ลมหายใจในเพลงแร็พและสิ่งที่หล่อหลอมตัวตนของ ‘นิลโลหิต’

‘ตัวเรา’

แม้ชายตรงหน้าจะสวมหน้ากากปิดปากสีดำและหมวกแก๊ปสีเดียวกัน ปกปิดรูปลักษณ์ใบหน้าของเขาไม่ให้เห็นเด่นชัด แต่จากแววตาของเขา ทั้งยามใช้ชีวิตปกติและยามที่เขาร้องแร็พเร้าโสตประสาทอยู่บนเวที เราย่อมรับรู้ได้ว่าเขาเป็นคนมั่นใจในตัวเองในระดับเหนือคนปกติทั่วไป

เรารู้จักเขา นภ หอยสังข์ หรือที่ใครต่อใครรู้จักในนาม นิลโลหิต จากเวทีแร็พที่ปลุกกระแสฮิปฮอปให้คึกคักและลุกโชนไปทั่วโลกโซเชียล อย่าง RAP IS NOW ซีซั่น 2 โดยจุดเด่นที่ทำให้เขาโดดเด้งคือการเลือกใช้คำสุดสร้างสรรค์ ไหวพริบในการเลือกคำมาใช้ที่อาจหยาบเท่าใครหลายคน แต่ไม่ว่าใครได้ยินก็เป็นอันต้องรู้สึกแสบๆ คันๆ บริเวณอกข้างซ้าย

คลังคำมากล้นที่เขาพ่นออกมาบนเวทีและการสัมผัสที่เหมาะเจาะ ส่วนหนึ่งได้มาจากทักษะการแต่งกลอนประเภทต่างๆ ที่เขาสนใจมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม โดยครั้งแรกที่เขาเริ่มก้าวเท้าเข้าสู่วัฒนธรรมฮิปฮอปคือช่วงมัธยมต้นโดยการซึมซับจากพี่สาวที่คลั่งไคล้วัฒนธรรมฮิปฮอปเข้าเส้น

เริ่มต้นจากการเต้นบีบอยเช้ากลางวันเย็นที่โรงเรียน ก่อนจะไล่ลามไปสู่การเริ่มต้นแร็ปจนชื่อชั้นและลีลาโดดเด่นเป็นที่รู้จัก ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าอะไรทำให้เขาหลงใหลสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองด้วยแววตาสงสัยอย่างการร้องแร็พ

“คุณฟังฉ่อยแล้วคุณชอบไหม” นิลถามโดยเว้นจังหวะให้ผมตอบ เมื่อผมพยักหน้าเขาจึงพูดต่อ “ถามว่าชอบเพราะอะไร เพราะมันคือศิลปะไง ศิลปะหนึ่งชิ้นเราไม่สามารถบอกได้ว่าเราชอบมันจากตรงไหน ภาพของแวนโก๊ะภาพหนึ่ง คุณบอกได้หรือว่าคุณชอบจุดไหนของภาพ มันต้องมองในภาพรวม มันเป็นสิ่งที่ออกมาจากอินเนอร์เขา ถ้าถามว่าเราชอบเพลงแร็พเพราะอะไร บางทีคำตอบมันเป็นนามธรรม เราพูดไม่ได้ แต่เราสามารถบอกได้ว่านี่คือสิ่งที่เราชอบ”

โดยหนึ่งในสิ่งที่นิลโลหิตเชื่อเสมอมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีใครจดจำเขาได้ คือการใส่ตัวตนลงไปในสิ่งที่ร้อง ใส่ทัศนคติของตัวเองลงไปในทุกวรรคที่แร็พ เขาเชื่อว่าความเป็นตัวของตัวเองเท่านั้นที่จะทำให้เรามีตัวตน โดดเด่น ท่ามกลางกลุ่มคนที่ทำตามๆ กัน เชื่อเหมือนๆ กัน

