เป็นเวลายี่สิบกว่าปีแล้วตั้งแต่โลกได้รู้จักไตรภาค The Matrix หนังไซ-ไฟปรัชญาเหนือกาลเวลาที่ดูเอาสนุกก็ได้ ดูเอาลึกก็ตอบโจทย์ ที่มักจะถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้งจนถึงทุกวันนี้
การฟื้นคืนชีพของ The Matrix ในภาค 4 ที่มีชื่อว่า ‘Resurrections’ ที่คนเขียนบทเปรยๆ ว่าจะไม่ใช่ภาคต่อจากภาคสาม แต่ก็มีองค์ประกอบจากทั้งสามภาคอยู่ครบ ทำให้อดไม่ได้ที่จะกลับไปสำรวจตรวจสอบไตรภาคนี้ใหม่อีกครั้ง พร้อมกับแอนิเมชั่นเสริมเรื่องราวที่สำคัญไม่แพ้ไตรภาคหลักอย่าง The Animatrix แล้วกลั่นกรองมาเป็นบทความนี้เพื่อชวนผู้อ่านคิดวิเคราะห์และทบทวนเพื่อเตรียมพร้อมก่อนที่จะ ‘หวนกลับสู่แหล่งกำเนิด’ อีกครั้งตามคำโปรยของภาคล่าสุด
บทความนี้จะเป็นการพูดถึงทั้ง 3 ภาค กับอีก 1 เรื่อง ที่แม้จะรับประกันได้ว่ายาวและเนื้อหาอัดแน่นแน่ แต่เมื่ออ่านจบจะพบว่าเป็นเรื่องราวที่อยู่ภายในเม็ดยาสีแดงและสีน้ำเงินเท่านั้นเอง ฉะนั้นเลยขอล้อเลียนหนังด้วยการหยิบยื่นยาสองเม็ดให้ เม็ดนึงคืออ่านถึงตรงนี้แล้วกลับไปใช้ชีวิตปกติ อีกเม็ดคือกินแล้วจะอ่านจนจบ แล้วจะได้เห็นว่าโพรงกระต่ายที่เต็มไปด้วยตัวอักษรนี้ลึกแค่ไหน
(เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยรายละเอียดสำคัญ The Matrix Trilogy และ The Animatrix)
The Matrix (1999) เพาะพันธุ์มนุษย์เหนือโลก 2199
เรื่องราวเริ่มต้นที่ห้องเล็กๆ ของ โทมัส เอ. แอนเดอร์สัน (Thomas A. Anderson) ผู้มีสองชีวิต กลางวันเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา กลางคืนเป็นแฮ็กเกอร์นามแฝงว่า ‘นีโอ (Neo)’ บนหน้าจอมีข่าวการหลบหนีของมอร์เฟียส (Morpheus) และข้อความปริศนามาจากทรินิตี้ (Trinity) ที่บอกให้เขาตาม ‘กระต่ายขาว’ ไป ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตู
“นายเคยรู้สึกอย่างงี้มั้ย รู้สึกไม่แน่ใจว่านายกำลังตื่นหรือฝันอยู่” นีโอถามโพล่งออกไปกับลูกค้าที่ใช้บริการแฮ็กเกอร์ของเขา ซึ่งไม่ได้คำตอบที่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ แต่รอยสักของผู้หญิงที่มาด้วยทำให้เขาตัดสินใจที่จะตามไปอย่างไม่ลังเล ซึ่งนั่นทำให้เขาได้พบกับทรินิตี้ กระต่ายตัวจริงที่มารับช่วงต่อจากรอยสักด้วยการมาพูดกรอกหูให้อยากรู้อยากเห็นมากกว่าเดิม และตามเธอไปพบกับ ‘คำตอบ’ ที่นีโอต้องการมาตลอด
ในช่วงต้นนี้มีตัวเลขสำคัญสองชุด ชุดแรกคือ 506 ก่อนที่กล้องจะซูมเข้าเลข 0 และเลขห้องของนีโอคือห้อง 101 ที่จะพูดถึงในภายหลัง
สิ่งที่นีโอกำลังรู้สึก ทำให้นึกถึงปรัชญาความฝันของจวงจื่อแห่งสำนักเต๋าที่ครั้งหนึ่งเคยฝันว่าตัวเองเป็นผีเสื้อ และเมื่อตื่นมา เขาเกิดคำถามในใจว่าแท้จริงแล้ว ‘ตนเองเป็นคนที่ฝันว่าตัวเองเป็นผีเสื้อ หรือเป็นผีเสื้อที่ฝันมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนกันแน่’ นีโอรู้สึกไม่มั่นใจแล้วว่านี่คือชีวิตของเขา และเขาต้องการรู้ว่าเมทริกซ์คืออะไร และมันคือสิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นในชีวิตที่น่าเบื่อ และหารู้ไม่ว่าจะเปลี่ยนมุมมองของเขาที่มีต่อโลกไปตลอดกาล
วันต่อมานีโอถูกเจ้านายด่าในขณะที่กำลังเหม่อลอย มองไปยังคนเช็ดกระจก โดยประโยคที่เจ้านายด่าว่า “คุณแอนเดอร์สัน คุณคิดว่าคุณเป็นคนพิเศษ ไม่มีกฎข้อบังคับใดๆ ใช้กับคุณได้ (ตลกร้ายตรงที่หลังจากนี้มันดันเป็นเรื่องจริง) แต่ผิดถนัด นี่คือบริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำของโลก ถ้าพนักงานมีปัญหา บริษัทก็จะมีปัญหาด้วย คุณต้องตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ที่โต๊ะทำงานตรงเวลาตั้งแต่วันนี้ หรือไปเดินเตะฝุ่น” จากนั้นเขาก็กลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะทำงานที่เป็นบล็อกสี่เหลี่ยมเหมือนๆ กันหมด ดูเป็นลูป เป็นวังวนชีวิตรูปแบบเดิมๆ ที่น่าเบื่อหน่าย
ประโยคนี้และฉากนี้เป็นการ foreshadow หรือเผยล่วงหน้าถึงเนื้อหาอีกเลเยอร์นึงที่หลบซ่อนจากชีวิตนีโอมาตลอด นั่นก็คือเขาเป็นคนพิเศษ บริษัทเปรียบได้ดั่งระบบเมทริกซ์ และหากเขาขัดขืนต่อต้าน ไม่ทำตามระบบ เมทริกซ์ก็จะไม่เป็นระเบียบและดำเนินต่อไปอย่างไม่ราบรื่น นีโอมีทางเลือกว่าเขาจะอยู่ในระบบนี้ต่อ หรือจะออกไป โดยการที่กลับไปนั่งทำงาน อีกทั้งการเป็นแฮ็กเกอร์เองก็บ่งบอกได้เช่นกันว่านีโอนั้นมีเนเจอร์ของความขบถ สงสัยใคร่รู้ และไม่ยอมจำนนต่อรูปแบบ
จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์และสายเรียกเข้าจากมอร์เฟียส บอกว่านีโอถูกสายลับหรือเอเจนท์ตามล่าหาตัวเพื่อสอบสวน มอร์เฟียสบอกทางหนีทีไล่ให้กับนีโอ แต่เมื่อมาถึงการปีนตึกสูง เขาไม่กล้าและยอมจำนน ตรงนี้จะสังเกตได้ว่า นีโอมีแค่พูดคำว่า “บ้าชัดๆ” “ไม่ไหวหรอก” “ตายแน่” “เราไม่ใช่คนสำคัญ ไม่ใช่ใครเลย” เขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้ และไม่เชื่อมั่นในตัวเอง สุดท้ายเลยลงเอยด้วยการถูกจับตัวแล้วหยอดเครื่องติดตามเข้าทางสะดือ
The Matrix เป็นความตั้งใจของผู้กำกับสองพี่น้องลิลลี่และลาน่า วาชอว์สกี้ ที่ตั้งใจเสียดสีทุนนิยมกับอำนาจรัฐ ฉากพูดไม่ได้ด้วยการที่จู่ๆ ปากก็หายไปและไม่มีทางขัดขืนได้นี้ แสดงถึงความล้นพ้นของเจ้าหน้าที่ที่ปิดปากไม่ให้พูด ไม่ให้ใช้สิทธิ์ ไม่ให้ตั้งคำถาม แต่เนเจอร์ความเคลือบแคลงใจของนีโอก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ มันนำพาเขาไปเจอทรินิตี้อีกครั้ง และเจอมอร์เฟียสในที่สุด และเขาก็ได้รับคำตอบว่า เมทริกซ์คืออะไร? และชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร?
