‘เดินสู่อิสรภาพ’ ไปกับประมวล เพ็งจันทร์ นักปรัชญาผู้เดินเท้าจากเชียงใหม่ไปเกาะสมุย 2/4

อาจารย์เชื่อว่าเราสามารถหาคำตอบที่ยิ่งใหญ่ได้จากการเดินทาง

ผมไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ผมทำเป็นอะไรที่ดีเลิศหรือว่าวิเศษกว่าคนอื่น
นี่เป็นการกระทำของมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น เวลาเราไปเที่ยว
เราผ่านไปแต่ละที่ ถ้าเราเพ่งมองมันดีๆ เราจะเกิดความรู้ แต่ถ้าเราไม่เพ่งมองมัน
มันจะผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ผมไม่อยากให้ชีวิตนี้ผ่านแล้วผ่านเลย
ผมเลยใช้คำว่าเดินสู่การเปลี่ยนผ่าน ผมเชื่อว่าชีวิตที่ผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นความสุข
ความทุกข์ ความสำเร็จ ความล้มเหลว ถ้าเราเรียนรู้ดีๆ มันมีบทเรียนมีคุณค่า
และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำด้วยความรู้สึกเพียงว่า ถ้าผมทำได้สำเร็จ คนที่อยู่ใกล้ชิดติดกับผมก็จะได้แบ่งปันความรู้สึกดีๆ นั้นด้วย ถ้าผมมีความสามารถที่จะรู้จักคนมากก็แบ่งปันได้มาก

ผมตั้งใจเพียงว่าอยากเรียนรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจผมอย่างซื่อตรงและซื่อสัตย์ต่อปฏิญญาของตัวเองว่านี่คือการเรียนรู้ครั้งใหญ่ในชีวิต
เป็นการเปลี่ยนผ่านที่ยิ่งใหญ่ครั้งที่สาม ซึ่งคงเป็นครั้งสุดท้าย
ชีวิตผมอาจจะไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว
คนอินเดียบอกว่าคนเราต้องมีขั้นตอนของชีวิต
ชีวิตผมกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาของการสละที่เรียกว่า วนปรัส
หมายความว่าออกจากบ้านไปอยู่ป่า แต่ความจริงก็คือออกจากวังวนของสังคมที่มีเกียรติยศชื่อเสียง
การครอบครอง ไปสู่การสละ ผมกำลังไปสู่ทางนี้

การเดินทางไกลขนาดนี้ตอนอายุ 50 ปี ถือว่าช้าไปไหมครับ

ผมว่าน่าจะพอดี
ถ้ารอให้เกษียณ ผมว่ามันจะประมาทเกินไป ตอนนั้นเราอาจจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ
ถ้าเร็วกว่านี้ก็ไม่มีความพร้อมด้านจิตใจ ด้านสังคม ทำไปก็ไม่ได้ผล
ผมว่ามันน่าจะพอดีสำหรับชีวิตผม แต่ไม่ได้หมายความว่านี่เกณฑ์มาตรฐานของทุกคนนะ

ระยะทางจากเชียงใหม่ถึงเกาะสมุยก็ไม่ใช่ปัญหา

ในขณะที่เดิน
ผมไม่คิดอะไรเลย ถ้าคิด มันจะมีสิ่งปรุงแต่งเข้ามา ทำให้เรารู้สึกเรื่องเร็วช้า
ไกลใกล้ แต่ถ้าเราไม่คิด อย่าว่าแต่พันเลย หมื่นกิโลผมก็สามารถเดินได้
นักเรียนถามผมว่าไม่เหนื่อยหรือที่เดิน ผมบอกว่าไม่
ไม่เหนื่อยไม่ได้แปลว่าไม่ลำบากนะ ลำบาก แต่ผมไม่รู้สึกเหนื่อยยากจนต้องเลิก
เพราะผมไม่ได้ทำอะไรที่มากไปกว่าการเดินทีละก้าว

ก่อนออกเดินทาง อาจารย์ประเมินว่าเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้คืออะไรครับ