“เราต้องใส่ทัศนคติตัวเองลงไปในเพลง เหมือนกุ๊กที่ทำอาหาร การที่กุ๊กหรือเชฟคนนึงจะดังได้ เขาต้องมีคาแรกเตอร์ มีตัวตนของตัวเอง สมมติมีเมนูหนึ่ง ทำไมเราถึงชิมแล้วรู้ว่านี่คือข้าวผัดจากใคร เพราะมันคือคาแรกเตอร์ที่เขาใส่ลงไปในตัวผลงาน ถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องของการแร็พ ผมมองว่าทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญ มันเป็นมุมมอง เป็นไหวพริบ เป็นเรื่องของการที่เราจะแก้ไขสถานการณ์ตรงนั้นยังไง เพราะฉะนั้นผมยังยืนยันคำเดิมที่เคยพูดว่า การใส่ตัวตนของตัวเองลงไปในเพลงในผลงานแต่ละอย่างมันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก”

แม้ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ใครหลายคนอาจมองวัฒนธรรมฮิปฮอปหรือการออกไปยืนแร็พบนเวทีด้วยแววตาไม่เข้าใจ บางคนถึงขั้นดูถูก เหยียดหยาม แต่เขาไม่มัวเอาเสียงและแววตาเหล่านั้นมาใส่ใจ

ชายหนุ่มบอกว่าเขาเชื่อในการพิสูจน์ตัวเอง

“ถ้าพูดถึงฮิปฮอป นึกโยงตั้งแต่ที่ผมเริ่มเข้าสู่วัฒนธรรมฮิปฮอปจนถึงตอนนี้ สิ่งเดิมที่ผมได้จากมันคือความสุขแค่นั้นเอง ซึ่งการที่เราเจออะไรที่เรามีความสุขกับมัน แทนที่เราจะมัวไปตามคนอื่น ผมถือว่าชีวิตเราได้กำไรไปแล้วครึ่งหนึ่ง เราจะไปเตะบอลทุกวันตามคนอื่นทำไมถ้าใจจริงเราชอบเต้น โอเค การไปเตะบอลตามคนอื่นมันก็ไม่ถือว่าชีวิตขาดทุนหรอก เพียงแต่ว่าไม่คุ้มที่จะลงทุนเท่าไหร่

“ช่วงที่เต้นบีบอยเป็นช่วงที่หลายคนในโรงเรียนไม่ยอมรับ ต่อต้าน ไม่ต้องการ เพราะว่าผมแตกต่างจากเขา ปีแรกครูทุกคนบอกว่า เฮ้ย อย่าทำ เดี๋ยวแขนหักขาหัก เดี๋ยวนี่เดียวนั่น พอมาปีที่สอง คุณครูเริ่มว่าน้อยลง พอปีที่สามเป็นช่วงที่เราเริ่มออกไปแสดงข้างนอก ได้มีโอกาสแสดงความสามารถจริงๆ จังๆ ตอนนั้นเราเริ่มเป็นที่ยอมรับ ซึ่งผมเหมือนได้เรียนรู้ชีวิตว่าบางทีการทำตามคำพูดส่วนใหญ่ มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เราต้องพิสูจน์ให้เห็นเองว่าเราทำได้จริง ซึ่งการกระทำมันมีน้ำหนักกว่าคำพูด คำพูดมันแค่ลมปาก ใครก็พูดได้” นิลโลหิตย้อนเล่าถึงช่วงเวลาที่เขาฝ่าฟันมา

“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเส้นทางที่เรากำลังพิสูจน์ คือเส้นทางที่ถูกต้อง” ผมโยนคำถามนี้ให้เขา

“ระหว่างข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นสปาเก็ตตี้ คุณจะทราบได้ยังไงว่าในสามสิ่งนี้ คุณชอบทานอย่างไหนมากที่สุด” ชายหนุ่มถามกลับ

“ต้องลอง” ผมตอบ

“ใช่ คือเราไม่รู้หรอกว่าเราชอบกินข้าวมากที่สุดหรือเปล่าจนกว่าเราจะลองกินข้าวดู หรือเราจะชอบก๋วยเตี๋ยวไหม เราก็ต้องลองกินก๋วยเตี๋ยวดู หรือเราชอบสปาเก็ตตี้หรือเปล่า เราก็ต้องลองกินสปาเก็ตตี้ดู ซึ่งพอลองแล้ว เราค่อยมาพิจารณากันว่าชีวิตเราชอบอะไรมากที่สุด”