การที่นีโอโชว์นิ้วกลางใส่สายลับอาจดูหยาบคาย แต่มันสะท้อนถึงการพูดว่า “f*ck the system” หรือการไม่สนไม่แคร์ระบบนั่นเอง
“จะบอกให้ว่าคุณมาที่นี่ทำไม คุณมาเพราะคุณรู้อะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ คุณรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติกับโลกใบนี้แม้คุณจะไม่รู้ว่าคืออะไร ความรู้สึกนี้นำคุณมาหาผม เพื่อถามผมว่าเมทริกซ์คืออะไร? มันอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุกที่ รอบๆ ตัวเรา ข้างนอกนั่น และในห้องนี้ก็ด้วย มันเป็นโลกที่สร้างมาเพื่อลวงคุณและปิดบังคุณไม่ให้เห็นความจริง ความจริงที่ว่า คุณเป็นเพียงแค่ทาสคนนึง คุณเกิดมาเพื่อถูกจองจำในคุกที่ไม่สามารถลิ้มรส สัมผัส ดูดดม เป็นเรือนจำขังจิตใจคุณ” นี่คือสิ่งที่มอร์เฟียสบอกกับนีโอ พร้อมกับอีกประโยคเด็ด “ยินดีต้อนรับสู่ทะเลทรายแห่งโลกความจริง (desert of the real world)”
นีโอค่อนข้างช็อกเมื่อได้รู้ความจริงว่าทุกสิ่งที่ผ่านมา ชีวิต ความทรงจำ ประสบการณ์ และสิ่งรอบตัวที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 มาตลอดนี้คือของปลอมที่รับรู้โดยตัวเขาแบบดิจิทัล (ditital self) หรือเป็น ‘ห้วงความฝันไซเบอร์’ และสิ่งที่มอร์เฟียสพูดคือความเป็นจริงที่ใจอยากปฏิเสธ ความจริงที่ว่านี่คือปี 2199 ไม่ใช่ 1999 ความจริงที่ว่ามนุษย์ถูกใช้เป็นถ่านที่ให้พลังชีวิตในรูปแบบกระแสไฟฟ้าแก่เหล่าเครื่องจักร ความจริงที่ว่ามนุษย์พ่ายแพ้ให้แก่ปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) จนต้องไปอยู่ในนครใต้ดินอย่าง ไซออน (Zion) ที่เป็นที่มั่นสุดท้ายของมนุษยชาติ และโลกจริงไม่ได้น่าอยู่เลยสักนิด ความหมายของชีวิตเขามีแค่นั้น แค่เกิดมาเป็นถ่าน อยู่กับความฝัน และตายไป
ไม่เคยได้ใช้ตาหรือกล้ามเนื้อจริงๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว มากสุดก็แค่กระตุก กะพริบตาถี่ๆ เหมือนตอนเราหลับฝัน และดิ้นเล็กน้อย ภายในสิ่งที่ทำหน้าที่ครบวงจรเป็นทั้งครรภ์ โลกทั้งใบ และโลงศพให้กับเขา
ทฤษฎีที่ควรนำมาพูดถึงความจริงและโลกจำลองในหนัง The Matrix มี 3 ทฤษฎีด้วยกัน
ทฤษฎีแรกอยู่ในหนังสือ Simulacra and Simulation ของ ฌอง โบดริยาร์ด (อยู่ในห้องของนีโอในตอนต้นเรื่อง) ที่ว่าด้วยแนวคิดภาพจำลองและการที่ชีวิตคนเราอยู่ในโลกซิมูเลชั่นหรือการสร้างภาพเสมือน
ทฤษฎีต่อมาคือ Brain in a Vat ของ กิลเบิร์ต ฮาร์แมน (Gilbert Harman) ที่ว่าด้วยสมองที่ไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามันอยู่ในโหลแก้วหรืออยู่ในกะโหลกมนุษย์ อยู่ในความจริงหรืออยู่ในภาพลวง อย่างที่มอร์เฟียสพูดกับนีโอว่า “อะไรคือความจริงล่ะ? ถ้านิยามว่าความจริงคือการมองเห็น สัมผัส รับกลิ่น รับรส ถ้างั้นความจริงก็เป็นแค่สัญญาณไฟฟ้าที่สมองแปลงออกมา”
ตามทฤษฎีนี้ ความจริงไม่ใช่ความเป็นจริงร่วมหนึ่งเดียวในเชิงภววิสัย (Objective) แต่เป็นความเป็นจริงประเภทอัตวิสัย (Subjective) ที่รับรู้ได้ด้วยการส่งกระแสไฟฟ้าระหว่างเซลล์สมอง และความรู้สึกว่าอะไรจริงไม่จริงกับอารมณ์ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองมนุษย์ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้ด้วยกระแสไฟฟ้าและการเชื่อมโยงเสียบปลั๊กอยู่กับโลกจำลองที่เครื่องจักรสร้างขึ้นมา จึงกลายเป็นความเป็นจริงที่ขอนิยามศัพท์ขึ้นมาใหม่ว่า ‘อัตภววิสัย (Sobjective)’ ที่ต้องพึ่งพิงมุมมองทั้งสองส่วนพร้อมๆ กัน
สมองในโหลถูกเชื่อมต่อเข้ากับสายไฟ เข้าใจมาตลอดว่าสิ่งที่เข้าใจและสิ่งที่รับรู้คือความเป็นจริง คือโลกทั้งใบ นั่นทำให้สมองกับร่างกายเป็นเหมือนฮาร์ดแวร์ โดยมีซอฟต์แวร์คือความทรงจำและการรับรู้ เข้าใจ ประสบ เก็บเกี่ยวระหว่างทางตั้งแต่จำความได้ หลอมรวมมาเป็นตัวตนของคนคนหนึ่ง ว่าแต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราไม่ได้กำลังเสียบปลั๊กหรืออยู่ในโหลแก้วใบหนึ่งเท่านั้น?
กับอีกทฤษฎีคือการอุปมาอุปมัยเรื่องถ้ำของเพลโต ที่นักโทษกลุ่มหนึ่งถูกจองจำในถ้ำให้หันไปในทิศทางเดียวตลอด นักโทษเหล่านั้นทำได้แค่มองเงาของวัตถุที่ตกกระทบมายังฝาผนังโดยมีแสงสาดอยู่ด้านหลัง คนเหล่านั้นไม่มีทางรู้เลยว่า แสงที่ทำให้เกิดเงาเป็นแสงอาทิตย์หรือแสงไฟที่สุมขึ้นมาเพื่อให้เกิดเป็นแสงและเงา อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเงาที่พวกเขาเห็นนั้นรูปร่างที่แท้จริงคืออะไร อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้กำเนิดเงานั้น หรือใครคือผู้อยู่เบื้องหลังเงาที่พวกเขาเห็น และเพื่ออะไร จนกว่าจะปลดแอกตัวเองให้เป็นอิสระแล้วออกจากถ้ำไปดูด้วยตาตนเอง
มอร์เฟียสหยิบยื่นยาสองเม็ดให้แก่นีโอ ได้แก่ยาเม็ดสีแดงและสีน้ำเงิน หากเลือกสีน้ำเงิน นีโอจะกลับไปใช้ชีวิตปกติตามเดิม และหากเลือกสีแดง เขาจะถลำลึกเข้าสู่โพรงกระต่ายแบบ one way อย่างไม่มีทางหวนกลับ (เป็นเรื่อง satire ที่ตามตำนานปรัมปราเทพกรีก มอร์เฟียสเทพแห่งความฝัน แต่ในเรื่องนี้เป็นคนปลุกนีโอให้ตื่นจากความฝัน)
สิ่งที่น่าคิดคือมาถึงตรงนี้ดูนีโอเหมือนจะมีทางเลือกสองทาง คือกินยาเม็ดใดเม็ดหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้วเขาได้เลือกเม็ดสีแดงไปตั้งแต่ตอนที่ตามกระต่ายสีขาวและมายังที่นัดหมายเพื่อเจอทรินิตี้แล้วอย่างไม่รู้ตัว นีโอกินยาสีแดงตั้งแต่เขาเลือกเดินออกจากห้อง และตอนนี้เขากินมันจริงๆ เพื่อคอนเฟิร์มว่าสิ่งที่เขาสงสัยนั้นคือสิ่งที่เขาเลือกจะรู้ และหากมองดีๆ จะเห็นได้ว่าโลกทั้งใบและการรับรู้ของนีโอต่อจากนี้ จะอยู่ภายใต้ยาสองเม็ด เหมือนที่ทั้งบทความนี้อยู่ภายใต้ลิงก์ลิงก์เดียว และผู้อ่านเลือกจะอ่านตั้งแต่คลิกลิงก์เข้ามาแล้ว และไหนๆ ก็กดเข้ามา จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะอ่านต่อไปว่าบทความนี้จะไปจบที่ไหน และสงสัยไป กลิ้งเมาส์ไถหน้าจอไปว่าจะได้รับรู้อะไรระหว่างทางบ้าง