ตาย
นี่คือสิ่งที่ผมประเมินไว้แล้วและทำใจไว้แล้ว
เป็นไปได้ที่ผมอาจจะเดินไปแล้วอาจจะเป็นลมตายเพราะเหนื่อยมาก แต่ผมไม่พูดสิ่งนี้กับคนอื่น
เพราะมันจะไปสร้างการคิดปรุงแต่งของเขาขึ้นมา ผมอธิษฐานจิตก่อนเดินว่าจะใช้ร่างกาย
จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ทั้งหมดที่มีเพื่อการเรียนรู้ ถ้าชีวิตจะจบลง ณ
จุดใดจุดหนึ่ง ก็เป็นการจบลงด้วยจิตใจที่ปรารถนาจะเป็นเช่นนั้น
ไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากที่เราคิด

ผมยังจำภาพได้
2 ครั้งที่ผมคิดว่าเป็นเช่นนั้น ครั้งแรกตอนที่ผมเดินขึ้นดอยอินทนนท์
พอเราเดินขึ้นที่สูง จิตใจเราสู้ก็จริง แต่ร่างกายมันสู้ไม่ได้
เท้าที่เคยก้าวได้ตามปกติมันหนักอึ้ง ผมรู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย ใจมันสั่น จะอาเจียน หายใจไม่ออก เหงื่อโทรม เย็นสันหลังวูบ
ยืนไม่ไหวก็ล้มตัวลงนอน ตั้งใจว่าชีวิตนี้พอแค่นี้ แต่พอเรานอนลงไปมันก็เริ่มคลาย
ร่างกายก็เริ่มอุ่นขึ้น

ผมเคยขึ้นดอยอินทนนท์มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
แต่วันที่ผมเดินขึ้น
ผมรูเลยว่าผมบรรลุเป้าหมายที่ไม่ใช่แค่เพียงยอดดอยซึ่งเป็นพื้นที่ทางกายภาพ
ตอนที่ผมเดินขึ้นถึงยอดดอย มันมีความรู้สึกดีกับการกระทำครั้งนี้มาก
เพราะผมสามารถก้าวผ่านแรงกดดันของจิตใจที่มีความกลัว กังวลว่าจะตาย จะพิการ
การเดินเลยเป็นเหมือนวิถีศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เราบรรลุเป้าหมายทั้งในส่วนของทางกายภาพและจิตใจ

เหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งที่ราชบุรี
ผมเดินบนถนนเพชรเกษมซึ่งมีรถเยอะ แล้วผมขาดน้ำ หูอื้อ หน้ามืดจะเป็นลม
ผมก็คิดว่าชีวิตกำลังจะจบแล้ว ผมก็ถือคติทำใจให้เบิกบานผ่องใสอย่าไปยึดมั่นถือมั่น
ทำใจว่าชีวิตนี้พอแค่นี้ ที่ผ่านมาทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นสิ่งที่เราได้มาอย่างมหัศจรรย์แล้ว
แต่ปรากฏว่าไม่ตายอีก (หัวเราะ)

ขอโทษนะครับ ถ้าบังเอิญว่าชีวิตของอาจารย์จบลงตรงนั้นจริงๆ
อาจารย์คิดว่าคุ้มไหมครับกับสิ่งที่ได้รับกลับมา

คุ้ม
วูบหนึ่งที่จิตคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย ผมนึกถึงคำพูดของหลวงปู่ดุลย์ อตุโลท่านเคยกล่าวเตือนสติพระภิกษุรูปหนึ่งที่อาพาธหนักใกล้จะมรณภาพว่าที่เราปฏิบัติธรรมกันมาทั้งก็เพื่อจะนำมาใช้
ณ วันนี้ ขอให้ทำใจให้ว่าง อย่ายึดมั่น ปล่อยวาง
เป็นคำพูดที่ง่ายมากที่ใครก็พูดได้ แต่วันที่ผมอยู่บนถนนเพชรเกษม
แล้วรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะสิ้นใจตาย คำพูดนี้ก็ดังขึ้นในใจผมเลย มันใช่เลย
ผมว่าคุ้มนะที่เราได้เจอเหตุการณ์ ได้เจอสภาวะของความรู้สึกมากกมาย หลายเรื่องผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นเช่นนี้
มันจะมีอารมณ์ที่ดีงามได้มากขนาดนี้

