อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร : นักร้องผู้สร้างบทเพลงจากความจริงในชีวิต 3/4

4.

บาดแผลมากมายที่เรานั้นมี
สุขทุกข์มากคราวเป็นเพียงสายลม
ที่จะผ่านเข้ามาและจะจากไปไม่นาน

หลังกลับจากเชียงใหม่
เรานัดคุยกันอีกครั้งที่กรุงเทพฯ หลายครั้งที่เจอกัน
สายตาผมมักเหลือบมองรอยสักของเขาโดยไม่ตั้งใจ

ทุกรอยสักของอภิชัยเป็นลาย
paper cut แบบจีนโบราณและตัวหนังสือจีนซึ่งเขาชอบมาก ทุกรอยไม่มีความหมายเป็นพิเศษ
นอกจากรอยสัก สิ่งที่ติดตัวเขาตลอดเวลาคือสมุดบันทึก
เขาเริ่มจดบันทึกครั้งแรกตอนถ่ายภาพให้กองถ่าย จัน ดารา
นี่คือคลังคำและเรื่องราวทั้งชีวิตของเขา หลายส่วนกลายเป็นบทเพลงในเวลาต่อมา

ถ้อยคำคือเอกลักษณ์หนึ่งของ
Greasy
Café เขาอ่านหนังสือน้อย เวลาแต่งเพลงเขาเลือกใช้คำที่สั้นที่สุด
เข้าใจมากที่สุด เล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
เช่นเดียวกับภาพถ่ายของเขา

“คำที่เราใช้มันเป็นความจริง
เราใช้คำว่าม่านฝน เพราะฝนบางทีมันตกเป็นม่าน เราสงสัยว่าทำไมการร้องเพลงแล้ว ร
เรือ ต้องกระดกลิ้น ทุกวันนี้เราพูด ร เรือ กระดกลิ้นกันทุกคนเหรอ เราว่าไม่นะ

ไม่มีความพ่ายแพ้บนคำว่านิรันดร์
ไม่มีวันที่ชัยชนะจะอยู่ชั่วฟ้ามลายผืนดินสลาย
(จากเพลง ความจริง)
เนื้อท่อนนี้มาจากความรู้สึกอึดอัดตอนดูกีฬาโอลิมปิก เรารู้สึกว่าคนที่ชนะในการแข่งวันนั้นอาจไม่ชนะในชีวิตจริง
คนที่แพ้ในวันนั้นไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องแพ้ตลอดชีวิต
เรารู้สึกว่าไม่มีคำว่าชัยชนะบนคำว่านิรันดร์หรอก
ทุกวันนี้เราอาจโดนครูภาษาไทยด่ามากก็ได้ คำบางคำมันไม่ได้เมกเซนส์เลยนะ
เราแค่อยากเล่าแบบนี้จริงๆ “

ถ้อยคำที่เขาเขียนในสมุด
ไม่ได้ถูกเล่าแค่ในบทเพลง เขาเคยบันทึกมันในปกซีดีอัลบั้ม ทิศทาง
เป็นความเรียงชื่อ เรื่องข้างหลังตา อีกครั้งคือหนังสือ THE DESTINATION FROM
NOWHERE
บันทึกเรื่องราวเบื้องหลังแต่ละเพลงทั้ง
2 อัลบั้ม

“เราไม่มีต้นแบบการใช้ชีวิต
เวลามีปัญหาเราจะเขียนบันทึก ปล่อยให้ตัวเองจมลงไปเรื่อยๆ จะจมลึกหรือนานแค่ไหน
เดี๋ยวเราก็ขึ้นมาได้เอง

“เราไม่ค่อยอ่านบันทึกของตัวเอง
แต่ช่วงน้ำท่วม เราขนบันทึกขึ้นไปชั้นบน แล้วก็เริ่มเปิดอ่าน” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง
“มันดึงเรากลับไปช่วงเวลานั้น มันมีทั้งช่วงเวลาที่ดี อ่านแล้วก็นั่งยิ้มไปกับมัน
แต่พอถึงบทที่ไม่ดี เมฆดำลอยมาเลย พออ่านแล้วก็ยังจำช่วงเวลานั้นได้

“ก่อนไปอังกฤษ
เราแต่งเพลงไม่ได้เลย มีเรื่องที่กระทบสภาวะจิตใจ แล้วเราก็ไม่เข้มแข็งพอ
เราเป็นคนอ่อนไหวมากกับเรื่องง่ายๆ คำพูดบางคำของคนบางคนเราก็แอบเก็บมาคิด”

