ในระหว่างที่เดินมีคนมองว่าอาจารย์เป็นคนบ้าเยอะไหมครับ
คนในเมืองมากว่าครึ่งคงคิดว่าผมเป็นคนบ้า
เนื้อตัวสกปรกเพราะน้ำไม่ค่อยได้อาบ เหงื่อโทรม เหม็น หน้าตาดำคล้ำแดด
สภาพแบบนี้เขาอาจจะคิดว่าผมเป็นไม่ปกติ ผมกลับพบว่ามันมีความรู้สึกที่ดีนะ เช่น
ผมเดินไปบนถนนแล้วมีวันรุ่น 3 คนขี่มอเตอร์ไซค์มาทำเสียงบรึ้นๆ เสียงดังใส่ผม
ผมก็ต้องทำตัวเป็นคนบ้า ถ้าผมบอกว่าผมไม่บ้า อย่ามาแกล้ง เขาก็คงผิดหวัง
อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เดินอยู่ข้างถนนกับคนเร่ร่อนต่างกันตรงไหนครับ
นี่คือสิ่งที่ผมต้องการ
มนุษย์มีเครื่องประดับอาภรณ์ทางสังคม เรามียูนิฟอร์มรูปแบบต่าง ๆ มาสวมใส่
จึงทำให้มนุษย์คนหนึ่งเป็นข้าราชการ มนุษย์คนหนึ่งเป็นพ่อค้า คนหนึ่งมีอำนาจ
คนหนึ่งไม่มีอำนาจ ผมต้องการเป็นมนุษย์เฉยๆ ผมเชื่อว่าความเป็นมนุษย์มันสื่อสารกันได้
แต่เราสื่อสารกันไม่ได้เพราะคนหนึ่งเป็นพ่อค้า อีกคนเป็นลูกค้า
แล้วเราก็คิดเอาประโยชน์จากกันและกัน คนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่คอยปราบปรามผู้ร้าย
ถามว่าต่างกันตรงไหน ผมก็แยกความแตกต่างไม่ได้ แต่ประเด็นก็คือทันทีที่เราไม่มีตำแหน่งแห่งหน
ไม่มีเครื่องประดับทางสังคม
เรามีเนื้อตัวล่อนจ้อนทางสังคมมันทำให้เรามีความเป็นมนุษย์ ถ้าผมแสดงความเป็นอาจารย์ก็หวังว่าจะได้ความเคารพจากผู้อื่นในสังคม
ผมแสดงความเป็นผู้มีความรู้ก็หวังว่าจะได้การยอมรับในแง่ความคิดความเชื่อของผม
แต่วันหนึ่งที่ผมไม่ได้เป็นอะไรเลย
ผมกลับพบว่ามันมีความงดงามในความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
ผมพบกับสามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นคนเก็บขยะอยู่ริมถนน
เขาเห็นผมโทรมกว่าเขาอีก แล้วก็รู้ว่าผมหิว เขาเลยบอกว่าจะซื้อข้าวให้ลุง
ผมก็บอกไม่ต้องหรอก เขาก็บอกมีตังค์ เอาออกมาให้ดูด้วย แล้วเขาก็พอผมไปที่ร้านอาหารสั่งแบบที่เป็นเพิง
เขาสั่งข้าวผัดให้ผม แต่เขาไม่กินเพราะวันนั้นเป็นวันพระ เขากินเจ
ในขณะที่ผมนั่งกินข้าว ภรรยาก็คุยกับสามีว่า พ่อ เพราะวันนี้เราถือศีลกินเจ
เราเลยมีบุญได้พบลุง ได้ให้อาหารแก่ลุง ผมกลืนข้าวเกือบไม่ลงเลย
คำพูดของเขามันง่ายๆ แต่สะเทือนใจมาก ผมบอกว่า ผมต่างหากที่ควรจะพูดว่า
เพราะวันนี้ผมไม่มีสตางค์ ไม่มีเกียรติ ไม่มีสถานะทางสังคม
ผมจึงมีบุญได้พบกับคุณทั้งสอง มีบุญได้กินอาหารที่คุณให้ ผมกินข้าวไปน้ำตาไหลไป