ผมไปขออาศัยนอนในวัด
พระท่านก็ให้นอนในศาลาซึ่งมีหมาอยู่เต็มเลย มันเห่าไม่ยอมให้ผมเข้าไป
ผมรู้สึกว่าการเดินทางของผมไม่ควรจะเบียดเบียนคนแล้วผมไม่ควรจะเบียดเบียนการนอนอย่างเป็นสุขของหมาขี้เรื้อนพวกนี้
ผมเลยนอนอยู่ริมศาลา ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเมื่อดึกมาก จำว่าได้กลิ่นเหม็นคาวๆ
เหม็นมาก แล้วก็มีอะไรมากระทุ้งสีข้างผม ผมเอามือไปลูบดู
มันเป็นหมาขี้เรื้อนทั้งซ้ายทั้งขวาเลย ผมดีใจมากเพราะมันไม่รังเกียจผมแล้ว
ผมมีความสุขมากที่ผมยังมีชีวิตอยู่ทำให้หมาขี้เรื้อนได้มาอิงอาศัยไออุ่นจากตัวผม
เวลาผมเอามือไปลูบหนังที่ไม่ค่อยมีขนของมันแล้วมันพอใจ
ผมรู้สึกเลยว่าได้สัมผัสโลกที่สวยงามมาก มันมีความหมายที่ดีกับชีวิต ชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดเพียงแค่ผมได้สัมผัสกับอารมณ์แบบนี้
บรรยากาศแบบนี้ก็เพียงพอแล้ว คุ้มค่าแล้ว หลังจากนี้มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน
เพราะสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเป็นมนุษย์ก็คือเราสามารถมีความสุขร่วมกันได้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

ทำไมอาจารย์ถึงตั้งกฎเกณฑ์ให้กับตัวเองว่าจะไม่ใช้เงินตลอดการเดินทางล่ะครับ

เงินเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจในการครอบครอง
ถ้าผมต้องการจะศึกษาเรียนรู้อะไรบางอย่าง ผมไม่ควรมีเงิน
ถ้ามีเงินก็เท่ากับผมไม่ได้เผชิญอะไรเลย ผมยังใช้เงินเป็นอุปกรณ์ดำรงชีวิต
เรื่องเงินเป็นเรื่องที่ผมเรียนรู้ได้มากเลย ถ้ามีเงินแล้วผมอ่อนแอ ที่จังหวัดกำแพงเพชร ผมเจอนักศึกษาที่เคยจบจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เขามีน้ำใจกับผมมาก ก่อนจะจากผมไปแอบเอาเงิน
200 บาทใส่ในเป้ผม จะทิ้งเงินก็ไม่ใช่เรื่อง ผมก็เลยเก็บไว้ในเป้
ตอนที่ผมเดินผ่านแยกสลกบาตรที่จังหวัดกำแพงเพชรในช่วงบ่าย
ผมหยุดคุยกับคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่หน้าร้านขายของมีตู้แช่เครื่องดื่ม
วันนั้นผมไม่ได้กินน้ำมาตั้งแต่เช้า ผมหิวน้ำมาก อยากกินน้ำมากที่สุดในชีวิตเลย
จนผมเดินไปที่หน้าตู้แช่ คิดจะเอาน้ำสักขวดมาดื่ม เพราะผมมีเงินในเป้
แต่ช่วงที่ผมยืนอยู่หน้าตู้
ผมคิดได้ว่าเราไม่ควรทำเช่นนั้นแล้วผมก็รีบเดินออกมาจากร้าน
ผมก็รู้เลยว่าทันทีที่มีอยู่ในใจทำให้อ่อนแอ ไม่สามารถต่อสู้กับแรงบีบคั้นอะไรได้
เงินมันมีอะไรที่มหัศจรรย์มาก สุดท้ายผมก็เอาเงินนี้ไปให้ขอทานที่อำเภอลาดยาว
เขามีความสุขมาก เงินไม่มีค่าสำหรับผม แต่มีค่ามากสำหรับเขา