เขาไม่บอกชัดเจนว่าเรื่องอะไรหรือใครที่ทำให้เขาย่ำแย่
อภิชัยที่ผมรู้จักจะปิดปากสนิทเมื่อคำพูดจะพาดพิงผู้อื่น

“เราถามตัวเองว่าเราแต่งเพลงได้จริงๆ
เหรอ ที่ผ่านมา 2 อัลบั้มเราฟลุกหรือเปล่า รู้สึกแย่มาก หมดความมั่นใจทุกอย่าง
เรารู้สึกว่าต้องไปแล้วล่ะ โดยที่พูดกับทุกคนว่าอย่าคาดหวังนะ เราอาจจะกลับมามือเปล่าก็ได้
ปรากฏว่าได้เพลงกลับมาเยอะมาก”

นอกจากการไปอังกฤษและได้เล่นหนังระหว่างรอยต่ออัลบั้ม
เขาได้ลองทำงานใหม่นั่นคือการแต่งเพลงให้ปาล์มมี่ในอัลบั้ม Five เขาแต่งให้
3 เพลง หนึ่งในนั้นคือ Butterfly เพลงให้กำลังใจที่ทำให้นักร้องสาวกลับมามีพลังในการทำเพลงอีกครั้ง

“พอแต่งเพลง
ทุ่งสีดำ เสร็จปาล์มมี่ก็บอกว่า พี่เล็กช่วยแต่งเพลงให้อีกเพลงนึงได้มั้ย
มี่อยากเล่าเรื่องการให้กำลังใจคน เราบอกว่ามี่มาหาผิดคนแล้ว” เขาเล่าย้อน

“มี่กับพี่เล็กคุยเรื่องชีวิตบ่อย”
ปาล์มมี่เล่าเบื้องหลังการทำงานผ่านสายโทรศัพท์ “สิ่งที่เรามองไม่เห็นความสำคัญ
มันอาจจะมีคุณค่าสำหรับคนอื่นมากก็ได้
พี่เล็กขาดความเชื่อมั่นในการแต่งเพลงและร้องเพลง มี่ก็เหมือนกัน
เราเป็นเหมือนกระจกสะท้อนความคิดกันและกัน มี่เล่าเรื่องผีเสื้อปีกหักให้พี่เล็กฟัง
บอกแกว่ามี่มีพลังจะสู้ต่อไปแล้ว และอยากให้เขาแต่งเพลงให้กำลังใจคน
เหมือนที่มี่อยากได้ในตอนนี้
เพลงของพี่เล็กก็เก็บบรรยากาศเรื่องเล่าวันนั้นได้ดีมากๆ”

“เพลงที่มืดหม่นกลับทำให้คนบางคนมีวันที่สว่างขึ้น
เขาอาจรู้สึกว่ามีใครที่เข้าใจเขาอยู่” อภิชัยเล่า “เราไม่เคยพูดว่าความรักเป็นเรื่องแย่
เราเชื่อว่าความรักเป็นเรื่องดี แต่เราไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับคนทุกคนแค่นั้นเอง
เราแค่พูดเรื่องจริงน่ะ หลายคนอาจไม่ค่อยพูดความจริงกันเท่าไหร่
พอเราพูดมันเลยฟังดูแปลก

“ตอนเราแต่งเพลง
Butterfly
ให้ปาล์มมี่ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่มากเหมือนกัน หลังจากนั้นเราไปทิเบต
นั่งรถนานมาก สองข้างทางมีแต่ภูเขาและทุ่งหญ้า ก็เลยเอาเพลงมาฟังเล่น
ฟังเพลงนี้ไปแล้วน้ำตาไหลไป เหมือนเราร้องเพลงรดหน้าตัวเราเอง
คำพวกนั้นมันกลับมาฆ่าเราเอง”

“คุณแต่งเพลงจากความสุขได้มั้ย”
ผมถาม

“น้อยนะ
เราไม่ได้ตั้งตัวว่าจะเป็นคนแต่งเพลงหม่น
เรื่องที่เราเจอมันอาจเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสุขมาก
ในอัลบั้มสามเราลองทำเพลงที่มีความสุข แต่พอให้คนที่สมอลล์รูมฟังก็ส่ายหัวกัน”

“กลัวมั้ยว่าถ้ามีความสุขมากแล้วจะทำงานไม่ได้”

“ไม่นะ เราก็อาจจะเขียนเพลงอีกแบบนึง”
เขาหยุดคิดครู่นึง “เราเคยคิดว่าคนเราเวลามีความสุข เดี๋ยวจะมีความทุกข์ตามมา 2
ครั้ง โตมาก็รู้ว่าไม่จริงหรอก
เราเชื่อว่าที่สุดแล้วความสุขความทุกข์มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องถาวร
เราอยู่กับความทุกข์ตลอดเวลาไม่ได้ แล้วมันก็ไม่มีความสุขที่เป็นนิรันดร์น่ะ”

