“จุดเริ่มต้นของการทำค่ายเกิดจากการที่ผมเจอศิลปินคนหนึ่งในยูทูบ เขาทำเพลง lo-fi hip-hop ที่เพราะมาก ฟังแล้วอยากทำงานด้วย ผมเลยทักเขาไปในอินสตาแกรม ซึ่งศิลปินคนนี้คือ Txrbo”
ถ้อยคำข้างต้นเป็นของกอล์ฟ F.HERO หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งค่าย High Cloud Entertainment และ ‘Txrbo’ ที่เขาว่าคือ นพรัตน์ อัศวลักษณ์ศกุน คนทำเพลงอิสระที่ต่อมากลายเป็นศิลปินเบอร์แรกของค่ายในที่สุด
จากจุดเริ่มต้นนั้น Txrbo ปล่อยซิงเกิลแรกออกมาในชื่อ น้ำลาย (Lie) เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ซึ่งปัจจุบันมียอดวิวกว่า 60 ล้านวิว และในเดือนนี้เขาก็กำลังมีซิงเกิลที่สองอย่าง เจ้าความรัก (Please Love) ที่กำลังปล่อยออกมาให้ทุกคนได้ลองฟังกัน
แต่นอกเหนือจากก้าวแรกที่น่าจับตานี้ Txrbo ยังมีโอกาสได้ไป featuring กับกอล์ฟ F.HERO ในเพลง จำเลยรัก (Defendant Of Love) ที่มียอดวิวกว่า 120 ล้านวิว รวมถึงผลงานก่อนหน้าช่วงที่ทำดนตรีอิสระ ช่องส่วนตัวของเขาก็มียอดวิวรวมกว่า 200 ล้านวิว
ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นหลักฐานอย่างดีที่ทำให้ใครอีกหลายคนต่างหันมามอง Txrbo จนบางคนถึงกับบอกว่าเขาคือหนึ่งในศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามอง แต่สำหรับเรานอกเหนือจากตัวเลขและคำชมเชย งานของ Txrbo ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมาก
เพราะรู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังยอดวิวหลายร้อยล้าน แท้จริงแล้ว Txrbo เริ่มต้นฟังเพลงจากเพลงลูกกรุงของแม่ เริ่มเรียนรู้การทำเพลงด้วยตัวเองตั้งแต่ศูนย์จากอาจารย์กูเกิล และผลิตผลงานเพลงออกมากว่า 20 เพลงด้วยตัวคนเดียว
นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเท่านั้น เพราะถ้าอยากฟังเต็มๆ เราอยากชวนคุณเข้ามาใกล้ๆ
เพื่อฟังเขาอย่างใกล้ชิดแบบติด Txrbo ในบรรทัดถัดไป
อัพเดตกันหน่อย การเป็นศิลปินเบอร์ใหม่ที่เปิดตัวและปล่อยเพลงในช่วงโควิด-19 เป็นยังไงบ้าง
(ขำแห้ง) แย่เลยครับ เสียดายโอกาสของตัวเองมาก เพราะผมซ้อมโชว์เพื่อจะออกไปเล่นคอนเสิร์ตแรกของตัวเองไว้แล้ว แต่เจอล็อกดาวน์รอบนี้คืออด ช่วงนี้เลยอยู่แต่บ้าน ทำเพลง ฝึกฝนไปเรื่อยๆ และปล่อยเพลงใหม่เพื่อไม่ให้หายไปนานเกิน
กดดันไหมกับการเป็นศิลปินเบอร์แรกของค่าย และเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการเปิดค่ายด้วย
(นิ่งคิด) ถ้าในแง่นี้คือไม่กดดันเลยครับ เอาจริงผมลืมตรงนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะผมรู้สึกว่าทุกคนในค่ายกำลังเดินไปพร้อมกัน ลำบากก็ลำบากด้วยกัน สุขก็สุขด้วยกัน ไม่มีใครต้องแบกความกดดันขนาดนั้น ผมกลับรู้สึกภูมิใจเสียมากกว่า (ยิ้ม)