และเม็ดสีแดงที่เขาหยิบจากมือมอร์เฟียส คืออีกโลกที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ร่างกายและสมองผูกผันกับมันด้วยการที่บรรพบุรุษกำเนิดมาจากมัน นั่นทำให้เขาได้พบความจริงว่าตัวเองไม่เคยมีชีวิต ไม่เคยมองเห็น ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้มันเลย เขาได้แต่ฝันอยู่ในฝักที่มีสายระโยงระยางเชื่อมต่ออยู่ แต่บัดนี้เขาได้ตื่นขึ้นแล้ว ซึ่งถึงตรงนี้จำเป็นที่จะต้องพูดถึง The Animatrix ที่เป็นคลังเรื่องราวที่บอกเล่าเกี่ยวกับการตื่นรู้และเหตุการณ์ก่อน The Matrix ก่อนที่จะไปสู่เนื้อหาถัดไป
The Animatrix (2003)
เนื้อหาที่ไม่รู้ก็ได้ แต่หากรู้จะช่วยเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวาล The Matrix ได้เป็นอย่างดี The Animatrix ว่าด้วยเรื่องราวที่เรารู้อยู่แล้วที่หลังจากดูแล้วจะรู้มากขึ้น เรื่องราวที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และเรื่องราวที่เราไม่เคยรู้ว่าตัวเองไม่รู้ ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก Matrix และโลกความจริง
ส่วนสำคัญที่อยากหยิบยกมาพูดถึงคือเรื่องราวของการตระหนักรู้ถึงตัวตนและโลกความจริงที่แตกต่างกันออกไป
เรื่องราวแรก ‘Kid’s Story’ เป็นของ คิด (Kid) เด็กที่โผล่มาในภาคสองที่นับถือนีโอและขอบคุณที่นีโอช่วยปลดแอกเขา เราจะได้พบว่าเขาสงสัยกับความเป็นจริงมาโดยตลอด รู้สึกว่าทุกอย่างไม่จริงและมีโลกความเป็นจริงอีกใบที่รอให้เขาไปสำรวจ เขาได้คุยกับคู่สนทนาปริศนาที่ทำให้เขาถูกติดต่อมาและถูกตามล่าโดยสายลับ ก่อนที่จะไปลงเอยด้วยการกระโดดตึก ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ โชคดีที่ก่อนตกถึงพื้นนีโอ ทรินิตี้ มาชิงร่างเขาไว้ทัน แต่ทั้งหมดเกิดจากจิตที่โหยหาอิสระของเด็กคนนี้
ท้ายที่สุดคิดอาจมีป้ายหลุมศพในโลกเมทริกซ์ แต่เขาได้ตื่นขึ้นพร้อมกับใบเกิดของแท้ในโลกแห่งความจริง โมเมนต์นั้นคือโมเมนต์ที่เขาพูดได้เต็มปากเป็นครั้งแรกว่าเขามีชีวิต
เรื่องราวที่สอง ‘World Record’ เป็นเรื่องของ แดน เดวิส (Dan Davis) ชายผิวสีนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกที่เลือกลงแข่งอีกครั้งหลังจากคนปรามาสว่าเขาได้เหรียญทองด้วยสถิติโลก 8.99 วิจากการใช้ยา เขาต้องการพิสูจน์ว่าคนเหล่านั้นผิด
ในตอนนี้จะมีคำพูดที่ว่า “ผู้ที่มีความโดดเด่นด้านสัญชาตญาณ ธรรมชาติขอความสงสัยใครรู้ และประสาทสัมผัสเท่านั้นจะเป็นผู้ที่ตื่นรู้และรับรู้การมีอยู่ของเมทริกซ์” เคสของแดนเป็นเคสที่หายาก ขณะที่เขาวิ่ง จากที่วิ่งแข่ง มันได้กลายเป็นการวิ่งเอาเป็นเอาตายเพื่อแสวงหาอิสรภาพพร้อมๆ กับที่ตัวตนในฝักของเขาพยายามจะตื่นและดึงสายขึ้นมา ลู่วิ่งได้เป็นเส้นทางสู่โลกความจริง คู่แข่งได้เป็นสายลับที่ต้องการหยุดเขาจากจุดหมายครั้งนี้ ท้ายที่สุดน่าเสียดายที่เขาถูกหยุดอย่างควบคุมไม่ได้ด้วยเครื่องจักรในโลกภายนอก ทำให้เขากลายเป็นคนพิการนั่งรถเข็น สติฟั่นเฟือน ถึงกระนั้นยังมีให้เห็นถึงใจนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ที่แสดงออกผ่านการยืนขึ้นแม้จะชั่วครู่ เพราะสำหรับแดน สถิติใหม่ 8.72 ไม่ได้มีค่าอะไรเลย มันเป็นความสำเร็จที่ถูกหยิบยื่นให้เพื่อให้เขายังคงอยู่ในความฝัน และถูกจองจำด้วยความปลอมต่อไป
เรื่องราวที่สาม ‘A Detective Story’ คือเรื่องราวของนักสืบ แอช (Ash) ที่ถูกว่าจ้างให้ตามหาตัวทรินิตี้ ด้วยการติดต่อกับทรินิตี้เขาไขปริศนาหาตัวเธอพบในรถไฟขบวนหนึ่ง แอชอยากไปกับทรินิตี้ และออกสู่โลกความจริง แต่เราเสี่ยงที่จะถูกสายลับสิงเพราะยังไม่ได้ตื่นเต็มรูปแบบ นี่เป็นเรื่องราวของคดีสุดท้ายที่จะจบทุกคดีที่เขาเคยทำมา คดีหนึ่งเดียวที่แท้จริงที่นำเขาไปสู่ความตาย แต่นั่นดีกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างลวงหลอก
ทั้งสามเรื่องนี้บอกอะไร? เป็นการบอกว่า แต่ละคนมีเคสที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหาอิสรภาพในโลกเมทริกซ์ที่แตกต่างกัน คนนึงตื่นได้ด้วยตัวเองและได้รับการช่วยเหลือ อีกคนนึง มีแต่คนหยุดยั้ง ดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อตัวเอง น่าเสียดายที่ไม่มีใครช่วย และอีกคนที่ไม่ได้มีแม้แต่โอกาสที่จะถาม ไปไม่ถึงฝั่งฝันที่เรียกว่า ‘ความเป็นจริง’ ที่สะกดเหมือน ‘อิสรภาพ’ สำหรับจักรวาลหนังเรื่องนี้
เนื้อหาอีกสองตอนต่อเนื่องที่สำคัญอย่างยิ่งคือเนื้อหา Prequel หรือก่อนหน้าที่มนุษย์จะมาลงเอยเช่นนี้ ที่มีอยู่ใน The Second Renaissance Part I & II ที่พูดถึงเรื่องราวแห่งการ ‘ทำตัวเอง’ ของมนุษย์ มาจากไฟล์ที่ถูกจัดเก็บไว้ในระบบของไซออน เพื่อวันนึงจะมีคนรื้อค้นมาระลึกถึงสาเหตุที่พวกเขาต้องอยู่ที่นั่น
ทุกอย่างเริ่มมาจากการที่โลกวิวัฒน์ไปถึงจุดหนึ่งที่มนุษย์สะดวกสบายสุดขีดโดยมีหุ่นยนต์ทำงานให้แทน ต่อมาได้เกิดเคสที่เปลี่ยนทุกอย่างอย่างไม่มีวันหวนกลับ คือการโต้กลับครั้งแรกของ จักรกลชาติ (Machinity) ที่เป็นอีกศัพท์ที่ขอนิยามขึ้นมาใหม่ เริ่มต้นด้วยหุ่นรับใช้ B1-66ER บีบหัวเจ้าของบ้านที่เป็นมนุษย์จนเลือดกระฉูดสมองกระจาย ตามมาด้วยการเรียกร้องสิทธิ์ของเจ้าหุ่น ที่มองว่าตัวเองก็เป็นประชากรและมีชีวิตจิตใจ จึงควรได้รับสิทธิ์ไต่สวนและพิจารณาคดี
การพิจารณาคดีนี้ทำให้โลกลุกเป็นไฟ มีทั้งคนที่สงสารและรังเกียจเดียดฉันท์สิ่งมีชีวิตจักรกลเพิ่มขึ้น เกิดการเดินขบวนประท้วง แบน และทำลายปัญญาประดิษฐ์ แอนดรอยด์ และหุ่นยนต์ขึ้นทั่วโลก จนนำไปสู่การแบ่งแยกอาณาเขต กลายเป็นว่าหุ่นยนต์ไปตั้งประเทศของตัวเองเป็น ประเทศ 01 (Nation Zero One) และพัฒนาความรุ่งเรืองล้ำหน้า ขยายจำนวนประชากร พุ่งขึ้นสูงในกราฟในขณะที่มนุษย์เริ่มพุ่งดิ่งลง ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นต่อไป วันหนึ่งหุ่นยนต์จะครองโลก
สงครามระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรจึงเริ่มต้นขึ้น แน่นอนว่าเลือดเนื้อและกายหยาบของเราไม่อาจสู้อาวุธล้ำหน้าและเครื่องจักรที่มีกำลังผลิตกับให้กำเนิด (reproduce) อย่างรวดเร็ว จำนวนมาก และอย่างไม่จบไม่สิ้นได้ จึงได้สิ้นหวัง (และคิดน้อย) ถึงขั้นคิดปฏิบัติการณ์ดาร์กสตอร์ม (Dark Storm Operation) ปิดน่านฟ้าด้วยควันสีดำเพื่อตัดแสงอาทิตย์ที่เป็นแหล่งพลังงานของเครื่องจักร แต่นั่นก็เท่ากับปิดความหวังและสร้างความมืดมนให้กับมนุษยชาติมากขึ้นไปอีก กลายเป็นฝ่ายสิ่งมีชีวิตหยิ่งผยองอย่างมนุษย์ที่ต้องลงไปอาศัยอยู่ในโลกใต้ดินซะเอง ในขณะที่โลกเบื้องบน ถูกยึดครองโดยเครื่องจักรอย่างสมบูรณ์พร้อมทั้งนำมนุษย์ไปทดลองและมาหล่อเลี้ยงเผ่าพันธุ์ตัวเองในฐานะแหล่งพลังงาน
เล่ามาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า ถ้า The Matrix เป็นหนังที่มนุษย์ดูการปฏิวัติเพื่อปลดแอกของมนุษย์จากโลกของเครื่องจักร The Animatrix คือหนังที่ให้มนุษย์เป็นเพียงพยาน และมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้เหล่าเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ดูอย่างสะใจพร้อมกับหัวเราะคิกคักด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับการล่มสลายของมนุษย์ที่นำตัวเองมาสู่จุดนี้ด้วยการให้สติปัญญาและพึ่งพาสิ่งอื่นจนเกินไป และการแสวงหาต่อสู้เพื่อได้มาซึ่งอิสรภาพของเครื่องจักร
กลับมาที่ The Matrix ภาคแรก หลังจากที่นีโอได้กินยา เขาก็ได้รับรู้ถึงโลกแห่งความเป็นจริงด้วยคำอธิบายปรัชญาแน่นๆ ของมอร์เฟียส, ฝึกฝนการต่อสู้ด้วยการอัพโหลดข้อมูล (ในเมื่อสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้และจดจำคือสมอง ส่วนข้อมูลคือกระแสไฟฟ้า การส่งข้อมูลเข้าสู่สมองโดยทางตรงจึงทำได้ในหนัง The Matrix), ได้ต่อสู้ผ่านเครื่องคอนทรัคต์, ได้ลองฝึกกระโดดในโปรแกรมจำลอง
ความน่าสนใจคือสิ่งที่มอร์เฟียสพูดในเรื่องการตื่นรู้ที่ไม่ใช่ว่าจู่ๆ จะเกิดเข้าไปเสนอยาเม็ดสีแดง ยัดยาเข้าปาก หรือไปช่วยใครออกจากฝักก็ได้ ผู้ที่ไม่ตื่นรู้ไม่ต่างจากผู้ที่ไม่ต้องการตื่น ตราบใดที่คนผู้นั้นไม่พร้อมตื่นด้วยตัวเองหรือมีความระแคะระคายกับความเป็นจริง เริ่มตั้งคำถามกับมันเอง นอกจากจะไม่เต็มใจแล้ว ยังถึงขั้นขัดขืน และทำการปกป้องระบบด้วย นอกจากนี้ที่เลวร้ายกว่าคือทุกคนที่ไม่ได้ตื่นรู้จะมีสิทธิ์เป็นสายลับหมด กล่าวคือพวกเขาสามารถถูกแทรกแซงชีวิตและมาแทนที่ด้วยตัวระบบได้ทุกเมื่อ เมื่อเช่นนั้นแล้วเราเคยมีชีวิตจริงๆ หรือไม่ในเมทริกซ์? พอยต์นี้แสดงได้ถึงความไร้ตัวตนและความไม่เคยมีชีวิตที่แท้จริงเลยในโลกเสมือนจริงใบนี้
มอร์เฟียสเน้นย้ำกับนีโอว่า “ผมทำได้แค่โชว์ประตูให้คุณ ที่เหลือคือคุณต้องเปิดมันและเดินผ่านเข้าไปเอง” อีกทั้งในระหว่างการฝึก เมสเสจสำคัญคือนีโอต้องตระหนักว่า กฎเป็นสิ่งที่เครื่องจักรสร้างขึ้นภายใต้โลกใบนี้เพื่อครอบให้คนอยู่ภายใต้มัน และผู้ตระหนักรู้ว่านี่ไม่ใช่ความจริง สิ่งรอบตัวในเมทริกซ์ทั้งสสารและแรงโน้มถ่วง รวมถึงความเจ็บปวด และความเป็นไปของสิ่งใดๆ ที่ไม่มีสิ่งใดจริง เป็นเพียงสิ่งที่จิตปรุงแต่งและการที่จิตยึดติดกับหลักเกณฑ์ตามความเข้าใจเท่านั้น
ต่อมานีโอได้ไปพบตัวละครสำคัญอย่างเทพพยากรณ์ (The Oracle) ผู้ทำนายอนาคตว่า Neo จะเป็น เดอะ วัน (The One) หรือผู้ถูกเลือกที่คล้ายคลึงกับ ‘เมสซิยาห์ (Messiah)’ ของแต่ละศาสนา ที่จะมาชี้นำเส้นทางและปลดปล่อยมนุษยชาติจากเหล่าเครื่องจักรครองโลก
เพราะเทพพยากรณ์ทำนาย มอร์เฟียสถึงได้มีศรัทธาในตัวนีโอ ทำให้คิดได้ว่าจริงๆ แล้ว ณ จุดนี้ที่มนุษย์เจริญจนถึงขั้นโดนเครื่องจักรครองพื้นผิวโลกและต้องลงมาอยู่ข้างล่าง อารยธรรมถอยกลับ สิ้นหวังสุดขีด เป็นยุคสมัยที่ต้องดำเนินหรือพึ่งพาความเชื่อและบุคคลในคำทำนายเป็นอย่างมาก นีโอคือศูนย์รวมจิตใจที่จะแบกรับภาระหนักอึ้งตรงนี้ ในขณะเดียวกันเขาเป็นแกนกลางที่ทำให้คนรอบๆ ตัวรวมถึงมนุษย์กลุ่มสุดท้ายรู้สึกว่ายังมีความหวัง และการต่อสู้ไปวันๆ ยังมีความหมาย ในโลกที่ดูยังไงก็ไม่สามารถต่อกรเครื่องจักรและชิงอาณาจักรเดิมกลับมาได้เลย
เทพพยากรณ์โชว์ว่าชื่อนี้ฉันได้แต่ใดมาด้วยการทักนีโอตั้งแต่เดินเข้ามาว่าเธอรู้ว่านีโอคิดจะทำอะไรบ้าง คิดอะไรอยู่ในใจ รวมถึงรู้คำถามที่เขาต้องการจะได้รับคำตอบ ก่อนจะบอกว่าเขาไม่ใช่ The One ทั้งที่จริงๆ ชื่อ ‘Neo’ มาจากคำว่า ‘One’ ที่จัดเรียงตัวอักษรใหม่ แต่ทำไมเทพพยากรณ์ถึงบอกเช่นนั้น? เธอพูดว่า “ไม่รู้สิ บางทีในชีวิตหน้ามั้ง?” ทั้งหมดเพื่อให้นีโอลดทั้งอีโก้ ลดความสำคัญของตัวเองลง ลดความกดดัน และทำตามสัญชาตญาณตัวเองมากขึ้น นั่นก็เพราะมันเป็นคำพูดที่อาจดูย้อนแย้งแต่เธอต้องบอกเพื่อให้นีโอเป็นเดอะวันจริงๆ ในภายหลัง
ตอนนีโอเดินเข้ามาหาเทพพยากรณ์ เธอบอกว่า “เรื่องแจกันไม่เป็นไรนะ” ก่อนที่นีโอจะทำแตกจริงๆ ชวนให้คิดว่าหากเทพพยากรณ์ไม่บอก นีโอจะหันไปชนแจกันตกแตกหรือไม่? เป็นเค้าลางที่บอกว่าคำพยากรณ์ก็ส่วนหนึ่ง แต่นั่นเป็นเพียงคำพูด สิ่งที่สำคัญคือความเชื่อและการเลือกที่จะกระทำ กับการตอบสนองกับคำพูดหนึ่งๆ ของคนคนหนึ่งว่าจะเติมเต็มมันให้จริงหรือไม่ หรือเป็นที่เรียกว่า (self-fulfilling) ทั้งยังบอกด้วยว่าเขากับมอร์เฟียสจะต้องมีคนใดคนหนึ่งตาย สุดท้ายเป็นนีโอที่จะเลือกกำหนดชะตากรรมเอง จะช่วย หรือจะหนีรอด
ป้ายบนหัวทางเข้าห้องที่เขียนว่า รู้จักตัวเอง “Know Thyself” เพื่อให้ผู้อ่าน (ซึ่งในที่นี้คือนีโอ) ได้รู้จักตัวเองว่าเขาคือใคร และเขาเลือกสิ่งใด เพราะอะไร เมื่อไหร่ที่เรารู้ เราจะรู้ว่าเราจะทำอะไรต่อไป และรู้อนาคตของตัวเอง
อีกฉากนึงที่น่าจดจำและส่งผลต่อมายด์เซ็ตของนีโอที่จะกลายมาเป็นเดอะวันในภายภาคหน้าคือก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องเทพพยากรณ์ เขาเจอผู้เป็นไปได้รายอื่นๆ ที่มีสิทธิ์เป็นเดอะวัน ดูเหมือนเด็กพวกนั้นมีพลังจิตและกฎแรงโน้มถ่วงกับสภาพของสสารของวัตถุที่เด็กๆ ถือหรือเล่นอยู่จะบิดงอและไม่สมเหตุสมผล หนึ่งในเด็กเหล่านั้นยื่นช้อนให้นีโอและพูดว่า “อย่าพยายามงอช้อนเพราะมันเป็นไปไม่ได้ ให้ตระหนักถึงความจริงแทน ความจริงที่ว่ามันไม่มีช้อน” และนีโอก็งอช้อนได้จริงๆ
