ตอนเด็กๆ เคยคิดไหมว่า “ชีวิตนี้เราอยากเป็นอะไร”
ไม่ใช่แค่คุณ ชา-อนุชา แสงชาติ แห่ง Lowcostcosplay เพจสุดสร้างสรรค์มีมีคนกดไลก์เพจเขากว่า 2 ล้าน และเคยลงเว็บระดับโลกอย่าง 9GAG จนเพจเขากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก็เคยถูกถามด้วยคำถามนี้ในวันที่เขายังเรียนชั้นมัธยม
“ตอนที่เข้าเรียนวิชาแนะแนว อาจารย์เขาก็ถามตลอดว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร อยากทำอาชีพอะไร ผมก็ตอบมั่วๆ ไปว่าอยากเป็นตำรวจ เพราะว่าข้าราชการดีกับประเทศไทย โดยที่ความจริงเราไม่ได้อยากเป็น แต่ว่ามันต้องมีคำตอบ ยิ่งเข้าห้องแนะแนวยิ่งต้องมีคำตอบให้กับอาจารย์ที่มาถามเรา
“แต่ผมไม่รู้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเราต้องเป็นอะไร และด้วยความที่เราไม่รู้ว่าต้องเป็นอะไรนั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องค้นหา”
และการค้นหาของเขาเริ่มต้นขึ้นหลังจากนั้น
เราต้องทำอะไรสักอย่างให้คนจดจำและมีคุณค่า
ช่วงหนึ่งของบทสนทนาระหว่างเรากับซูเปอร์สตาร์คนหนึ่งในโลกโซเชียล เขาเล่าให้เราฟังว่าคนมักคาดหวังว่าเขาเป็นคนตลก เหมือนที่เพจของเขาเคยสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคน แต่ชายหนุ่มเล่าว่าความจริงเขาไม่ได้เป็นคนตลกตลอดเวลาขนาดนั้น และยิ่งเราได้ฟังเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาของเขา เรายิ่งรู้ว่ามันไม่ตลกเลยสักนิด
“ตอนเด็กๆ ผมชอบไปนั่งหลบๆ และคิดว่าชีวิตเราโคตรโดดเดี่ยว เราเป็นลูสเซอร์ ขี้แพ้ ตอนนั้นเด็กมากเลยนะ ประมาณ ป.1 แต่ผมเข้าใจความรู้สึกตอนนั้นมาก ว่าผมคิดอะไรประมาณนี้ คิดว่าตัวเองกระจอก กระจอก กระจอก สู้พี่ชายไม่ได้ ลูสเซอร์ขนาดที่ว่าเวลาดูการ์ตูนกับพี่เราก็จะเลือกกันว่าเราจะเป็นการ์ตูนตัวไหน ผมจะไม่มีสิทธิ์ได้เลือกเป็นตัวที่เก่งที่สุด”
โดยที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร หลังจบชั้นมัธยมศึกษา เขาตัดสินใจไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยตามเส้นทางชีวิตปกติของคนส่วนใหญ่ แต่เลือกที่จะออกสู่โลกกว้างทำงานหาเงิน โดยเริ่มจากการเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารที่จังหวัดเชียงใหม่
“ผมเคยบอกพี่ชายว่าผมอยากจะโด่งดัง เขาก็คิดว่ามึงจะบ้าเหรอ มึงจะโด่งดังได้ยังไง มึงมีอะไร เรียนจบแค่ชั้นมัธยม 6
“แล้วด้วยความที่ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าต้องเป็นอะไรนั่นแหละ คือสิ่งที่ทำให้เราต้องค้นหา มันไร้ขอบเขต เราเป็นอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องทำอะไรสักอย่างให้คนจดจำและมีคุณค่า แล้วคนรักเรา”