แล้วการทำเพลงในฐานะศิลปินอิสระกับศิลปินในสังกัดค่ายมีความแตกต่างกันไหม
ต่างครับ ถ้าเทียบกับก่อนหน้านี้ เวลาผมปล่อยเพลงจะไม่มีการตลาดอะไรเลย ทำเสร็จปุ๊บก็ปล่อย ถ้าไม่เสร็จก็แค่ปล่อยอาทิตย์หน้า อยากทำตอนไหนก็ทำ แต่พอมาอยู่ในค่าย ผมต้องทำตามตารางเวลาที่ค่ายวางไว้ ต้องมีวินัยมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น และตรงต่อเวลามากขึ้น ผมเลยต้องปรับปรุงตัวเยอะมาก ต้องตึงกับตัวเองมากขึ้น ซึ่งผมกำลังพยายามอยู่
แต่กับเรื่องเพลง High Cloud แทบไม่ได้เปลี่ยนตัวตนผมเลยนะ เพราะพี่กอล์ฟและพี่ๆ ทุกคนในค่ายเขาให้พื้นที่ผมเยอะมาก ในแง่เพลงผมเลยทำตามแบบฉบับตัวเองได้เต็มที่
การทำเพลงในแบบคุณเป็นยังไง
ถ้ายึดตามช่วงที่ผมทำเพลงอิสระ ส่วนใหญ่ผมจะเริ่มต้นทำเพลงโดยความรู้สึกว่าตัวเองมีเรื่องที่อยากเล่าก่อนครับ ซึ่งมันก็มักจะมาจากเรื่องรอบตัวที่ผมรู้สึกประทับใจ แต่หลังจากนั้นผมจะลองมองหามุมใหม่ในเรื่องนั้นเพื่อหาจุดที่แตกต่างจากเดิม
ยกตัวอย่างเช่นนิทานเรื่อง Cinderella ตอนที่ได้อ่านอย่างจริงจังผมรู้สึกว่าเรื่องราวมันช่างโรแมนติกเหลือเกิน นิทานกระทบใจผมจนเกิดเป็นความอยากเล่าเรื่องผ่านเพลง สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือในหัวผมจะหยิบเอาความโรแมนติกมาลองพลิกหามุมใหม่ที่คนทั่วไปเชื่อมต่อได้ เหมือนผมพยายามหาประเด็นแมสที่ซ่อนอยู่ในเรื่องเล็กๆ ซึ่งสุดท้ายก็เกิดเป็นเพลง เพียงกระซิบ ขึ้นมา
แม้ฉันจะภาวนาให้เราได้พบกันอีกสักครา
เพราะรู้ว่าคืนนี้คงไม่ทันเวลา
กามเทพคงเถียงกันไปกันมา
เรารู้นี่มันไม่ธรรมดา
งั้นเราทั้งคู่ต้องฝืนโชคชะตา
เมื่อต้องทำงานในฐานะศิลปินในค่าย เพลงของคุณมีส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม
ใช้คำว่าส่วนที่เพิ่มเติมเพื่อทำให้งานดีขึ้นดีกว่าครับ เพราะพี่ๆ ใน High Cloud เข้ามาช่วยผมเยอะมากในเรื่องของการทำดนตรีและการแสดง เช่น พี่กอล์ฟ, พี่เบน–ศิรสิทธิ์ ตั้งบุญดวงจิตต์ วง LUSS, พี่นีโน่–เกริก ชาญกว้าง โปรดิวเซอร์เจ้าของลายเซ็น Prod. By NINO, พี่แม็ก–ธิติวัฒน์ รองทอง วง The Darkest Romance, พี่เป้–บดินทร์ เจริญราษฎร์ และอีกหลายคน ซึ่งทุกคนคือเทพที่จะมาช่วยกันหาสิ่งที่ดีที่สุดในเพลงจนทำออกมาสำเร็จเรียบร้อย
จากที่ทำทั้งหมดคนเดียว ตอนนี้ได้มาร่วมงานกับคนเก่งๆ ทั้งนั้น คุณรู้สึกยังไงบ้าง
รู้สึกตัวเล็กมาก (หัวเราะ) เหมือนเขามีภาษาของตัวเองที่คุยกันแล้วผมไม่เข้าใจ แต่ผมก็พยายามเรียนรู้และมองมันเป็นโอกาสนะ
พี่ๆ หลายคนที่คุณเอ่ยชื่อมาพูดถึงคุณในทางเดียวกันว่าเป็นคนที่ ‘ตั้งใจ’ ในการทำงานมาก ถ้าให้ลองมองตัวเอง คุณว่าคำชมนี้มาจากตรงไหน
