ์ตูนเป็นที่สุด

“มันไม่เรียกว่าความฝันหรอก เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้”วิศุทธิ์บอกกับเราแบบนั้นเมื่อถามว่าเคยฝันอยากเป็นนักวาดการ์ตูนไหม หากใครถามว่าอยากจะเป็นอะไร เขาจะตอบว่าอยากเป็นหมอ เป็นสถาปนิก หรือเป็นชาวนาแบบคุณตา เพราะอาชีพนักเขียนการ์ตูนนั้นดูเป็นเรื่องเด็กๆ มากกว่า

“เราก็เลยไม่ฝันอยากจะเป็นนักวาดการ์ตูน แต่ก็ยังวาด วาดทุกวันให้เพื่อน 5 คนอ่านจนกระทั่งจบประถมก็ไม่มีเพื่อนพวกนั้นแล้ว เราก็เลยเลิกวาดการ์ตูนไปพักหนึ่ง เพราะเราไม่กล้าให้ใครอ่านการ์ตูนทะลึ่งตึงตังที่เราวาด ทั้งๆ ที่เราเรียนโรงเรียนชายล้วนนะ เพราะว่าเพื่อนแต่ละคนดูโตขึ้นแล้ว ดูฉลาดกันแล้ว ม.1 แล้วเราก็ไม่ได้เอาการ์ตูนไปโชว์ใครอีก”

นักเรียนศิลปะที่วาดรูปไม่เก่ง

หลายคนอาจไม่รู้ว่าวิศุทธิ์เรียนจบจากสาขาการออกแบบภายใน คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยหวังในใจว่าแม้ไม่ได้เป็นนักวาดการ์ตูน ก็ขอให้เขาได้เรียนศิลปะ ขอให้วาดเขียนได้เก่งขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า เขาเป็นนักเรียนศิลปะที่โดนอาจารย์ดุว่าเกือบทุกวิชา ผลงานวาดรูปที่เขาตั้งใจออกไอเดียเต็มที่กลับไม่ตรงใจอาจารย์ หนำซ้ำยังยังถูกวิจารณ์ให้อายเพื่อน อายรุ่นน้อง จนเขาเสียความมั่นใจไปไม่น้อย

“เราเข้าไปเรียนเพราะคิดว่าอาจารย์จะสอนให้เราวาดรูปได้สวยๆ แต่ปรากฏว่าเข้าไปแล้วนักเรียนทุกคนวาดรูปสวยอยู่แล้ว อาจารย์ก็ไม่มานั่งสอนวิธีวาดรูปสวยๆ เขาก็สอนอย่างอื่น เข้าไปวันแรกอาจารย์บอกว่าวาดอะไรก็ได้ เราวาดงานอาร์ตๆ ไอเดียเยอะๆ ระหว่างที่เพื่อนๆ วาดรูปแรเงาทรงเรขาคณิตซึ่งก็เหมือนๆ กันไปหมด แต่ปรากฏว่าอาจารย์ชมและให้เกรด A นักเรียนที่วาดรูปแรเงาเรขาคณิตเหล่านั้น เราก็สงสัยว่ารูปของเราคงได้ A อีกแบบ ปรากฎว่าอาจารย์ก็โชว์งานของเราจริงๆ แต่โชว์เพื่อประจาน ได้เกรด F บ้าง D บ้าง”

ไม่ใช่แค่รูปวาดเท่านั้นที่วิศุทธิ์โดนอาจารย์ว่า แม้แต่ลายมือที่เขียนกำกับในแปลนงานก็ยังโดนวิจารณ์ไปด้วย

“แม้แต่ลายมือคุณเนี่ย มันยังไม่เหมือนกับคนที่เรียนศิลปะเลย” อาจารย์ดุเขาจนเอือม ในขณะที่เพื่อนๆ ที่วาดรูปสวย วาดรูปดีในสายตาอาจารย์ก็สามารถรับงานสอนพิเศษวาดรูปและหาเงินได้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่