เพลงของเขาเป็นเรื่องส่วนตัว
เขาเคยทดลองเล่าเรื่องหนักๆ ในสังคมมาบ้างในเพลง คำตอบ
ซึ่งเป็นช่วงที่ความขัดแย้งทางการเมืองโหมกระหน่ำ ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร
เขาจะเล่าจากจุดเล็กๆ
ในจิตใจคนมากกว่าเล่าพาดพิงตัวบุคคลโดยไม่กลัวจะถูกครหาว่าเป็นศิลปินที่เล่าแต่เรื่องตัวเอง

“เราแค่รู้สึกว่ามันมีคนทำหน้าที่นั้นอยู่แล้ว
ใครถนัดทำข้าวมันไก่ก็ทำไปเถอะ เราอาจถนัดทำก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อน้ำใส
ไม่ใช่ว่าเขาทำอย่างนั้นได้ดีแล้วเราก็ลองทำบ้าง
เราอาจขายแค่กล้วยแขกธรรมดาที่อร่อยฉิบหายก็ได้ ทำให้ชัดไปเถอะว่าเราถนัดอะไร
ชอบทำอะไร”

คุยกันทุกครั้ง
เขาพูดถึงความจริงและความซื่อสัตย์บ่อยมาก ผมสงสัยว่าสำหรับเขามันสำคัญยังไง

“ความจริงมันไม่หลอก
เราสบายใจกับความจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ต่อให้ผิดหวัง
เราก็จะรู้ว่ามันเป็นความจริง

“เวลาเจอเรื่องแย่ๆ
เราจะอยู่กับมัน พยายามหาคำตอบให้ตัวเราเอง
ถ้าหาไม่ได้ก็อยู่กับตัวเองจนใจนิ่งแล้วค่อยทำอย่างอื่น ระหว่างที่จมก็ทรมาน
แต่ช่วงเวลานั้นเราก็ได้เห็นความจริงที่อยู่รอบตัวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แล้วเราก็เอามันมาถ่ายทอด”

“ถ้าวันนึงเพลงของคุณขายไม่ได้อีกแล้วจะยังทำอยู่มั้ย”
ผมถาม

“ไม่แน่ใจ
ถ้าถึงวันที่คนไม่ฟังเพลงเราแล้วแต่เราอยากทำมันมาก เราก็ทำนะ เหมือนกับเพลง ป่าสนในห้องหมายเลข
1
เราแค่อยากแต่งเพลงให้คงเดชมาก ไม่ได้กำหนดว่าต้องถูกใช้เป็นเพลงประกอบหนัง
พอมันโดนใช้ก็เป็นโบนัส”

เขาหงุดหงิดเวลาเห็นวงดนตรีที่ยึดติดในสไตล์การเล่นมากเกิน
ท่อนกีตาร์ที่เคยสร้างชื่อแต่ผ่านไปเป็นปีก็ไม่ยอมเปลี่ยน
เขาถือว่าเป็นการย่ำอยู่กับที่มากกว่าความเชี่ยวชาญ
เส้นแบ่งระหว่างสองสิ่งช่างเบาบาง แต่เขาเชื่อว่าหากคนคนนั้นตั้งใจก้าวไปข้างหน้า
เขาจะได้พบสิ่งใหม่เสมอ

“ถ้ามีช่างภาพคนนึงที่เก่งมาก
แต่ไม่สนใจว่าโลกเรามีกล้องบนมือถือที่แชร์รูปได้ มันก็ปิดกั้นตัวเองไปหน่อย
เราเคยแอนตี้คอมพิวเตอร์และดิจิทัล แอนตี้แล้วได้อะไรขึ้นมา
ถ่ายรูปจากกล้องมือถือมันก็โคตรสะดวก ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าต่อไปนี้จะไม่ถ่ายฟิล์ม
ไม่ได้เอาพลังจากตัวเราไป”

“เราไม่เคยพูดว่าความรักเป็นเรื่องแย่
เราเชื่อว่าความรักเป็นเรื่องดี แต่เราไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับคนทุกคนแค่นั้นเอง”

(จากคอลัมน์ a day with a view – a day 145 กันยายน 2555)

ภาพ นวลตา
วงศ์เจริญ

คลิกอ่านบทสัมภาษณ์ตอนอื่นๆ ได้ที่นี่
ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 4

AUTHOR