นี่เป็นการตอกย้ำในสิ่งที่มอร์เฟียสพยายามบอกเขามาตลอด ว่าในโลกเมทริกซ์ คนเรากระโดดสูงข้ามตึกได้ ดูไร้แรงโน้มถ่วงหรือเคลื่อนไหวว่องไวในการต่อสู้ได้เหนือมนุษย์ ตกลงพื้นและไม่เป็นไรได้ (ในคอนสตรัคต์ที่ทำให้พื้นดูเด้งดึ๋ง กระแทกไม่เจ็บ) และสิ่งรอบตัวในเมทริกซ์ที่ถูกประกอบสร้างมาด้วยโค้ดไม่มีสิ่งใดมีอยู่จริงแต่แรก เหมือนเรื่องที่ว่า เครื่องจักรไม่อาจรู้ได้ว่าไก่มีรสชาติอย่างไร หรืออาจคิดไม่ออกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆ จะแตกต่างกันได้ยังไง จึงให้รสชาติคล้ายๆ ไก่หมด
ประเด็นที่น่าคิดคือ ‘ถ้าโลกความจริงโหดร้าย หรือความฝันจะเป็นทางเลือกดีกว่า’ หัวข้อนี้ถูกตั้งคำถามโดยตัวละครไซเฟอร์ (เกือบเรียกผิดเป็นไฟเซอร์แล้ว)
ไซเฟอร์ยื่นข้อเสนอให้กับเอเจนท์สมิธ หนึ่งในสายลับ ว่าจะส่งตัวมอร์เฟียสให้เพื่อให้สมิธไปเค้นเอารหัสเมนเฟรมไซออนและปิดฉากมนุษยชาติ ข้อแลกเปลี่ยนคือเขาต้องการถูกลบความทรงจำ นำกลับไปบรรจุในเมทริกซ์ใหม่เป็นเซเลบ รวยๆ มีบ้านหลังโตๆ แม้เขารู้ว่าเนื้อมีเดียมแรร์สุด juicy ชุ่มฉ่ำหวานหอมจะเป็นเพียงสิ่งที่เมทริกซ์บอกสมองให้รู้สึกเมื่อได้สัมผัสลิ้มรสด้วยโค้ดที่เขียนขึ้น เขาขออยู่กับมันดีกว่าอยู่ในโลกข้างนอก เขาเหนื่อยหน่ายแล้ว กับโลกอันผุพัง อากาศไม่บริสุทธิ์ และการต่อสู้อันไม่รู้จบและดูจะไม่มีปลายทางแน่นอนนี้ สู้นอนในฝักอย่างมีความสุขในโลกจำลอง โดยไม่รับรู้อะไรในโลกความจริงซะยังดีกว่า
ซึ่งอันที่จริงแล้วน่าตั้งคำถามไม่น้อยว่าอะไรกันล่ะที่คือความจริง? ความจริงคือโลกภายนอก หรือสิ่งที่สมองเรารับรู้โดยตราบเท่าที่ไม่มีคนมายื่นเม็ดยาหรือไม่ตั้งคำถามก็จะอยู่กับมันไปได้ตลอดกันแน่? และที่สำคัญกว่านั้น อะไรคือโลกความจริงระหว่างโลกที่เราไม่รู้จักเลยกับโลกที่คุ้นเคยมาตลอดตั้งแต่จำความได้ เหมือนในหนัง Inception (2010) ที่มีฉากคนกลุ่มหนึ่งมาฝันซ้อนฝันหลายชั้นในเวลาโลกความจริงเป็นชั่วโมงเป็นวัน แต่ในความฝันคือพวกเขาอยู่เป็น 40-50 ปีหรือแทบทั้งชีวิต ฉะนั้นคนเหล่านั้นไม่ได้มาเพื่อฝัน พวกเขามาเพื่อตื่น และที่นั่นคือโลกความจริงของพวกเขา
ทำให้ถึงแม้ว่าไซเฟอร์จะดูเป็นคนทรยศ (Judas) คนเห็นแก่ตัว และพวกหลีกหนีความจริง ก็ไม่อาจตัดสินเขาได้เลยหากพูดในแง่มุมตัวละคร ไม่ใช่การ romanticize การทรยศ เพราะเขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง และไม่แคร์ว่ามนุษยชาติจะเป็นอย่างไรเพราะมนุษยชาติไม่ได้สำคัญสำหรับเขา บางคนเขาไม่ได้รู้จักด้วยซ้ำ และเขาไม่ได้ผูกพันกับใครหรืออะไรที่ไม่ได้ชวนให้ผูกพันเท่าไหร่บนโลกใบนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงเลือกที่จะเลือกได้ดั่งใจ และกำหนดให้เมทริกซ์คือความเป็นจริงของเขา แทนโลกความจริงที่ดูเน่าๆ ในสายตาตนเอง
หลังจากการทรยศของไซเฟอร์ มอร์เฟียสถูกจับ สิ่งที่สมิธพูดทำให้ได้ฉุกคิดถึงความเป็นจริงของเผ่าพันธุ์มนุษย์รวมถึงการทำงานของเมทริกซ์ที่สอดคล้องกับจิตใจมนุษย์ ได้อย่างแจ่มแจ้ง
สมิธเปรียบเทียบมนุษย์กับไวรัส การอุปมาอุปมัยนี้ทำให้เราไม่ต้องไปคิดถึงประเด็นที่ว่าเราเป็นสัตว์ประเสริฐหรือไม่ แค่ลำพังพฤติกรรมของเราก็ไม่ได้ดูเหมือนสัตว์เลือดอุ่นแล้ว พฤติกรรมของเราสร้างถิ่นฐาน ปักหลัก ก่อกำเนิดอารยธรรม และอพยพ เป็นอย่างนี้มาช้านานและทุกครั้งที่เกิดกระบวนการนี้ เรามักใช้สอยทรัพยากร ทำลายสิ่งแวดล้อม และทำร้ายธรรมชาติที่ให้กำเนิดเราเสมอ โดยมีระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการบีบคั้นให้อยู่รอด ไปจนถึงทุนนิยมและวัตถุนิยมที่บังคับให้เราต้องดำดิ่งไปในเวย์นั้นอย่างกู่ไม่กลับและเลี่ยงไม่ได้
กับอีกเรื่องคือเรื่องของมนุษย์กับการอยู่กับความเป็นจริง สมิธพูดอย่างมีพอยต์ว่า เมทริกซ์รุ่นแรกเคยสร้างให้มนุษย์ปีติสุข ได้ดั่งใจสมหวัง สุขสงบ ตลอดเวลา แต่มันไม่ใช่ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะสายพันธุ์โฮโมเซเปียนส์อย่างพวกเราที่รับรู้ถึงตัวตน ประสบการณ์ ความทรงจำ และสิ่งที่เกิดขึ้นได้มากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น มนุษย์รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติและเกิดการต่อต้าน ไม่ก็ฮอร์โมนแห่งความสุขที่เอ่อล้นมากไปทำให้เราตายลงเพราะนั่นไม่ใช่ชีวิต เป็นความทุกข์และความเจ็บปวด ความผิดหวัง ความเสียใจ ที่เป็นเหมือน ความขัดแย้ง (conflict) ในทุกๆ สตอรี่ที่บ่งบอกว่าเรื่องราวนี้คือความจริง หรือคล้ายกับเวลาเราลองหยิกตัวเองหรือตบหน้าตัวเองเพื่อเช็กว่าเราไม่ได้กำลังฝันอยู่
ประเด็นของสมิธยังคิดต่อยอดมาได้ถึงเรื่องที่ว่า ความสมจริงคือการที่เราได้เลือกได้ตัดสินใจ สิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์สมองโดยเฉพาะมนุษย์อย่างเราๆ นั้นขับเคลื่อนด้วยคำถามอยู่เสมอ คำถามเหล่านั้นนำไปสู่การเลือกว่าจะรีแอ็กกับมันอย่างไร ทำมันหรือไม่ ซึ่งถ้าทำ มันจะนำไปสู่ทางแยกคือการสัมฤทธิ์ผลหรือผลลัพธ์ล้มเหลวอีก ตรงนี้นี่เองที่ทำให้มนุษย์รู้สึกว่ามันคือความสมจริง และโลกใบนี้ต้องอยู่กับมันให้ได้แม้จะไม่ได้เข้าข้างคนใดคนนึงก็ตาม เป็นเพียงการสุ่ม และกำหนดได้ด้วยการกระทำ พวกเขาจึงต้องทำต่อไป เกิดเป็นลูปขังให้มนุษย์อยู่ในกรงที่มองไม่เห็น
การสร้างอารยธรรมและนวัตกรรมผ่านวิวัฒนาการของมนุษย์ ส่งผลร้ายต่อสิ่งมีชีวิตอื่น และกำลังจะเป็นภัยกับตัวมนุษย์เองด้วย เช่น ภาวะโลกร้อน ก๊าซเรือนกระจก อุณหภูมิที่สูงขึ้น กับการที่ประชากรเพิ่มทวี แต่ทรัพยากรน้อยลง และสำหรับใน The Matrix โลกได้พังทลายไปแล้วเพราะน้ำมือของมนุษย์