“คือเราอายเพื่อน เพราะเพื่อนรับงานวาดรูปกันตั้งแต่ปี 1 แล้ว เราจะไปรับงานใครได้ ฝีมืออ่อน ติวน้องไม่เป็น งานดรอว์อิ้งของเราก็ถูกติดบอร์ดประจานตลอดเวลา ซึ่งมันก็อยู่ตรงบันไดที่ทุกคนต้องเดินผ่าน”

 

วาดรูปไม่เก่งให้เต็มที่

อาจารย์ว่าจนทำให้อายเพื่อนและรุ่นน้อง เลยทำให้ตั้มหันมาวาดรูปเพื่อปลดปล่อยอารมณ์

“เราก็อยากจะพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเค้ายอมรับ เราจะได้หายอายแต่มันก็ต้องใช้เวลา ซึ่งจะพิสูจน์ด้วยวิชาที่เรียนตรงๆ ก็ไม่ได้ เพราะเราทำไม่ได้จริงๆ ก็เลยหาทางอื่น เล่นดนตรี ได้โชว์เพื่อนก็หายอายเป็นพักๆ นะ แต่สิ่งที่ทำให้เราหายอายได้จริงๆ เลยก็คือการวาดการ์ตูนนี่แหละ คือเราคิดขึ้นมาได้ว่า เฮ้ย ตอนประถมเราวาดการ์ตูนแล้วเพื่อนเราชมเรา ไม่ใช่สงสารเรา เราก็เลยหยิบกระดาษขึ้นมาวาดการ์ตูนอีกครั้ง”

คราวนี้เขาคิดใหม่ ทำใหม่ คือการวาดรูปของเขาไม่จำเป็นต้องวาดให้สวยหรือต้องถูกใจใครอีกแล้ว วาดให้เละ ไม่ต้องใช้ไม้บรรทัด หรือจะวาดให้หยาบคายยังไงก็ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือให้ตัวเองได้ระบายความรู้สึก จนเกิดเป็นการ์ตูน

hesheit
ขึ้นมา เมื่อมีโอกาสเขาก็ลองให้เพื่อนสนิทอ่าน ไปจนถึงเพื่อนที่ไม่สนิทอ่าน จากที่เขาเคยกลัวว่าเพื่อนจะรับการ์ตูนแบบนี้ไม่ได้ สุดท้ายแล้วเพื่อนก็เข้าใจแล้วก็สนุกกับการ์ตูนของเขา เขาเริ่มมั่นใจกับลายเส้นของตัวเองมากขึ้น

พิสูจน์ตัวเอง

วันหนึ่งลายเส้นการ์ตูนแบบเขาก็เริ่มมีคนยอมรับ เขาลองส่งการ์ตูนที่เขาวาดไปที่นิตยสาร Katch ของบอย โกสิยพงษ์ ในใจคืออยากให้คนที่เขาชอบได้อ่านการ์ตูนของเขา แต่ด้วยลายเส้นและเนื้อหาการ์ตูนที่ไม่ธรรมดา ผลงานของเขาหรือ hesheit จึงได้ตีพิมพ์ในนิตยสารเป็นครั้งแรก

“ตอนนั้นที่ได้ลงนิตยสาร Katch ก็ช่วยให้เราหายอายขึ้นมาได้อีกนิด เพราะเราหาเงินได้เหมือนเพื่อนสักที ซึ่งตอนนั้นนิตยสาร Katch ก็ดังอยู่ โชคดีที่ได้พี่บอยมาช่วย โรคต่างๆ ในตอนนั้นของเราก็หายหมด โรคอาย โรคอีโก้ โรคไม่ฉลาด กลายเป็นว่าแฮปปี้มาก หลังจากนั้นก็เลยกล้าเขียนการ์ตูนและเพราะมันได้เงิน ซึ่งมันสำคัญมาก เพราะมันทำให้เราบอกแม่ได้ว่า เราได้เงินจากการวาดการ์ตูนนะ แม่จะได้ไม่ห่วงมาก”

โกอินเตอร์

วิศุทธิ์วาดการ์ตูนเรื่อยมาหลังลงคอลัมน์ในนิตยสาร Katch วันหนึ่งเขาตัดสินใจจะไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น นับเป็นก้าวแรกที่ตัวเขาและการ์ตูนของเขาโกอินเตอร์ไปสู่สายตาคนญี่ปุ่นด้วย