นี่ไง คือความงดงามของมนุษย์ มนุษย์ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผมแต่งตัวโทรม เนื้อตัวสกปรก
สังคมรังเกียจ แต่มีสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งเขาก็ถูกสังคมรังเกียจเหมือนกัน
เขาจึงไม่รังเกียจผม ให้อาหารผม แล้วยังบอกว่าเพราะเขามีบุญถึงได้พบผม
มันเป็นอะไรที่มีความหมายเชิงอารมณ์สูงมาก
อาจารย์ได้เรียนรู้อะไรจากคนที่ถูกจัดว่าเป็นชนชั้นล่างๆ ในสังคมบ้างครับ
มนุษย์มีความงดงามอยู่ภายใน
ผมยืนยันเลย แต่สังคมที่เราอยู่ร่วมกัน บางครั้งก็โหดร้ายและรุนแรง
มนุษย์อยากมีเกียรติ แต่เราไม่ให้เกียรติเขา มนุษย์อยากรักผู้อื่น
แต่เราก็ไปเกลียดชังรังเกียจเขา ผมไปขอพักที่วัดกำมะเชียร จังหวัดสุพรรณบุรี
ที่นั่นผมได้พบกับไอ้น้อย เขาเป็นคนที่ไปขอข้าวสาร
ไปขอน้ำพริกตาแดงของพระเอามาละลายน้ำร้อนแล้วไปหาผักมาต้มให้กิน การกระทำของเขาทำให้ผมไม่รู้จะพูดยังไง
ผมมาจากโลกที่มีอำนาจ มีความคิดวิจิตรตระการ
มีความคิดซับซ้อนที่เรียนเท่าไหร่ก็ไม่หมด แต่โลกของเขาง่ายมากเลย ชื่อจริงไม่มี
บัตรประชาชนไม่มี มีคนพบไอ้น้อยเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่ที่ตลาดท่าช้าง ไม่รู้ใครเอามาทิ้งเอาไว้
สุดท้ายเขาก็ได้มาอยู่ที่วัด เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน
รู้แค่เขามีชีวิตอยู่ แล้วคอยรับใช้พระ เขามีชีวิตที่เรียบง่ายคล้ายเป็นคนปัญญาอ่อน
ผมว่านี่คือชีวิตมนุษย์ที่งดงาม เป็นเนื้อตัวของมนุษย์จริงๆ
ที่ไม่ได้มีอาภรณ์ตกแต่งเลย ผมเสียดายมาก
ถ้าสังคมของเราไปทำให้ความงดงามของมนุษย์มันหม่นหมองหรือถูกปกปิด
มนุษย์มีอาภรณ์ประดับกายมาก
บางครั้งก็แย่งชิงอาภรณ์ประดับกายกันจนทำลายความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
เราแย่งชิงทรัพย์สินเงินทองที่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภคภายนอกเพราะกลัวว่าจะไม่มีกิน
เราเลยเก็บไว้เยอะๆ เรากลัวจะมีอันตรายเบียดเบียนผู้อื่น
นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากคนชนชั้นล่างๆ ระดับที่นั่งขอทานอยู่ริมถนน
มีเรื่องแย่ๆ จากการเดินทางครั้งนี้บ้างไหมครับ
ถ้ามองในแง่แสวงหาการยอมรับ
แสวงหาความสะดวกสบาย เรื่องแย่มีเยอะ เพราะเราถูกปฏิเสธ ไม่ถูกยอมรับ
ถูกทำให้ตกต่ำ ต้องไปนอนคลุกฝุ่นกับหมาข้างถนน แต่ผมไม่ได้คิดไปแสวงหาการยอมรับ
แสวงหาความสะดวกสบาย เมื่อไม่ได้คิดหวังเช่นนั้น เมื่อผมถูกปฏิเสธ
บางครั้งผมขอบคุณด้วยซ้ำที่ทำให้ผมมีโอกาสเช่นนี้ เช่น