(นิ่งคิด) ผมว่ามันคงมาจากความคาดหวังที่ผมอยากให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด เพราะเวลาทำเพลงหนึ่งเพลงเกณฑ์ที่ผมตั้งไว้คือต้องดีที่สุด ผมไม่ใช่คนที่ยอมปล่อยให้งานในระดับ ‘พอได้’ ออกไป แต่ส่วนใหญ่เรื่องนี้จะไม่เกิดกับพาร์ตดนตรีเท่าไหร่ เพราะอย่างที่บอกว่าพี่ๆ ที่มาช่วยเขาเก่งมากอยู่แล้ว มันเลยจะเกิดกับความคาดหวังที่ผมตั้งไว้กับตัวเองมากกว่า
อย่างเพลงล่าสุด มันมีบ้างที่ผมรู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอตอนอัดเสียง ผมจะเครียดมาก เวลากลับมาบ้านผมเลยซ้อมต่อ แล้วยิ่งพอทำเพลงและได้เรียนรู้จากคนเก่งๆ มากเข้า เหมือนเกณฑ์ในหัวผมมันเลยมากขึ้นไปอีก ในแต่ละวันผมเลยต้องตั้งใจและซ้อมมากกว่าเดิมเพื่อพัฒนาตัวเอง ต่างกับช่วงที่เพิ่งเรียนรู้การทำเพลงใหม่ๆ ที่ผมไม่ได้มีความรู้มากเลยไม่กดดันเท่านี้
คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าในช่วงแรกที่ทำเพลง คุณเริ่มเรียนรู้วิธีการทำเพลงจากกูเกิล
(พยักหน้า) ใช่ครับ จากตรงนั้นแล้วมานั่งทำงานท่ามกลางพี่ๆ ที่เก่งมากเหล่านี้ บางทีผมก็ถามตัวเองเหมือนกันนะว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ เราอยู่ที่ไหนเนี่ย (ยิ้มเขิน)
ย้อนไปถึงช่วงแรกเริ่มให้ฟังหน่อยว่ากว่าจะได้มีโอกาสแบบนี้ คุณเริ่มต้นได้ยังไง
ผมเป็นคนที่ฟังเพลงตั้งแต่เด็กแล้วครับ ได้รับอิทธิพลจากคุณแม่ที่มักเปิดเพลงลูกกรุงหรือเพลงลูกทุ่งแล้วร้องตามทั้งวัน ตอนนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่มันค่อยๆ ซึมซับเสียงเพลงเข้ามาเอง ทำให้พอโตขึ้นผมเลยขยายไปฟังอีกหลายแนว แต่จุดเปลี่ยนคือช่วงวัยรุ่นเวลาไปที่ไหนผมมักจะมีหูฟังติดตัวไว้เสมอ
ตอนนั้นจะมีบางเพลงที่พอฟังแล้วผมจะรู้สึกว่า อ้าว ทำไมท่อนนี้ร้องแบบนี้ ทำไมไม่เศร้ากว่านี้ ทำไมไม่ยิ่งใหญ่กว่านี้ พอความรู้สึกตรงนี้มากเข้า มันเลยจุดประกายผมว่าถ้างั้นทำไมไม่ลองทำเองเลยล่ะ ตอนนั้นแหละที่ผมลองเสิร์ชหาในกูเกิลว่า ‘วิธีการทำเพลง 101’
หลังจากนั้นผมก็เสิร์ชเพิ่มหมดเลย ตั้งแต่ ‘ทำยังไงให้เสียงหนา’ ‘ทำยังไงให้ร้องเพลงได้ยาวๆ’ หรือแม้กระทั่ง ’ทำดนตรียังไงให้ออกมาเพราะ’ ผมนั่งอ่านนั่งดูหมด ได้เรียนรู้จากอาจารย์หลายคนที่ผมเรียกรวมๆ ว่าอาจารย์กูเกิล พอได้เรียนมันก็ยิ่งได้เจอสิ่งที่ชอบ ยิ่งทำก็ยิ่งได้รู้ว่าผมรักดนตรี จนทำเพลงออกมาครั้งแรกเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้วและทำมาอย่างต่อเนื่อง
เพลงส่วนใหญ่ของคุณมักแสดงความเป็นไทยออกมา เท่าที่ฟังแล้ว ดูเหมือนว่าจะได้รับอิทธิพลมาจากวัยเด็ก