‘ของเรา’

ด้วยความเชื่อว่าเราต่างถูกหล่อหลอมมาด้วยสิ่งที่ไม่ซ้ำกันกัน และสิ่งต่างๆ ที่เราเจอมาในชีวิตก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนแตกต่าง และมีเราเพียงหนึ่งเดียว เราสงสัยว่าแล้วอะไรคือสิ่งของหรือสถานที่ที่หล่อหลอมนิลโลหิตจนกลายเป็นเขาดังเช่นที่เราเห็น

หูฟัง

“มันมีอิทธิพลกับผมตั้งแต่ ม.1 ตอนนั้นเรายืมโน๊ตบุ๊กของคุณแม่มาใช้งาน ซึ่งบ้านที่ผมอยู่ถ้าเปิดลำโพงเสียงจะดังผมเกรงใจ ผมไม่อยากให้ความชอบของเราไปรบกวนคนอื่นก็เลยใช้หูฟัง หรือตอนอยู่บนรถแม่ผมก็ใช้หูฟัง เพราะไม่อยากรบกวนใคร หูฟังทำให้ผมมีความสุขในโลกส่วนตัว เพลงในหูฟังคือสิ่งที่กรอกหูผมมาตลอด คือสิ่งที่ให้จังหวะผม คือสิ่งที่เปิดทัศนคติของผม คือตัวเชื่อมโยงสิ่งที่สื่อสารจากต้นทางมาหาเรา ซึ่งผมว่ามันมีอิทธิพลต่อชีวิตผมเยอะมาก”

พื้นโรงเรียน

“พื้นโรงเรียนคือจุดเริ่มต้นของชีวิตผมในเรื่องการเต้นบีบอย พื้นบริเวณที่ผมฝึกซ้อมเต้นจะสะอาดเอี่ยมทุกวันเพราะตัวผมเต้นบนนั้น เช้ากลางวันเย็น เราเต้นตลอดเวลา เรียกได้ว่าเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผมมีความสุขที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ผมแฮปปี้กับการที่ผมได้อยู่กับเพื่อน พี่ น้อง ที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน ทำ ณ จุดตรงนั้นร่วมกัน เริ่มจากติดลบมาด้วยกัน เริ่มจากจุดที่คนอื่นเกลียดมาด้วยกัน ผมยังจำได้เลยว่าพื้นตรงนั้นสกปรกแค่ไหน พวกเราพยายามด้วยกันจนกระทั่งมีห้องซ้อมและสิ่งที่เราชอบสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นอยากเริ่มเต้น”

ดินสอ

ทุกอย่างผมเริ่มจากดินสอ เขียนเพลงครั้งแรกผมก็ใช้ดินสอ เขียนเพลงปัจจุบันผมก็ยังใช้ดินสออยู่ สำหรับผมดินสอคือการขีดเขียนอะไรใหม่ๆ ผมชอบใช้ดินสอมากกว่าใช้ปากกา หากลองเปรียบกับชีวิตคนเรา บางเรื่องเราควรลองเขียนด้วยดินสอก่อน รอให้เรามั่นใจว่าเราจะไม่ลบมันทิ้งแน่ๆ แล้วเราค่อยใช้เป็นปากกา แล้วถ้าเรามั่นใจสุดๆ เราค่อยเปลี่ยนมาเป็นรอยสัก ชีวิตผมก็ลองมาหลายอย่างนะ เตะฟุตบอลผมก็ลอง เล่นบาสผมก็ลอง ลองหลายอย่าง แต่คือสุดท้ายผมแฮปปี้กับเรื่องฮิปฮอปมากที่สุด ฮิปฮอปนี่แหละคือรอยสักของผมตอนนี้ มันไม่ใช่ดินสอแล้ว ผมอยู่กับมันตั้งแต่อายุ 14 ตอนนี้ 21 มันคือครึ่งหนึ่งของชีวิต และผมคิดว่ามันอยู่กับผมไปตลอดจนกระทั่งผมตาย ผมกล้าพูดแบบนี้เลย คือมันใช่ มันเป็นตัวเรา”