ผมได้นอนในศาลาที่ติดกับเมรุเผาศพ เป็นช่วงที่หมากำลังติดสัดพอดี
กลางคืนหมาตัวเมียตัวผู้ฝูงหนึ่งมันก็มาผสมพันธุ์กัน มันเห่า มันกัดกัน
แล้วก็มากัดกันในศาลาที่ผมนอน กัดกันจนมากระแทกผมเลยนะ เหมือนผมเป็นหมาตัวหนึ่ง
ตอนแรกผมนึกจะไปไล่มัน ผมเหนื่อยอยากนอน แต่ผมก็คิดได้ว่า
มันเป็นหน้าที่ของหมาที่ต้องสืบพันธุ์กันไม่ให้สูญเผ่าพันธุ์
แล้วก็เป็นหน้าที่ของผมเหมือนกันที่ต้องเข้าใจและเห็นใจหมา ปีหนึ่งหมามีฤดูนี้สั้นๆ มนุษย์เรามีฤดูนี้ทั้งปี เรายังไม่เห็นใจกันเลย (หัวเราะ)
มีคนจำนวนมากออกเดินทางเพื่อแสวงหาตัวตนของตัวเอง
ทำไมเราถึงเจอตัวตนของตัวเองได้จากการเดินทางละครับ
ตัวตนของเราไม่ได้รวมศูนย์อยู่ที่ตัวตนของเราเท่านั้น
ตัวตนของเราคือความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย ซึ่งเราจะพบไม่ค่อยได้ถ้าเราอยู่ที่เดียว เราต้องไปหา ถ้ามีความสัมพันธ์ที่ดี เราก็จะมีตัวตนที่งดงาม
ถ้าเรามีคนที่รักกันพึงพอใจกัน เราก็จะมีชีวิตที่งดงามที่น่าอยู่ต่อไป
แต่ถ้าอยู่กับคนที่เราเกลียดเขา เขาเกลียดเรา ความโกรธแค้นมันเร่าร้อน
ถ้าฆ่าเขาได้ก็อยากฆ่า แต่ถ้าฆ่าไม่ได้ก็ฆ่าตัวเองดีกว่า ตัวตนที่สวยงามมันจึงตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนมนุษย์และสัตว์อื่นๆ
ภรรยาของอาจารย์คิดยังไงบ้างครับกับการเดินครั้งนี้
ภรรยาผมเป็นห่วงมาก
แต่ว่าเราไม่ได้ทำในทันทีทันใด ภรรยาผมรู้ว่าชีวิตที่ผ่านมานั้น เราอยู่กันอย่างไร
มีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างไร เธอจึงเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกปรารถนาของผมมาตลอด
ผมพูดเสมอว่าผมจะไม่ทำอะไรที่ผมทำแล้วมีความสุข แต่ภรรยาผมมีความทุกข์
ถึงผมจะไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง ผมก็ยอม การลาออกจากราชการก็เช่นกัน
ผมให้ภรรยาเป็นคนตัดสินว่าเมื่อไหร่ เพราะผมพร้อมจะออก ณ วินาทีไหนก็ได้
แต่เธอพร้อมที่จะรับสภาพเมื่อไหร่ว่าสามีคนหนึ่งเหลวไหลหรือยังไงก็ไม่รู้ล่ะ
ผมไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ ถ้าภรรยาไม่อนุญาตและไม่มีความสุขกับการกระทำของผม
วันหนึ่งเราแวะไปซื้อสลัดผักที่ตลาด
เราเคยไปซื้อหลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยคุยกับน้องผู้หญิงที่เป็นคนขาย
วันนั้นเธอถามเราว่า พี่ไปไหนมา ไม่เห็นแวะมาที่นี่หลายวัน ผมก็ตกใจ เพราะก่อนหน้านี้ผมกับภรรยาเพิ่งไปเที่ยวพม่ามันมาสิบกว่าวัน