หลังจากนีโอตัดสินใจไปช่วยมอร์เฟียส เขาได้ปะทะกับเอเจนท์สมิธ และประกาศว่าเขาคือ ‘นีโอ’ ไม่ใช่ ‘มิ้สเตอร์แอ้นเดอร์สั่น (เสียงสมิธ)’ อีกต่อไป ชื่อนี้เขาไม่ได้เลือก พ่อแม่เขาหรือเมทริกซ์ตั้งให้ แต่ชื่อนีโอเขาเลือกเอง นั่นเป็นการปลดปล่อยจิตใจขั้นต้น ทำให้เขาสามารถปะทะได้อย่างสูสีกับสมิธที่คนธรรมดาไม่น่าจะต่อกรด้วยได้เลย แต่หลังจากนั้นในยกสอง นีโอถูกสมิธดักทางได้และถูกกระหน่ำยิงจนเสียชีวิต นั่นป็นจุดที่ทำให้คำทำนายของเทพพยากรณ์ทำงานและเป็นจริง
ทรินิตี้ได้รับคำทำนายว่าเธอจะรักนีโอ และเธอไม่แน่ใจแม้กระทั่งผ่านฉากเล่นใหญ่ทุนสร้างสูงรอบๆ ตึกมาแล้วก็ตาม เพราะเธอไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าที่เธอรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยนีโอนั้นเป็นเพราะเทพพยากรณ์บอกแล้วเธอเติมเต็มมันด้วยการรู้สึกให้ หรือเพราะเธอชอบจริงๆ แต่ภายหลังเธอได้รู้ตัว และรู้ว่ามันไม่สำคัญ ในช่วงเวลาที่สิ้นหวัง ถ้าเธอรู้สึกรักคือรู้สึกรัก และเธอทำตามสัญชาตญาณตนเอง ซึ่งทำให้สัญชาตญาณกับตัวตนเวอร์ชั่นเดอะวันตื่นขึ้นมาจริงๆ
ในฉากสาวชุดแดงที่เปลี่ยนเป็นสายลับในการฝึกฝนเพื่อทำความเข้าใจโลก นีโอได้ถามว่า “ถ้าผมเข้าใจมันผมจะหลบกระสุนได้งั้นเหรอ?” มอร์เฟียสตอบกลับว่า “เปล่าเลย ถ้าคุณเข้าใจมันเมื่อไหร่ คุณจะไม่จำเป็นต้องหลบกระสุนด้วยซ้ำ”
เวลานั้นมาถึง เขาเคลื่อนไหวว่องไว และอยู่เหนือประสาทสัมผัส มองเห็น และโต้ตอบสมิธได้หมด เขามองเห็นทุกอย่างเป็นโค้ดหรือฟอร์มที่แท้จริง แล้วยกระดับตนเองอยู่เหนือมัน ยิ่งกว่าคำว่า ascend คือคำว่า transcend ที่เป็นการยกระดับในเชิงทะลุขีดจำกัดไปอีกขั้น บัดนี้นีโออยู่เหนือมนุษย์ทุกคนบนโลก ถอยออกมามองทุกอย่างในฐานะส่วนประกอบของระบบ และไม่ยึดติดกับหลักเกณฑ์ใดๆ ไม่มีอะไรมาตีกรอบความสามารถของนีโอเวอร์ชั่นนี้ได้แม้กระทั่งหลักฟิสิกซ์เคมีชีวะ จึงไม่ใช่แค่ต่อสู้แบบคนเทิร์นโปร แต่นีโอกระโดดเข้าไปในตัวสมิธและ rewrite โค้ดจนระเบิดกระจายหายไป (แรงสะเทือนจากการระเบิดที่เขาสร้างส่งผลกระทั่งทำให้รอบข้างดูเด้งไปมาและโคงงอ) เห็นดังนั้นสายลับคนอื่นถึงกับวิ่งหนีหายไป
และในตอนจบนีโอก็ทำสิ่งที่ทั้งคนดูและสหายของเขาก็ไม่คาดคิด นั่นคือเขา ‘บินได้’
The Matrix Reloaded (2003) สงครามมนุษย์เหนือโลกและ The Matrix Revolutions (2003) ปฏิวัติมนุษย์เหนือโลก
สองภาคนี้จะพาเราไปขยายโลกของ The Matrix ด้วยการพาไปพบตัวละครใหม่ๆ ประเด็นใหม่ กับเห็นนครไซออนที่มีการพูดถึงในภาคแรก รวมถึงจะเป็นบทสรุปให้กับเรื่องราวอย่างสมบูรณ์ก่อนที่จะเริ่มใหม่แบบใดก็ไม่อาจรู้ได้ในภาค Resurrections ส่วนสาเหตุที่ต้องพูดพ่วงทั้งสองภาคเพราะทั้งการถ่ายทำและเนื้อหาของทั้งสองภาคเชื่อมต่อกันแบบติดๆ
ภาค Reloaded จะพาเราไปเห็นไซออน เมืองที่ดูเหมือนเหมืองใต้ดินหรือโลกทั้งใบของมนุษย์ในช่วงเวลาปัจจุบัน ประเด็นที่น่าสนใจในการท่องไซออนคือเราจะได้เห็นว่าไม่ว่าจะสีผิวและเชื้อชาติใด ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างมนุษย์อีกต่อไปผ่านเครื่องแต่งกาย อารยธรรม ข้าวของเครื่องใช้ รูปแบบที่อยู่อาศัยและเฟอร์นิเจอร์ มีความเป็นเหล็กๆ หินๆ การใส่เสื้อผ้าโปร่งระบายอากาศได้ดี ภาษาอังกฤษที่ใช้สื่อสาร และการที่มนุษย์ทุกคนถูกนิยามว่าเป็น ‘ชาวไซออน’ สามัคคีกันโดยมีศัตรูหนึ่งเดียวคือเหล่าจักรกล
ฉากนึงที่ขยายประเด็นเกี่ยวกับมนุษย์กับเครื่องจักรได้ดีคือฉากที่นีโอนอนไม่หลับแล้วออกมาคุยกับสมาชิกสภาฮาแมนน์ ฮาแมนน์ชวนนีโอมองดูเครื่องจักรที่คอยขับเคลื่อนให้มนุษย์ยังมีชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงความย้อนแย้งที่ว่า แม้มันจะเป็นภัยถึงขั้นไล่มนุษย์ลงมาอยู่ข้างล่างและยึดข้างบน แต่เครื่องจักรก็ยังจำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะเพื่อการต่อสู้กับพวกมัน
น่าคิดว่าเรากำเนิดเกิดมาแบบชีวะ (Bio) และเดิมทีเป็นชีวะมาตั้งแต่แรก แต่เรากลับสังเคราะห์และประดิษฐ์โดยเอาเครื่องจักรและเทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่ง จนวันนึงมันมีอิทธิพลกับเราแบบที่ขาดไม่ได้ เช่นทุกวันนี้ที่เราต้องใช้มันทำงาน สื่อสาร จัดเก็บข้อมูล ระบุพิกัดและนำทาง โดยเฉพาะซื้อเสื้อผ้า สั่งซื้อยาอาหารเสริม หาทรัพยากรและอาหาร ดูรีวิวบ้านและหาทำเลที่อยู่ จนไม่อาจเรียกมันว่าปัจจัย 5 อีกต่อไป เป็นเป็นปัจจัย 0 ที่อยู่เหนือทั้ง 4 ปัจจัยไปแล้ว
เครื่องจักรและเทคโนโลยีสำคัญกับมนุษย์กว่าที่คิด มันขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจสังคมของเรา หล่อเลี้ยงชีวิตเรา และในหนังเรื่องนี้ได้เล่าถึงจุดที่สิ่งนี้ได้ใช้เราไปหล่อเลี้ยงชีวิตบ้างในทางกลับกัน ช่างเป็นเรื่องตลกร้ายสิ้นดี
นีโอกลับเข้าไปในเมทริกซ์ ปะทะกับผู้ปกป้องเทพพยากรณ์ที่ชื่อ ‘เซราฟ (Seraph)’ และได้ต่อสู้กัน เขาเห็นเซราฟเป็นโค้ดสีเหลืองอร่าม จึงได้เข้าใจว่าเขาคือโปรแกรม และเทพพยากรณ์เองคือโปรแกรมเช่นกัน (แต่เป็นโปรแกรมเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่การบิ๊กแบงของโลกเมทริกซ์) นีโอเกิดคำถามว่าโปรแกรมนี้ต้องการอะไร และจะไว้ใจได้หรือไม่ในเมื่อโปรแกรมเกิดจากเครื่องจักรและเมทริกซ์
เขาไม่มีทางรู้ได้ว่าเทพพยากรณ์มาดีมาร้าย แต่สำคัญที่เขาจะเชื่อสิ่งที่เทพพยากรณ์พูดหรือไม่ ทางเลือกของนีโอมีไม่มากนัก
บทสนทนาระหว่างทั้งสองทำให้เรารู้ว่า การที่คนเห็นผี ปีศาจ และสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ หรือปรากฏการณ์ที่หาสาเหตุไม่ได้ เกิดขึ้นมาจากโปรแกรมและบัคในเมทริกซ์ ซึ่งทำให้ mind-blow ไม่น้อย จากนั้นนีโอก็รู้ว่าเขาต้องทำอย่างไรต่อไป เขาต้องไปหาตัวคีย์เมคเกอร์ (Key Maker) ที่ถูกคุมขังโดย เมโรวินเจี้ยน (Merovingian) โปรแกรมเก่าแก่อีกตัว มาเฟียขาใหญ่แห่งโลกเมทริกซ์ รวมถึงชะตากรรมของทรินิตี้เอง (ในฉากแรกของภาคนี้ นีโอฝันเห็นเหตุการณ์ว่าทรินิตี้จะตายจากการถูกยิง) เขาเป็นกังวลอย่างมาก มันเป็นฝันที่เสมือนจริง นีโอที่ได้รับพลังมองเห็นอนาคตจะต้องเลือกว่าจะทำอย่างไร