 

รางรถไฟ

“รางรถไฟคือโลเคชันของชีวิตผม ตอนประถมผมเรียนสีตบุตรฯ ก็จะใกล้กับหัวลำโพง ตอนมัธยมผมเรียนที่เซนต์ดอมินิกก็ใกล้กับสถานีรถไฟมักกะสัน หรือทุกวันนี้ ผมเรียนที่ลาดกระบัง ก็จะใกล้กับสถานีพระจอมเกล้ากับสถานีหัวตะเข้ คือทุกที่จะมีรถไฟอยู่ใกล้ๆ แล้วการขึ้นรถไฟมันทำให้ผมเห็นชีวิตที่แตกต่างกันของผู้คน และเสน่ห์ของรถไฟยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อผมได้ฟังเพลงของวง Kingnocrown ซึ่งเป็นกลุ่มฮิปฮอปที่อยู่ภาคอีสาน เขาทำเพลงที่พูดถึงรถไฟออกมา เนื้อหาในเพลงพูดประมาณว่า เขาไม่มีตังค์แต่เขามีรถไฟ เงินทองไม่มีแต่ว่าเขาจะไป คือไม่มีตังค์แต่ก็ขอไปเล่น แค่ได้ร้องเพลงก็มีความสุขแล้ว มันเลยเป็นแรงบันดาลใจให้เรามีพลังขึ้นมา”

หมวก

“แอคเซสเซอรีชิ้นแรกที่ผมได้จากพี่สาวจนเริ่มเข้าสู่วงการฮิปฮอปคือหมวก ส่วนหมวกใบล่าสุดเป็นหมวกที่ผมแฮปปี้กับมันมากที่สุด เพราะมันคือหมวกที่เป็นแบรนด์ของผมเอง ผมมองว่ามันคือตัวแทนความสำเร็จ มันทำให้ผมยังมีทุกวันนี้ต่อได้ ยังมีเงินที่จะใช้จ่ายโดยไม่ได้ลำบากครอบครัว ผมตั้งชื่อแบรนด์ว่า Zhupel แปลว่าปีศาจ ซึ่งตอนตั้งชื่อผมคิดถึงความแตกต่าง คุณเคยเห็นใครที่ต่างจากตัวเองแล้วมองว่าเขาแบบไม่น่าคบ ไอ้นี่มันเหมือนตัวประหลาด เหมือนปีศาจมั้ย ซึ่งในความเป็นจริงเราทุกคนมีความแตกต่างในตัวเอง เพราะฉะนั้นทุกคนมีความเป็นปีศาจในตัว

“สุดท้ายแล้ว ในสังคมผมกล้าพูดได้เลยว่ามีคนที่คิดเหมือนกัน มีคนที่ทำอะไรเหมือนกัน ไม่เกินหนึ่งคนในโลก ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่ามีแค่ตัวเรา มันคือตัวเราคนเดียว ผมว่าทุกคนยูนีค ต่อให้แม้กระทั่งวันหน้าเรามีมนุษย์โคลนนิ่งขึ้นมา ผมเชื่อว่าตัวที่โคลนนิ่งก็ยังคิดไม่เหมือนตัวจริง เพราะฉะนั้นเราควรภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น”

สุดท้ายแล้ว ในสังคมผมกล้าพูดได้เลยว่า
มีคนที่เหมือนกันไม่เกินหนึ่งคนในโลก
ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่ามีแค่ตัวเราคนเดียว
ต่อให้แม้กระทั่งวันหน้า
เรามีมนุษย์โคลนนิ่งขึ้นมา
ก็ไม่มีทางเหมือนตัวจริง
เพราะฉะนั้นเราควรภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น

ภาพ สลัก แก้วเชื้อ

AUTHOR