ผมถามเธอว่ารู้ได้ยังไง คำพูดของน้องผู้หญิงคนนี้คือ น้องยืนดูพี่ทั้งสองทุกวัน
เวลาที่พี่เดินจับมือกันเข้ามาแล้วจับมือกันออกไป หนูมีความสุขมาก
คำพูดเขาง่ายมากเลยนะ พอเราเดินออกมาถึงลานจอดรถ ผมจับมือภรรยาผมกำแล้วบอกว่าความรักไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
แต่เป็นความงดงามของชีวิต ถ้าเราทำให้มันปรากฏได้ วันนั้นเป็นวันเริ่มต้นเลยที่ภรรยาให้กำลังใจผม
ทำให้เห็นว่าเราสามารถทำในสิ่งนี้ได้ด้วยความรักที่เรามีร่วมกัน
เราต้องการให้คนเห็นว่า คนที่รักกันสามารถเกื้อกูลกันให้ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
ด้วยเหตุผลนี้ภรรยาผมจึงมีความสุขที่ได้เห็นผมทำ
อาจารย์เขียนอะไรในโปสการ์ดที่ส่งถึงภรรยาทุกวันบ้างครับ
จริงๆ
ผมเขียนได้ไม่ดีเพราะไม่มีสถานที่เหมาะจะเขียน
บางวันก็นั่งข้างถนนชันเข่าขึ้นมาแล้วเขียนๆ บางวันผมไม่มีแม้กระทั่งแสงไฟที่จะเขียน
ก็ไม่ได้มีรายละเอียดมากเพราะเนื้อที่ในโปสการ์ดมันเล็ก
ไม่สามารถที่จะพรรณนาความอะไรได้มาก
วันนี้เดินจากไหนถึงไหนหรืออะไรที่รู้สึกได้ว่าเป็นความทรงจำที่ดีหรือไม่ดี
ผมจะเล่าให้ฟัง ผมอยากให้เขาพบและประจักษ์แจ้งถึงความสำเร็จในเชิงจิตใจ
เราตั้งเป้าหมายกันว่าเราจะร่วมเดินทางออกจากความรู้สึกหวงแหนเสียดายในสิ่งที่เรามีอยู่
เราจะเดินออกจากความเกลียด ผมพยายามจะเน้นให้ภรรยาเห็นว่า
วันนี้ผมข้ามพ้นอะไรบางสิ่งบางอย่างได้ เช่น ผมสามารถดีใจได้เมื่อรู้ว่าตัวเองลืมแปรงสีฟันกับยาสีฟันไว้ที่วัด ความดีใจนี้มันแสดงให้เห็นว่าเราเริ่มข้ามพ้นกับสิ่งที่ติดยึดที่มีอยู่ได้
ที่อาจารย์บอกว่าพร้อมจะตายได้ในทุกขณะ อาจารย์ไม่ห่วงภรรยาหรือครับ
เราเคยคุยกันว่า
ชีวิตของทุกคนพร้อมจะแตกดับ ใครจะแตกดับก่อนใครไม่รู้
ประเด็นไม่ใช่ว่าเราอยู่ร่วมกันนาน แต่อยู่ที่ช่วงเวลาที่เราอยู่ร่วมกัน เรามีคุณค่าความหมายของการได้อยู่ร่วมกันดีงามไหม
ในสมุดบันทึกหน้าแรกของผมเขียนพุทธวนะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
แม้นจะมีชีวิตอยู่สักร้อยปี แต่จิตใจเราไม่ประจักษ์แสงอุดมธรรม
(ภาวะธรรมชั้นสูงที่ทำให้จิตใจเราเบิกบาน) ก็สู้มีชีวิตอยู่เพียงราตรีเดียว
แต่จิตใจได้สัมผัสรู้อุดมธรรม เราจะอยู่ด้วยกันกี่วันไม่สำคัญหรอก แต่ทุกๆ
วันที่เราอยู่ เราควรจะมีความรัก ความรู้สึกดีๆ ต่อกัน
อย่าปล่อยให้ความรู้สึกกังวล ระแวง สงสัย
ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันเข้ามาทำลายความงดงามในการมีชีวิตคู่ ถ้าวันหนึ่งผมต้องตายก่อนหรือเธอต้องตายก่อน
ผมว่าเราก็มีความรู้สึกภาคภูมิใจว่าชั่วขณะที่เรามีชีวิตอยู่ร่วมกัน
เรามีความรักต่อกันและกัน
พอเดินทางถึงเกาะสมุยแล้วมีอะไรเกิดขึ้นบ้างครับ
จริงๆ
ผมมีเจตนาจะอยู่สมุยอีกสัก 2 – 3
วันเพื่อให้ซาบซึ้งกับบรรยากาศบ้านที่อยากจะกลับมา
แต่น้าสาวผมบอกว่าให้ผมกลับทันทีเลยครับเพื่อให้ผมรีบกลับไปพบกับภรรยาให้เร็วที่สุด
ในฐานะของผู้หญิงที่คงเห็นใจผู้หญิงด้วยกัน
ความรู้สึกของการเดินเท้าไป 66 วัน กับการใช้เวลานั่งทัวร์กลับ 1 วัน
ต่างกันยังไงบ้างครับ
ต่างมากครับ
สิ่งที่ผมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งตอนนั่งรถขากลับก็คืออยากดูสถานที่ซึ่งผมเคยเดินผ่านด้วยความเหน็ดเหนื่อย
เช่น ผมอยากดูจุดที่ผมยืนอยู่ตรงแยกสลกบาตรว่า ณ
จุดนั้นผมเคยต่อสู้อย่างน่าหวั่นไหวมาก แต่รถทัวร์วิ่งเร็วจนสี่แยกสลกบาตรผ่านไปโดยผมไม่ได้ใคร่ครวญอะไรเลย
ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกที่คิดว่าความเร็วเป็นเป็นความดี บางทีก็ไม่เสมอไป
หลายครั้งความเร็วทำให้เราสูญเสียโอกาสในการใคร่ครวญพิจารณารายละเอียดบางประการ
หรือเสียโอกาสในการมองเห็นความงดงามบางสิ่ง จริงๆ
แล้วความช้าเป็นความดีและความงามได้
ตอนเดินลงจากอินทนนท์ผมพบว่า
ผมคิดถึงชีวิตขาลง หลังจากผ่านวัยกลางคนแล้วชีวิตผมตอนนี้เหมือนชีวิตขาลงเป็นชีวิตที่น่ากลัว
ไม่น่าประทับใจ ผมพบว่าไม่ใช่ ในชีวิตขาลง ถ้าเราลงเป็น มันจะเป็นชีวิตที่งดงาม
เป็นชีวิตที่ทำให้เรามีโอกาสได้ใคร่ครวญเพ่งพินิจพิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างละเอียด
แล้วในการพิจารณาอย่างละเอียดนั้นจะพบความงดงามของชีวิต
เมื่อก่อนเราเคยคิดว่าดอกไม้ที่งามคือดอกไม้ที่มันเบ่งบาน
แต่มาวันนี้ผมกลับพบว่าดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาแล้วก็มีความงดงามไม่น้อยกว่าดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน
มันบอกอะไรเราเยอะมากเลย เมื่อใดก็ตามที่จิตของเราสัมผัสความงามของดอกไม้ได้ทั้งยามผลิ
ยามบาน กระทั่งยามที่มันร่วงโรย นั่นแสดงว่าเราเข้าถึงอะไรที่ยิ่งใหญ่แล้ว
เราสามารถเบิกบานชีวิตของเราได้ทั้งยามหนุ่ม ยามกลางคนและยามแก่
(จากคอลัมน์ a day with a view – a day 79 มีนาคม 2550)
อ่านบทสัมภาษณ์ตอนอื่นๆ ได้ที่นี่
ภาพ ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