อย่างน้อย ถ้าวันนึงต้องตายไปก็อยากให้คนจำ
เมื่อถึงจุดหนึ่งชีวิตของชายหนุ่มเริ่มอยากเปลี่ยนแปลง แต่การตื่นมาทำอะไรเดิมๆ ไม่สามารถทำให้เขาค้นพบจุดเปลี่ยนได้ เขาจึงตัดสินใจครั้งที่กล้าบ้าบิ่นที่สุดในชีวิต-กล้าชนิดที่หลายคนอาจอยากถามเขาว่าบ้าหรือเปล่า
“ตอนนั้นรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองแต่ไม่รู้ต้องทำยังไง ก็เลยคิดว่าอย่างน้อยเราต้องเปลี่ยนแปลงสถานที่ที่เราอยู่ เลยตัดสินใจลงมากรุงเทพฯ เลยโดยที่ไม่รู้ว่าจะมาทำอะไร มีเงินติดตัวแค่พันเดียวเองมั้ง ผมคิดว่า วันนั้นต้องหางานให้ได้ แล้วก็ขออาศัยเขาอยู่ แล้วเผอิญเดินไปบนฟุตปาทถนนลาดพร้าว แล้วผมเห็นที่เสาไฟฟ้ามีกระดาษติดอยู่ เขารับสมัครคนดูแลผู้สูงอายุ ผมก็โทรไป เขาก็นัดไปสัมภาษณ์”
การได้เข้าทำงานที่บ้านพักคนชราคือจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตชา หรือหากจะบอกว่า Lowcostcosplay ถือกำเนิดจากสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ผิดนัก โดยเขาใช้ผ้าผืนหนึ่งในบ้านพักคนชรามาคลุมหลัง แล้วเปรียบเทียบกับลีโอไนดัส (Leonidas) จากภาพยนตร์เรื่อง 300 คนในโลกออนไลน์พากันกดไลก์ กดแชร์ จนเขาประหลาดใจ
“ผมสนองความต้องการตัวเองล้วนๆ อย่างที่บอก ผมอยากมีสปอตไลต์ส่อง ชีวิตผมไม่รู้จะทำอะไรอยู่แล้ว อย่างน้อยถ้าวันนึงผมต้องตายไปก็อยากให้คนจำ ไม่อยากให้คนลืม ก็เลยทำสิ่งนี้ ทำให้คนจำแบบนี้ เราไม่รู้หรอกว่าทำตรงนี้จะมีประโยชน์กับใครมั้ย แค่ทำไปก่อน แล้วค่อยต่อยอด”
จากภาพนั้นจึงเกิดภาพที่สอง ที่สาม ที่สี่ จนขึ้นหลักร้อย จากการโพสต์ภาพในเฟซบุ๊กส่วนตัว กลายเป็นเพจที่ทุกวันนี้มีคนตามหลักล้าน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งอย่างจะเป็นไปอย่างง่ายดาย
ผมไม่กลัวอะไร ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำมันถูก
“ไปหางานทำเถอะ” “สิ่งที่คุณทำมันฉาบฉวย ไม่มั่นคง” “เดี๋ยวคนเขาก็ลืมคุณ”
ประโยคข้างต้นคือตัวอย่างคำหวังดีที่เขาได้รับในช่วงเริ่มต้นทำเพจ แม้กระทั่งคนรักของเขาในขณะนั้นก็แสดงความเป็นห่วงถึงความไม่มั่นคงของชีวิตคนทำเพจ แน่ล่ะ ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีที่แล้วใครจะเชื่อว่าการทำเพจจะหล่อเลี้ยงชีวิตคนคนหนึ่งได้
ยังไม่นับเรื่องภาพลักษณ์เพจที่เน้นตลกโปกฮาจนถูกตีความว่าไร้สาระโดยอัตโนมัติ ถ้าเขาหวั่นไหวกับถ้อยคำเหล่านั้นคงไม่มีเพจ Lowcostcosplay จนทุกวันนี้