แล้วที่อาจารย์ก็ยังตั้งใจว่าจะไม่พบกับคนรู้จักด้วย

เรื่องคนรู้จักผมเข้าใจว่ามันทำให้เราไม่ดิ้นรน
ไม่อดทน ไม่เข้มแข็งพอที่จะสร้างมิตรภาพใหม่
เหมือนเราไม่อยากออกจากผ้าห่มอันอบอุ่น เพราะกลัวความหนาวของข้างนอก
ทันทีที่เราไม่มีเงิน ไม่มีคนรู้จัก ผมพบเลยว่ามนุษย์เราแสนงดงาม
แต่มนุษย์เราทุกคนมักมีความกลัว ความระแวง สังคมที่เราอยู่ทำให้คิดเช่นนั้น เช่น
เขาระแวงว่าจะมีอันตรายต่อเขา กลัวว่าเราจะนำมาซึ่งเหตุอันลำบากของชีวิตเขา
ช่วงที่เดินผ่านหมู่บ้าน ชาวบ้านเขาดีกับผมมาก เมื่อรู้ว่าไม่มีอาหาร ไม่มีที่พัก
เขาก็หาให้ สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ แต่เมื่อเรามีเงินมีคนรู้จักซะแล้ว เงินและคนรู้จักมันไม่เปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสอะไรนอกไปจากที่เราคิด
ผมพูดกับคนที่ให้อาหารผมกินทุกครั้งว่า อาหารมื้อนี้ผมจะจำไปตลอดนะ
ผมจำได้ว่าผมนั่งอยู่ริมแม่น้ำปิงที่จังหวัดตาก ก็มีเด็กๆ มาซักถาม พูดคุย
แล้วก็มีผู้หญิงแก่ๆ คนหนึ่งเข้ามายืนฟังด้วย เด็กถามว่าลุงกินอะไร กินข้าวที่ไหน
ผมก็บอกมีอะไรให้ก็กิน ไม่มีใครให้ก็ไม่เป็นไร พอแกรู้ว่าผมหิวและยังไม่กินข้าว
แกบอกว่า อย่าเพิ่งไปไหนนะ อยู่ที่นี่ก่อน แกก็เดินจากไปแล้วกลับมาพร้อมกับจานข้าว
บอกว่ารอก่อนนะ ได้ข้าวแล้ว เดี๋ยวไปหาแกงมาให้ แกกลับมาอีกทีพร้อมแกงปลาดุกราดข้าว
ลูกสาวแกเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ เลย ผมนั่งกินข้าวไปร้องไห้ไป นี่พูดแบบไม่อายเลยนะ มันคือความรู้สึกประทับใจซาบซึ้งในอารมณ์ของเพื่อนมนุษย์ที่เขาเป็นห่วงเรา
สิ่งเหล่านี้ทำให้เราพบว่าการมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์ คุณค่าที่สำคัญมากๆ
ไม่ได้อยู่ที่ตัวเราคนเดียว แต่อยู่ที่เรามีสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
แล้วมิตรภาพที่เรามีกับเพื่อนมนุษย์ มันมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ มีพลังมหาศาล
เงื่อนไขที่ผมกำหนดไว้ทำให้ผมได้พบสิ่งเหล่านี้