“ในมือเราก็มีแต่ hesheit ซึ่งมันเป็นการ์ตูนเพี้ยนๆ ที่เราก็ต้องไปแจกคนที่เพี้ยนเหมือนกัน แถวที่พักเรามีร้านกาแฟที่ดูอินดี้ๆ อยู่ เราก็เอาการ์ตูน hesheit ไปเสนอแล้วก็แนะนำตัวเองว่ามาจากเมืองไทยนะ ลองอ่านดู จะขอวางขายได้ไหม เจ้าของก็บอกสนุกดีเอามาขายสัก 3 เล่ม วางไปเดือน สองเดือน ก็หายไปเล่มหนึ่ง หายไปสองเล่ม เจ้าของร้านก็บอกให้เอาการ์ตูนมาเติมที่ร้านหน่อย คือมันก็ขายได้ เราก็ทำแบบนี้กับอีก 2 – 3 ร้าน ซึ่งมันขายได้ ทำให้เรารู้ว่าคนญี่ปุ่นเขารับการ์ตูนแบบนี้ได้”

ไม่น่าเชื่อว่าวิศุทธิ์ไปอยู่ญี่ปุ่นแค่เดือนเดียว เขาก็ได้จัดนิทรรศการเป็นของตัวเองโดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนชาวญี่ปุ่น เป็นพื้นที่ที่ทำให้เขาได้รับโอกาสมากมายจากนักเขียน คอลัมนิสต์ และสำนักพิมพ์ญี่ปุ่นที่ชวนเขาวาดการ์ตูนหลายช่องทาง ทั้งวาดรูปประจำในกรอบเล็กๆ ของนิตยสารญี่ปุ่น ไปจนถึงวาดรูปหน้าปกให้นักเขียนชื่อดังอย่าง โยชิโมโตะ บานานา จนกลายเป็นโอกาสที่ทำให้เขาได้ตีพิมพ์หนังสือการ์ตูนครั้งแรกในญี่ปุ่น everybodyeverything ที่มีตัวละครคาแรกเตอร์หลายๆ แบบ ถือกำเนิด ‘มะม่วง’ คาแรกเตอร์สาวน้อยน่ารักที่ครองใจชาวญี่ปุ่นและชาวไทยเรื่อยมา

“พอมีมะม่วง แม่ก็เริ่มเข้าใจการ์ตูนเรามากกว่าเรื่องอื่นๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่แม่รู้สึกว่าการ์ตูนที่เราวาดนั้นสวยหรือน่ารัก ซึ่งทำให้เราวาดมะม่วงต่อมาอีกพักใหญ่ เพราะมันทำให้แม่สบายใจ กลายเป็นการ์ตูนที่เป็นที่ยอมรับกับคนทั่วไปมากที่สุดจริงๆ แม่ก็เลิกชวนเราไปทำงานด้วยแล้วเพราะเราเป็นนักวาดการ์ตูนก็อยู่ได้ หาเงินได้”

เราถามวิศุทธิ์ว่าเขามีเป้าหมายหรือความฝันอะไรอีกไหม เพราะทุกวันนี้จากสายตาคนอื่น เขานับเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จแล้ว กลายเป็นไอดอลของนักเขียนการ์ตูนรุ่นเยาว์อีกหลายๆ คน วิศุทธิ์หยุดคิดสักพัก แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ไม่ได้ฝันอะไรอีกแล้ว คือเราได้เป็นนักเขียนการ์ตูนแล้ว และรู้สึกขอบคุณทุกคนที่ทำให้เราเป็นวันนี้ เพราะมันไม่ใช่ว่าอยู่มาวันรุ่งขึ้น เราจะได้เป็นนักเขียนการ์ตูนเลย มันต้องมีคนซื้อการ์ตูนเรา มีคนจ้างเราไปวาด มันถึงจะเรียกว่าประกอบอาชีพเขียนการ์ตูนได้ ซึ่งเราก็ยังเอนจอยกับสิ่งที่ทำอยู่”

ภาพ สลัก แก้วเชื้อ

AUTHOR