“เธอไม่ได้มาเพื่อตัดสินใจเลือก นีโอ เธอเลือกไปแล้ว เธอแค่มาหาฉันเพื่อต้องการรู้ว่าทำไมเธอถึงเลือกแบบนั้น” เทพพยากรณ์บอกกับนีโอ
ภัยคุกคามได้รุกคืบตัวระบบ เมื่อเอเจนท์สมิธเป็นอิสระจากการถูกปลดปล่อยโดยนีโอในตอนจบภาคแรก โค้ดของเขาไม่ถูกจองจำโดยเมทริกซ์อีกต่อไป สมิธฆ่าเบน (ลูกเรือชาวไซออนคนหนึ่ง) ขณะที่กำลังจะยกหูเพื่อกลับเข้าร่าง จากนั้นกระแสไฟฟ้าในรูปข้อมูลที่ชื่อสมิธเข้าไปแทนที่สมองของเบน หรือก็คือสมิธได้ทำการย้ายตัวเองด้วยการข้ามออกมาสู่โลกความเป็นจริงแล้ว
นอกจากนี้เขายังสามารถแทงคนอื่นที่หน้าอกแล้ว rewrite โค้ดของใครก็ตามในเมทริกซ์ ไม่เว้นแม้กระทั่งสายลับด้วยกัน แล้วเปลี่ยนผู้นั้นให้กลายเป็นสมิธ แล้วเพิ่มจำนวนขั้นเป็นกองทัพสมิธอย่างรวดเร็ว จนถ้าถามว่าใครคือสมิธ และสมิธคนไหนคือตัวหลัก ก็คงต้องตอบว่าไม่สำคัญที่ใครแทงใครก่อนหลัง หรือใครคือสมิธคนแรกที่กลับมาในฟอร์มเดิมและถอดสายสื่อสารออก แต่ ‘ทุกคนคือสมิธ’
ขนาดนีโอที่เป็นเดอะวันเองก็ยังปะทะกับสมิธจำนวนมากมายมหาศาลขนาดนี้ไม่ไหว จนต้องบินหนีไป
เพอร์เซโฟเน่ ภรรยาของเมโรวินเจี้ยนทำให้เดอะแก๊งสามารถชิงตัวคีย์เมคเกอร์มาได้ หลังจากนั้นหนังก็ได้โชว์ความโดดเด่นสองด้านของภาค Reloaded คือแอ็กชั่นแบบ non-stop ที่ทั้งมันและน่าจดจำ กับปรัชญาเกี่ยวกับผู้สร้าง และหลังจากการรีเซ็ตระบบพร้อมๆ กับช่วงเวลาที่จักรกลส่งเครื่องขุดเจาะและหุ่นยนต์หมึกพิฆาตหรือเซนติเนล (Sentinel) มาถล่มไซออนหลายตัว คีย์เมคเกอร์เปิดประตูให้นีโอเดินเข้าไปหาแหล่งกำเนิด (The Source) หรือต้นขั้วของเมทริกซ์
ที่นั่น เขาพบกับสถาปนิก (The Architect) หรือผู้สร้างผู้ออกแบบที่มีศักดิ์เป็นดั่งพระเจ้าของเมทริกซ์ และสถาปนิกได้บอกกับเขาโดยสรุปอย่างกระชับและชัดเจนได้ว่า
1. นีโอคือผลพวงของ ‘ความวิปลาส’ และคือจำนวนที่เหลือจากสมการไม่สิ้นสุด
2. มีเมทริกซ์เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว 5 เวอร์ชั่น และนี่คือเวอร์ชั่นที่ 6 หรือก็คือมีผู้ปลดปล่อยก่อนหน้านีโอมาแล้ว 5 คนด้วยกัน แต่คำถามคือทำไมถึงไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย และผู้ปลดปล่อยจะมีไว้ทำไมในเมื่อทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม?
3. จากเวอร์ชั่นที่เพอร์เฟกต์สมบูรณ์ เมทริกซ์ถูกออกแบบบนพื้นฐานความบกพร่องเหมือนตัวมนุษย์ (มีแซะ)
4. ถ้าเขาคือบิดา เทพพยากรณ์คือมารดา
5. เมื่อเกิดความวิปลาสครั้งใหม่เช่นนี้ มันคือหายนะที่จะทำลายระบบ จึงเสนอให้นีโอเลือกคนมา 23 คน เป็นหญิง 16 ชาย 7 เพื่อสร้างไซออนใหม่หลังถูกทำลาย
6. ปัญหาคือทางเลือก และนีโอต้องเลือกว่าจะทำตามเดอะวัน 5 คนก่อนหน้า หรือเชื่อในสารเคมีในสมองที่ทำให้เกิดความรัก และเลือกประตูอีกบานเพื่อไปช่วยทรินิตี้ แต่ถ้าเลือกเช่นนั้น ไซออนจะพินาศ
กลายเป็นว่าปี 2199 ที่ชาวไซออนเข้าใจกันนั้นเป็นเรื่องที่ผิด ไซออนและเมทริกซ์มีมาแล้ว 5 วงจร (cycle) และนี่เป็นวงจรที่ 6 แต่พวกเขาถูกคุมขังภายใต้คุกคุมขังที่ตัวเองเชื่อว่าเป็นผู้ต่อต้านในฐานะมนุษยชาติกลุ่มเดียวและไม่มีกลุ่มก่อนหน้านี้หลังสงครามเครื่องจักร ส่วนการเป็นเดอะวันเป็นเพียงปาหี่และไร้ความหมาย นีโอเองก็เป็นแค่หนึ่งในสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นหลังจากมนุษยชาติกำเนิดใหม่ เดินหน้า และเริ่มมีความต้องการต่อต้านทวงคืนโลกของตัวเอง จึงมีผู้ถูกเลือกเกิดขึ้น เพื่อที่จะมาที่แหล่งกำเนิดซึ่งก็คือปลายทาง และทำการรีเซ็ตเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความหมายไปมากกว่านั้น
และไม่ต้องเดาให้ยาก นีโอเลือกทรินิตี้ เขาเลือกทำตามสัญชาตญาณของตนเอง ซึ่งไม่มีทางรู้ได้ว่าจะถูกหรือไม่ แต่การที่นีโอเลือกทรินิตี้ก็ไม่ต่างจากที่ไซเฟอร์เลือกตัวเอง และตอนที่นีโอเองเลือกจะช่วยมอร์เฟียสแม้ว่ามันทำเป็นทางเลือกที่ทำให้เขาจะอยู่ในอันตรายก็ตามที การเลือกเช่นนี้ทำให้นีโอเป็นเดอะวันที่แตกต่าง และมันจบลงด้วยการที่เขาช่วยทรินิตี้ไว้ได้ แต่ถึงแม้ยังไม่รู้ชะตากรรมไซออน เขาก็เลือกที่จะเซฟมนุษยชาติในแบบของตัวเองมากกว่าฟังคำของเครื่องจักร
ฉากจบภาค Reloaded น่าสนใจตรงที่นีโอสามารถใช้พลังนอกเมทริกซ์ได้ และสัมผัสรู้ได้ว่าตัวเองต้องใช้พลังในจังหวะไหน หรือต้องทำสิ่งใดต่อ
ทันทีที่เขารู้ นีโอยื่นมือออกมาและหยุดเซนทิเนลจำนวนมากได้ในพริบตา ดูเหมือนในตอนนี้นีโอจะมีพลังจิตที่แกร่งกล้ามากพอจนเกิดเป็นกระแสไฟฟ้าและคลื่นบางอย่างที่ส่งผลได้กับเครื่องจักรเท่านั้น การใช้พลังนี้ถึงขั้นที่นีโอส่งตัวเองหลุดเข้าไปอยู่ในเมทริกซ์โดยไม่จำเป็นต้องเสียบปลั๊ก และเขาไปติดอยู่ในโปรแกรมที่อยู่เหนือ time และ space ที่ชานชาลาของเทรนแมน
เมื่อนีโอออกมาได้ด้วยการช่วยเหลือของมอร์เฟียส ทรินิตี้ และเซราฟ หลังจากนั้นสงครามระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรก็เริ่มต้นขึ้น นีโอขอใช้ยานหนึ่งลำซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในการเดินทางไปนครเครื่องจักรเพื่อจบเรื่องราวทุกอย่าง และไนโอบี (Niobe) ก็ยินดีสละยานไป เพราะนาทีนี้เธอมีแต่จะต้องเชื่อเท่านั้น แต่ไม่ใช่เชื่อเทพพยากรณ์ เธอเชื่อในนีโอเหมือนที่มอร์เฟียสเชื่อ ในขณะเดียวกันก็ทำสิ่งที่ตัวเองพอทำได้ให้ดีที่สุด นั่นคือเดินทางผ่านเส้นทางลำเลียง กลับไปยังไซออนให้ทันเวลาเพื่อเปิดระเบิดคลื่นเหล็กไฟฟ้า (EMP) หยุดเซทิเนลจากการรุมทึ้งที่มั่นสุดท้ายของมนุษย์
ก่อนจากกันเธอพูดกับนีโอว่า “ยานสองลำในสองทิศทาง ฟังดูเหมือนการทำนายเลย”
นีโอกับทรินิตี้ที่ตัดสินใจร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถูกขัดขวางโดยสมิธในร่างเบน ซึ่งเอาชนะเขาได้ในที่สุดหลังจากนีโอถูกยิงด้วยปืนไฟฟ้าจนตาบอด เขาเห็นร่างจริงของมนุษย์ และสัมผัสได้ถึงพลังงานไฟฟ้าและตัวตนของเครื่องจักร ทำให้ในที่สุดนีโอก็เดินทางมาถึงนครเครื่องจักร แต่แลกมาซึ่งชีวิตคนรัก