“ผมมองว่าชีวิตเป็นสะพานที่เราเดิน ไอ้คำพูดพวกนั้นตอนแรกมันคือลมพายุ แรงไม่แรงอยู่ที่จำนวนคน เราก็มีเซบ้าง แต่ถ้าเราจับราวสะพาน แล้วพยายามเดินไป มันก็ถึงปลายทาง ผมเลยไม่กลัวอะไร ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำมันถูก จนวันนึงมีเสียงที่เริ่มยอมรับ ลมก็ค่อยๆ หายไป เราก็เดินสะดวกขึ้น”
อย่าเพิ่งคิดว่าจะได้เงิน แต่คิดว่าคุณได้ความหมายในการทำอะไรบางอย่างที่คุณรัก
ทุกวันนี้เจ้าของเพจ Lowcostcosplay เลือกเส้นทางของตัวเองแล้วคือการลาออกจากงานประจำมาทำเพจหล่อเลี้ยงชีวิต เขาว่าตื่นมาก็เริ่มต้นคิดไอเดียใหม่ๆ
ซึ่งถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า อะไรทำให้ชายผู้นี้ยังคงเชื่อในสิ่งที่ทำ ยังขยันเรียกเสียงหัวเราะให้คนที่ตามเพจของเขาโดยไม่หวั่นไหวกับเสียงรอบข้าง เราจึงถามสิ่งที่ค้างคาใจทิ้งท้าย
“มันไม่ได้มีตัวเลือก” ชาตอบด้วยรอยยิ้ม “จะกระโดดฆ่าตัวตายก็ไม่ได้ ยังไงก็ต้องเดินต่อไป เพราะเราเชื่อแล้ว มันอยู่ที่โฟกัสว่าเราโฟกัสอะไร โฟกัสยังไง มาพูดถึงเรื่องโฟกัส ที่ผมทำเพจมันเป็นเรื่องที่ผมโฟกัสด้วยว่า เราตื่นมาในชีวิตหนึ่งเราโฟกัสอะไรบ้าง เราต้องแปรงฟัน ล้างหน้า แต่ผมตื่นมาผมโฟกัสเพจก่อนเลย แทบจะทั้งวัน ผมโฟกัสเพจ แต่ถ้าคนไปทำงานประจำอะ ก็ต้องโฟกัสเจ้านาย โฟกัสที่บริษัท โดนแบ่งๆ โดนซอยไปแล้ว
“เวลาผมถูกเชิญไปพูด ผมจะพูดเรื่องโฟกัส คนจะมองภาพออก แต่คนฟังก็ยังไม่มั่นใจว่าถ้าไปโฟกัสแล้วมันจะได้อะไรหรือเปล่า คือมันต้องเปลี่ยนวิธีคิดก่อน อย่าเพิ่งคิดว่าจะได้เงิน แต่คิดว่าคุณได้ความหมายในการทำอะไรบางอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่คุณรักอยู่แล้ว ถามว่ามันสนุกไหม สนุกฉิบหายเลย แต่กับบางคนเขาไม่คิดอย่างนี้ไง ถ้าจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ ถ้าจะไปสายธุรกิจมันก็มีหนทางอยู่ ผมเห็นมีคอร์สสอนอยู่ แต่ผมไม่รู้จะสอนยังไงเพราะผมไม่ใช่สายธุรกิจ ผมมองตัวเองเป็นศิลปิน ผมเองทำอะไรก็ได้ให้คนชอบแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่สนวิธีการเพราะเราก็มีอัตลักษณ์ครับ อัตลักษณ์คือการที่เรามองอะไรบางอย่างเราจะคิดถึงคนคนนั้น เราต้องถามตัวเองว่าทำไมคนต้องมารอดูเรา เรามีความเจ๋งอะไร แล้วทำคอนเทนต์ตัวเองให้ดี ให้คูล”
หลังฟังเขาพูดถึงตรงนี้ ผมนึกถึงชีวิตในวัยเด็กของเขาที่ไม่มีคำตอบว่าตัวเองอยากเป็นอะไร จนกระทั่งวันนี้ที่เขารู้แล้ว-เลือกแล้ว
“คำถามที่ว่าผมอยากเป็นอะไรผมเพิ่งมาค้นพบตอนที่ทำเพจนี้นะ” ว่าถึงตรงนี้ชาก็เงียบเว้นช่องว่างให้เราคิดตาม
“ผมแค่อยากเป็นสิ่งนี้แหละคือเป็นตัวเอง”

ภาพ กานต์ ตันติวิทยาพิทักษ์