คุยกับประภาส ชลศรานนท์ 3/3

ทราบว่าคุณสนใจเรื่องศาสนาค่อนข้างมาก
คุณสนใจในมุมไหน
ผมสนใจหลายมิติ
ทั้งในแง่สังคม ทั้งกระพี้ ทั้งแก่น กระพี้ก็มีอะไรน่าสนใจเยอะ
เพราะมันทำให้แก่นไม่ถูกแมลงเจาะ สมัยหนุ่มๆ สนใจทางปัญญาอย่างเดียวเลย ตีความแต่อริยสัจสี่
ทำเป็นพยายามจะเข้าใจแก่นของพระศาสนา แล้วก็ตีความเข้าข้างตัวเอง
ตีความแบบที่ฝรั่งตี เพราะเราโตมากับตำราของฝรั่ง ดูหนังฝรั่ง ฟังเพลงฝรั่ง
อีกอย่างเราเป็นคนชอบอ่านหนังสือ แล้วหนังสือเกี่ยวกับเซนก็มีให้ศึกษาเยอะ
ได้อ่านหนังสือของท่านพุทธทาส ของอาจารย์หลายๆ ท่าน ยิ่งโตก็ยิ่งรู้ว่า
สิ่งที่เรารู้นั้นน้อยเหลือเกิน สิ่งที่เราเข้าใจนั้นอาจจะไม่ถูกทั้งหมด
ในทางพระพุทธศาสนานี่ปัญญาที่เราจะได้มา มันต้องประกอบกับศีล ประกอบกับสมาธิด้วย
ปัญญามันถึงจะอยู่กับเราจริงๆ ถ้าเคร่งแต่ศีลอย่างเดียวก็ไม่ถึงพระศาสนา

คุณมองปรากฏการณ์ที่หนังสือธรรมะขายดีมากในช่วงนี้ว่ายังไง
น่าชื่นชม
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล เคยพูดไว้ เหมือนพยากรณ์ว่า วิชาทางจิตจะเจริญในเมือง
คือคนยุคใหม่ไม่เข้าวัดหรอก ไปงานศพอย่างเดียวหรือไปทำสังฆทาน ศีลบางคนก็ถือ
บางคนก็ไม่ถือ โลกมันก็เปลี่ยนไปเยอะ อาชีพบางอย่างมันก็ถือศีลลำบาก
ตัวตลกถือศีลไม่ได้เลย พูดส่อเสียดอำตลอดเวลา มุสาตลอด
อีกอย่างคนเมืองไม่ได้ผ่านวิถีชีวิตแบบอยู่กับทุ่งกับนาที่มีปัญหาก็เข้าไปปรึกษาพระ
หนทางเดียวที่คนเมืองอยากแก้ปัญหาชีวิตตัวเองก็คืออ่านจากหนังสือ แล้วคนเมืองก็เป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะเสียด้วย

คนเกิดมาทำไม
ผมเคยเขียนตอบไปแล้วว่า
เกิดมาเพื่อรักคนอื่น ลองคิดต่อๆ ไปก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ มันเป็นสิ่งที่ให้เรายึดไว้
ทำให้ตัวเองมีคุณค่ากับคนอื่น มีเราอยู่แล้วคนอื่นดีขึ้น คิดแบบนี้มันจรรโลงใจ
หรือมีคนถามว่าเชื่อเรื่องตายแล้วเกิดใหม่ไหม ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้
แต่สิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ไม่ได้แปลว่าไม่มีนะ
เราเอาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ไม่ได้ก็จริง แต่คิดแบบนี้แล้วมันเป็นความคิดที่รับใช้ชีวิตเราได้ดีกว่า
ถ้าเราคิดว่าเกิดมาชาติเดียวแล้วใช้ชีวิตให้ระห่ำไปเลย
เหมือนไปดูหนังกลางแปลงที่หนึ่ง แล้วเราคิดว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว
เราก็ทิ้งของทิ้งอะไรไว้เละเทะ การเชื่อว่าตายแล้วเราจะกลับมาใหม่
จะทำให้เราไม่กล้าทิ้งอะไรไว้ให้เละเทะในที่เดิมที่เราจะมาดูหนังกลางแปลงใหม่