เขาต่อรองกับเครื่องจักรว่า จะไปกำจัดสมิธที่ตอนนี้ขยายจำนวนจนทำให้เมทริกซ์กลายเป็น ‘Smithrix’ ไปแล้ว หากปล่อยไว้โปรแกรมจะพัง เครื่องจักรและโลกจำลองจะล่มสลาย สูญเสีย ล้มตายกันทั้งสองฝั่ง โดยเดิมพันว่าหากชนะไซออนเป็นอิสระ และเมื่อถูกถามว่าถ้าเขาทำไม่สำเร็จล่ะ? เขาตอบกลับว่า “ไม่มีทาง” เพราะมาถึงจุดนี้แล้วนีโอไม่ได้มาเพื่อเฟล และชีวิตคนรักเขาไม่ได้เสียไปอย่างสูญเปล่า เขามาเพื่อชนะและทำสำเร็จ เขาเชื่อแบบนั้น
และไม่กังขาถึงการกระทำหรือผลลัพธ์อื่น ตลอดเวลาที่ผ่านมานีโอต้องเลือก แต่ครั้งนี้การพ่ายแพ้ไม่อยู่ในชอยส์ของเขา
นีโอปะทะกับสมิธเป็นครั้งสุดท้าย เป็นสมิธที่รวมร่างกับเทพพยากรณ์จนมีนิมิตมองเห็นล่วงหน้า เรื่องย้อนแย้งคือในตอนแรกสมิธกล่าวหาว่านีโอคือมนุษย์ ซึ่งก็ไม่ผิดนักในโลกภายนอก แต่ภายในเมทริกซ์เขากลับเป็นไวรัสที่ขยายจำนวนและทำลายโลกของเขาซะเอง ทั้งคู่จึงเข้าห้ำหั่นกันอย่าง epic แต่ด้วยระดับพลังที่เป็นเครื่องหมายเท่ากับ อันเนื่องมาจากการที่สมิธสร้างนีโอ นีโอสร้างสมิธ โค้ดของนีโอมาจากการเรียนรู้จากการต่อสู้กับสมิธ และโค้ดของสมิธกับความอิสระของเขามาจากนีโอ
ทั้งคู่มีความเสมอกันในทุกด้านทำให้ทั้งเป็นการบาลานซ์กันและกัน ในอีกฝั่งเหมือนหยิงหยางหรือเครื่องเล่นไม้กระดกที่คนนั่งน้ำหนักเท่ากัน
เมื่อสู้ไปก็ไม่ได้อะไร ไม่จบไม่สิ้น ไม่มีใครแพ้ไม่มีใครชนะ นีโอถึงตระหนักได้ถึงความเป็นจริงบางอย่าง ว่าเขาต้องโอบรับสิ่งที่เขาสร้างเพื่อที่จะทำลายมัน นั่นคือสิ่งที่เท่ากัน นีโอคิดสมการความเท่าเทียมที่ชื่อ ‘สร้าง=ทำลาย’ ออก และกลายเป็นสมิธ (ซึ่งสมิธเห็นภาพแล้วว่านีโอจะพ่ายแพ้และถูกเขาแทงเพื่อ rewrite แต่เขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะทำแบบนั้น) จากนั้นนีโอจึง rewrite โค้ดของสมิธที่กลืนกินร่างของทุกคนในเมทริกซ์แล้ว แบบ once and for all ส่งผลให้เขาระเบิดมาจากภายใน (implode)
และในฉากปะทะครั้งสุดท้ายนี้เราจะได้รู้ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามที่เทพพยากรณ์ทำนายไว้ แม้กระทั่งการที่เธอถูกเปลี่ยนให้เป็นสมิธก็ตาม ทุกอย่าง ทั้งหมด ในไตรภาค The Matrix คือผลของคำทำนาย ศรัทธาที่มนุษย์มีต่อตัวมนุษย์ด้วยกัน และชอยส์ที่มนุษย์เลือกที่จะกระทำเอง ตั้งแต่เลือกที่จะใช้เทคโนโลยีจนเลยเถิด เลือกกำจัดหุ่นยนต์ เลือกปิดน่านฟ้าจนทำลายอิสรภาพตัวเอง จนมาถึงการเลือกปลดแอกมนุษยชาติของนีโอ หรือก็คือเรื่องราวบาปของบรรพบุรุษที่ถูกแก้ไขโดยผู้มาทีหลัง
ท้ายที่สุดเมทริกซ์ถูกรีเซ็ตเป็นเวอร์ชั่น 7.0 ออกแบบโดย ซาตี (Sati) โปรแกรมเด็กที่ต้องการ pay tribute ให้กับนีโอ ส่วนสถาปนิกรักษาคำพูด ‘ในตอนนี้’
หากสังเกตจะเห็นได้ว่า The Matrix คือเรื่องราวการต่อสู้ของคู่ตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นสมิธกับนีโอ สถาปนิกกับเทพพยากรณ์ มนุษย์กับเครื่องจักร ความเชื่อและทางเลือก การถูกคุมขังและอิสรภาพ
อีกทั้งเมื่อมองภาพรวมแล้วยังทำให้เห็นเค้าโครงของโครงสร้างเรื่องแบบ Hero’s Journey หรือการเดินทางของวีรบุรุษของโจเซฟ แคมป์เบลล์ (Joseph Campbell) ที่มองเห็นโครงสร้างตำนานปรัมปรากรีกที่การเดินทางของตัวเอกของเรื่องมักจะมีแพตเทิร์นที่แน่นอน ต่อมาแพตเทิร์นนี้ถูกนำมาใช้ในภาพยนตร์เมื่อมีตัวเอกเป็นผู้ถูกเลือก โดยเมื่อนำมาเทียบกันแล้วนีโอในห้องเล็กๆ นั่นคือตัวเอกคนนั้น เขาถูกตัวอักษรบนหน้าจอเป็น Call to Adventure หรือการออกผจญภัยจากชีวิตเดิมๆ เขาตอบรับ เดินทาง พบสหาย พบผู้ชี้แนะ (Mentor) คือทรินิตี้ มอร์เฟียส และเทพพยากรณ์ จบลงที่การบรรลุเป้าหมาย เติบโตขึ้นจากมิสเตอร์แอนเดอร์สันคนนั้น แม้ว่าปลายทางคือร่างที่ไร้วิญญาณก็ตาม แต่มันเป็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ของชายที่ชื่อ นีโอ
เลข 101 ที่พูดถึงตอนต้นตีความได้สองแบบคือ 1 กับ 0 ที่เป็นเลขฐานสองที่ใช้กับระบบคอมพิวเตอร์และเมื่อทุกอย่างวิวัฒน์ประกอบสร้างเป็น AI และเมทริกซ์ หรืออีกแบบคือเหมือนวิชา 101 ห้องนี้แสดงถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราว ส่วนเลข 506 นั้น เลข 5 คือจำนวนเวอร์ชั่นก่อนหน้าของเมทริกซ์กับเดอะวัน ก่อนที่จะรีเซ็ตเป็น 0 และเกิดใหม่เป็นนีโอหรือคนที่ 6
และหลายอย่างมีความล้อหลอกกับความเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์และความไซเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นฟิลเตอร์สีเขียวในโลกเมทริกซ์ตลอดเรื่อง, การอบคุกกี้ที่แสดงถึงคุกกี้ในระบบ, เครื่องจักร = ฮาร์ดแวร์, โปรแกรม = ซอฟต์แวร์, การเปิดปิดรีเซ็ตระบบเพื่อเข้าสู่หน้าจอตั้งค่า, สายลับ=โปรแกรมแอนตี้ไวรัส กับไวรัสหรือตัวทายโปรแกรม/ระบบ คือสมิธและมนุษย์ และอีกมากมาย
อ่านจบเชื่อว่าผู้อ่านคงไม่แปลกใจว่าทำไม The Matrix ยังคงเป็นภาพยนตร์ในตำนานที่เป็นที่กล่าวขานหรือมีคนอ้างอิงถึงบ่อยครั้งได้ตลอดเวลาขนาดนี้ และไม่ได้น้อยลงตามกาลเวลา กระทั่งเป็นหนึ่งในหนังที่มีคนหยิบมาดูซ้ำบ่อยที่สุดเรื่องนึง บทความนี้เป็นเพียงการยกประเด็นสำคัญที่จำเป็นแก่การมองเห็นภาพรวมและอธิบายโลกของ The Matrix ในไตรภาคเท่านั้น ยังมีประเด็นและบทสนทนาอีกมากมายที่ไม่ว่าได้เห็นได้ยินกี่ครั้งก็มักจะตะลึงงึงงันได้เสมอกับความเฉียบของไอเดียที่หนังนำเสนอ
เรื่องราวทั้งหมดของมหากาพย์ไซ-ไฟ The Matrix เป็นเพียงเรื่องราวที่อยู่ในยาเม็ดสีแดงเท่านั้น หากนีโอเลือกยาเม็ดสีน้ำเงิน เขาจะยังคงอยู่ในโลกเมทริกซ์ต่อไป และเรื่องราวทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้น
16 ธันวาคม 2564 หลังจากผ่านมาเนิ่นนานและทั้งหมดที่ได้ดูกันไป คือวันที่เราและนีโอจะกลับไปเสียบปลั๊กเยือนเมทริกซ์อีกครั้งใน The Matrix: Resurrections หลังจากที่เขาและเราถูกกรอกยาสีฟ้าให้กินตลอดเวลาที่ผ่านมา