ใช่ครับ เพราะเพลงลูกกรุงและลูกทุ่งเป็นส่วนหนึ่งของผม ถึงตอนแรกจะฟังเพราะแม่เปิด แต่พอโตมาถึงจุดหนึ่งผมก็ชอบเพลงแนวนี้ไปเอง รวมถึงเสียงของเครื่องดนตรีไทยด้วยที่พอฟังผมรู้สึกว่ามันไพเราะ พอทำเพลงผมเลยเกิดความคิดพิสดารว่าถ้าเอาความเป็นไทยตรงนี้ไปรวมกับแนวอื่นมันจะออกมาเป็นยังไง เพราะดนตรีมันไร้พรมแดนอยู่แล้ว ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้ผมพอใจมาก คนฟังก็ชอบ ผมเลยทำมาเรื่อยๆ
คุณเคยบอกไว้ว่า สำหรับคุณ สิ่งที่ดีที่สุดของดนตรีคือช่วงทำเพลง อยากให้ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยว่า ‘ดี’ ในที่นี้หมายถึงอะไร
ผมว่ามันคือความสุข
ทุกขั้นตอนในการทำมันทำให้ผมมีความสุขทั้งนั้น ตั้งแต่เริ่มคิดเรื่องเล่า เขียนเนื้อ กดกลอง ผมสนุกกับมัน ถ้าเปรียบเป็นการสร้างบ้านคือผมมีความสุขตั้งแต่ตั้งเสาเอกเลย ไม่ต้องรอให้บ้านเสร็จแล้วค่อยมีความสุข และถึงแม้ตอนนี้ผมจะเริ่มเครียดมากขึ้น แต่ผมก็มองมันเป็นส่วนหนึ่งของความสุขตรงนี้อยู่ดี
แล้วฟีดแบ็กและยอดวิวสำคัญกับคุณไหม
สิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนโบนัสและข้อสังเกตให้เราพัฒนามากกว่าครับ เพราะตั้งแต่แรกที่เริ่มทำเพลงผมไม่ได้คิดว่าต้องได้คำชม ยอดวิว เงินทอง หรือชื่อเสียง ผมอยากทำดนตรีเพราะผมรักมันแค่นั้น
หน้าที่ของผมตอนนี้คือการนำเสนอสิ่งที่ตัวเองทำออกไป ดังนั้นผมก็จะรับผิดชอบหน้าที่ตรงนี้อย่างเต็มที่ เพราะมันก็ทำให้ผมได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสตร์ในการทำเพลงอีกหลายๆ ศาสตร์ด้วย ซึ่งผมก็อยากพัฒนาตัวเองและเก่งให้ได้อย่างพี่ๆ ที่ผมเคารพ
ฟังดูเหมือนดนตรีเป็นแผนระยะยาวของคุณแล้ว
จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ เพราะยิ่งพอมาทำงานในค่ายผมก็มั่นใจแล้วว่าดนตรีคือความหลงใหล หรือจะเรียกว่าความบ้าที่อยากเรียนรู้ให้ถึงขีดสุดก็ได้ และผมก็คิดว่าตัวเองยังมีอะไรให้ไปต่ออีกเยอะ ถึงต่อให้วันที่ผมไม่อยู่แล้ว ผมว่าวันนั้นตัวเองก็ยังเรียนรู้ได้ไม่หมดเลย
จากเริ่มเรียนโดยกูเกิลจนถึงวันนี้ที่ดนตรีเป็นแผนระยะยาวในชีวิต คุณดูมาไกลเหมือนกัน ถ้าให้สรุปย้อนคิด คุณว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่พาให้คุณมาอยู่ตรงนี้ได้
(นิ่งคิดนาน) ผมตอบไม่ได้เหมือนกัน โชคชะตาเหรอ ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ความตั้งใจเหรอ ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว
แต่เอาแบบนี้ดีกว่า ถ้าอนาคตผมกลายเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักอีกครั้ง ผมว่าตัวเองก็ยังอยากทำเพลงออกมาอยู่ดีครับ ผมอยากให้เพลงและเรื่องที่ผมอยากเล่าคงอยู่ โดยที่ตัวผมไม่ต้องคงอยู่ก็ได้
นั่นอาจจะเป็นคำตอบนะ (ยิ้ม)