ในแต่ละวันอาจารย์จัดเรื่องอาหารน้ำดื่มยังไงครับ

ผมไม่ได้คิดเรื่องอาหารเลย
แล้วผมก็ไม่ขอด้วย ผมคิดว่าเพื่อนมนุษย์มีความใส่ใจเพื่อนมนุษย์
ที่ผ่านมาถึงผมจะไม่ขอ ไม่หา แต่ก็มีคนซักถามตลอดเวลา
ถ้าวันไหนผมได้ทานอาหารสักมื้อก็นับเป็นวันที่ดีมากแล้ว ตลอด 2 เดือนกว่า มีแค่ 3
วันที่ผมไม่ได้ทานอะไรเลย แต่อยู่ได้ครับ ที่ขาดไม่ได้คือน้ำ
ถ้าไม่มีอาหารผมก็ดื่มน้ำ แต่ถ้าไม่มีน้ำดื่มจริงๆ ถ้าเป็นริมถนนใหญ่
ผมจะไปดื่มน้ำก๊อกในปั้มน้ำมัน ถ้าเป็นตามหมู่บ้านไม่มีปัญหาเลย
คนชนบทเขาไม่ปล่อยเราผ่านเขาไปโดยไม่ซักถาม แม้บางครั้งถึงเขากลัว เขาก็ถาม
มีหมู่บ้านหนึ่งเขารู้ว่าผมเดินมาแล้วไม่มีเงิน ผมเดินผ่านไปสักชั่วโมงกว่าก็มีเด็กหนุ่มบึ่งมอเตอร์ไซค์ซิ่งตามผมมาเลย
มาถึงก็แบมือเอาเงินมาให้เป็นค่าเดินทาง
พอผมจากมาเขาก็ไปบอกเพื่อนบ้านว่าลุงแก่คนหนึ่งเดินไปแล้วไม่มีเงิน
เขาไปเรี่ยไรจากคนในหมู่บ้าน ผมก็ร้องไห้อีก แล้วก็บอกว่าผมไม่ใช้เงิน
ให้เอาเงินไปคืนเจ้าของ เขาบอกคืนไม่ถูกเหมือนกันเพราะไม่รู้ใครบ้างเป็นเจ้าของ นั่นเป็นสิ่งดีๆ ที่ผมได้รับรู้ว่า เราไม่ได้เดินผ่านไปเฉยๆ เราทิ้งอะไรบางอย่างไว้
แต่ผมไม่อยากจะทิ้งความกลัว ทิ้งความรู้สึกระแวงในตัวมนุษย์ให้เกิดขึ้น
ผมอยากจะทิ้งไว้เฉพาะความรู้สึกประทับใจดีๆ

อาจารย์เปลี่ยนจากความกลัวให้เป็นความรู้สึกประทับใจยังไงครับ

ผมมีหลักคือจะไม่เข้าไปคุยกับผู้หญิงที่เขาอยู่คนเดียวหรือสองคนเพราะเขากลัว
ถึงจะเป็นผู้ชายแก่ๆ แต่ก็กลัวว่าเป็นคนบ้าหรือเปล่า
ผมจะเข้าไปคุยก็ต่อเมื่ออยู่เป็นกลุ่ม ไม่ได้เข้าไปเพื่อขอนะครับ
แต่เข้าไปทำให้เขารู้สึกว่าอย่ากลัวผม พอคุยกันสักพัก เขาก็จะถามว่าผมมาจากไหน
จะไปไหน ผมไม่ต้องการทิ้งความกลัวไว้ในใจของคนที่ผ่านไป
คือเราเดินเพื่อกำจัดความกลัวในตัวเราเอง
เราก็ไม่ควรเอาความกลัวของเราไปซุกไว้ในใจคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่
ถ้าผ่านไปแล้วคิดว่าเขากลัว ผมจะพยายามยิ้ม ถ้าเขาอยากคุยก็คุยเพื่อให้รู้ว่าคนที่เขาพบไม่น่ากลัว

ที่อำเภอโกสัมพี
จังหวัดกำแพงเพชร ผมประทับใจเด็กกลุ่มหนึ่งมาก
เป็นเด็กผู้หญิงประถมปลายขี่จักรยานมา 3 คน พอเขาเห็นผมก็กลัวแล้วจะหันหลังกลับ
ผมก็พยายามยิ้มให้เขาอย่างเปิดเผยมาก เขาคงรู้ว่าไม่บ้า เลยเข้ามาถามว่าลุงจะไปไหน
เด็กเหล่านี้ตัวเล็กก็จริง แต่ว่ามีโทรศัพท์มือถือนะ
แล้วที่นั่นก็มีสถานีวิทยุที่สามารถโทรศัพท์เข้าไปขอเพลงได้
เขาถามว่าลุงต้องการฟังเพลงอะไร หนูจะขอเพลงให้ลุงฟัง
เป็นกำลังใจให้ลุงในการเดินทาง คำพูดเหล่านี้ไงที่ผมคิดว่าคือความยิ่งใหญ่ของการเดินทางไปมันแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ
ซึ่งได้เปลี่ยนจากความรู้สึกกลัวเป็นความรู้สึกดีๆ

(จากคอลัมน์ a day with a view – a day 79 มีนาคม 2550)

อ่านบทสัมภาษณ์ตอนอื่นๆ ได้ที่นี่

ตอนที่ 1
ตอนที่ 3
ตอนที่ 4

ภาพ ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

AUTHOR