คุณอยู่ในฝั่งที่เชื่อ?
ศาสนาพุทธพูดเรื่องวัฏสงสาร
เกิดแก่เจ็บตาย ถ้ามันสุดแล้วไม่วนมันจะเป็นวัฏหรือ มันจะเป็นวงกลมหรือ
เป้าหมายสูงสุดของศาสนาพุทธคือหลุดออกจากวงกลมนี้ ไม่ต้องตอบว่าเชื่อหรือเปล่า
แต่ถ้าเราเชื่อว่าเราต้องกลับมาใหม่ เราก็จะต้องดีขึ้น จิตสูงขึ้น
สูงจนออกจากวงกลมนี้ไป แต่ถ้าถามแบบคนสมัยใหม่ว่าผมเชื่อไหม ผมก็จะบอกว่า
ผมคิดเรื่องการกลับมาเกิดใหม่แล้วมันจรรโลงชีวิต ความคิดนี้ ศรัทธานี้
มันอุ้มชูชีวิตของเราได้ ตอบแบบนี้จะบอกว่าเป็นสีเทาก็ยอม

ผมว่าทุกคนต้องเคยไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติผู้ใหญ่
ผมถามกลับเลยว่าเราทำไปทำไม ทำเล่นๆ หรือ ทำเอาเท่หรือ เปล่าเลย
เรากรวดน้ำไปให้ผู้ใหญ่ของเรา เพราะเรารู้ว่ามีท่านอยู่อีกภพหนึ่ง
นั่นคือเราเชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ

ตอนนี้อะไรคือสิ่งที่คุณศรัทธาที่สุด
มันไม่มีที่สุดหรอก
ผมศรัทธาในพระศาสนา ศรัทธาในความดีงามของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความดีงามของพระเจ้าอยู่หัวของเรา
ความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกผมก็ศรัทธา

สายสิญจน์ที่ข้อมือของคุณมีที่มายังไงครับ
ผมไปงานบุญที่วัดป่าต่างจังหวัดมา
แล้วธรรมเนียมคนต่างจังหวัดก็รู้อยู่แล้ว เขาก็ผูกสายสิญจน์ให้ ก็ดีออก ไม่เสียหาย
ไม่ได้หนักไม่ได้อะไร เป็นมงคล ผมชอบคำว่ามงคล เป็นคำดี ผมว่าฝรั่งไม่มีนะคำนี้
ขลังหรือเปล่าไม่รู้ แต่เป็นมงคล เหมือนเราไปกราบแม่ แล้วแม่เอามือลูบหัว
เรารู้สึกว่ามันเป็นมงคล ไปทำบุญแล้วพระรดน้ำมนต์ให้ เป็นมงคล

คุณมองคนที่ตัดสติ๊กเกอร์แปะท้ายรถว่า
รถคันนี้สีแดงว่ายังไง
ก็เหมือนคนสมัยก่อนที่เขานุ่งผ้าสีตามวัน
เรื่องเดียวกันนั่นแหละ

ถ้ามีคนบอกว่ากำลังจะไปเปลี่ยนชื่อเพราะหมอดูทัก
คุณจะบอกอะไรเขา
มันเป็นอีกศาสตร์หนึ่ง เหมือนวิชากินอาหารตามกรุ๊ปเลือด
เหมือนวิชาดมกลิ่นตามธาตุเรือนเกิด ชีวิตมนุษย์มันสนุกมากเนอะ
มีเรื่องให้ได้ปุจฉาให้เถียงให้ไม่ไว้วางใจได้ตลอด ผมไม่ได้มองเรื่องแบบนี้ว่าแย่นะ
ก็ต้องดูว่ามันเป็นวิถีชีวิตของเราไหม เรื่องความเชื่อพวกนี้
ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้วทำให้เรามั่นใจมากขึ้น มีพลังใจมากขึ้น ก็ต้องถือว่าศรัทธาตัวนี้ดี
แต่ผมเห็นบางคนเปลี่ยนชื่อไม่รู้กี่รอบ
แล้วก็เที่ยวบังคับคนอื่นให้เปลี่ยนชื่อก็มี
บางคนทำขนาดรื้อบ้านเพราะหมอดูทักเรื่องฮวงจุ้ย ก็คงต้องถามว่า
มันรบกวนชีวิตเราไหม มันมีวิชาแปลกๆ เยอะ คนรู้จักคนหนึ่ง ศรัทธาในพระอาทิตย์
วิชาของพวกเขาต้องตื่นมาดูพระอาทิตย์ตอนเช้าทุกวัน แต่ไปทำอีท่าไหนไม่รู้
ดูเสียจนเป็นต้อแดดไปเลย

คนจีนซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่ให้ความสำคัญเรื่องฮวงจุ้ยมาเป็นพันปี
เขาพูดว่าคนจะเจริญได้ด้วย 3 ประการคือ ฟ้า ดิน และคน เราจะแปล 3 คำนี้ว่ายังไง
ซินแสอาจบอกว่า ฟ้าคือเทพเจ้าผู้ดลบันดาลชะตาชีวิตเรา ดินคือฮวงจุ้ยทำเลที่ตั้ง
คนคือโหงวเฮ้งลักษณะของบุคคล แต่ผมอาจจะช่วยซินแสอธิบายเพิ่มเติมว่าอันที่จริงแล้วคีย์เวิร์ด
3 คำนี้ อาจแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า ‘ฟ้าคือโอกาส
ดินคือทำเลหรือตำแหน่ง คนคือความสามารถ’ ยกตัวอย่าง
ชาวนาจะทำผลผลิตได้ดีมั้ย ก็อยู่ที่ฟ้า อยู่ที่ดิน และอยู่ที่คน
ฟ้าผมจะหมายถึงฤดูกาล เราปลูกข้าวถูกฤดูมั้ย ฝนตกต้องตามฤดูมั้ย ดินผมก็แปลตรงๆ
เลยว่าดิน ทำเลปลูกดีมั้ย ระบายน้ำดีมั้ย ดินอุดมมั้ย
ส่วนคนผมก็จะหมายความว่าเราปลูกเก่งมั้ย ขยันมั้ย

ลองยกตัวอย่างคนในเมืองบ้างก็ได้ สมมติเป็นคนทำงานบริษัท ฟ้าคืออะไร
โอกาส หรือกาลเทศะ หรือไตรมาส หรือไฮซีซั่น โลว์ซีซั่นก็ได้ พวกนี้แหละฟ้าทั้งนั้น
ดินล่ะแปลว่าอะไร ตำแหน่งที่ทำงานไง put the man on the right job ถูกตำแหน่งมั้ย ส่วนคนก็หมายถึงความสามารถ
ความพยายาม และก็ทัศนคตินั่นเอง

ทุกวันนี้เวลาต้องกรอกแบบฟอร์มช่องอาชีพ
คุณเขียนว่าอะไร
นักธุรกิจ
หน้าที่ตรงนั้นคือเขาต้องการรู้ว่าเราเป็นพ่อค้าหรือเป็นนักเรียน
หรือเป็นข้าราชการ ผมก็เขียนไปตามที่เขาต้องการ แล้วอันที่จริงผมก็เป็นนักธุรกิจนะ

ทำไมเวลาที่เราเห็นคุณหรือเห็นงานของคุณผ่านสื่อ
เราถึงเห็นแต่บทบาทของนักคิด นักเขียน ศิลปิน เราไม่เคยเห็นคุณในภาพของนักบริหารเลย
ทั้งๆ ที่คุณมีตำแหน่งเป็นถึงรองประธานกรรมการ และงานบริหารของคุณก็ไม่ใช่น้อยๆ
น่าจะเป็นเพราะงานบริหารผมไม่โดดเด่นมั้ง
ผมเป็นผู้บริหารที่ใส่กางเกงยีนส์ เดินไปเดินมาทั้งวัน ไม่ค่อยอยู่กับโต๊ะ

ความฝันในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของคุณคืออะไร
ได้สร้างงานศิลปะออกมาเรื่อยๆ
โดยเฉพาะเรื่องงานเขียนกับเรื่องศิลปะการแสดง

ไม่ได้ฝันเรื่องสร้างตึกเลย
ก็ฝันเหมือนกัน แต่ฝันเรื่องวรรณกรรมมากกว่า

แล้วพอทำฝันสำเร็จแล้ว
มีด้วยหรือทำฝันสำเร็จ ฝันมันก็คือฝัน มันก็ทำไปเรื่อยๆ
ทำเสร็จก็ฝันต่อ เป็นมนุษย์นี่ ถ้าไม่มีฝันชีวิตมันก็จะไม่มีการรอคอย
เราเหมือนเมล็ดพืชที่รองอก รอน้ำ ฝันนี่แหละน้ำ
ไม่มีฝันเราก็เป็นเมล็ดพืชที่เป็นฟอสซิล

ความฝันของคุณในวันนี้คือ
ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากทำเยอะแยะ หนังก็อยากทำ มิวเซียมก็อยากทำ
โรงเรียนก็อยากทำ เดินทางไปในที่ที่ไม่เคยไปก็อยากทำ

โตขึ้นคุณอยากเป็นอะไร
ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องการได้เป็นอะไรเท่าการได้ทำอะไร
ผมเคยเขียนเรื่องนี้ว่าอย่าไปฝันว่าอยากเป็นอะไรกัน คุณต้องอยากทำอะไรก่อน
แล้วมันจะเป็นเอง

คุณพอจะไปแข่งรายการ แฟนพันธุ์แท้ ตอนไหนได้บ้าง
ไปแข่งไม่ได้เลย ผมไม่ได้มีฮอบบี้แบบนั้นเลยนะ ถึงขนาดว่า ผมชอบวงดิ
อีเกิลส์ แต่รู้จักชื่อสมาชิกไม่ครบทุกคน ผมไม่ใช่มนุษย์แบบแฟนพันธุ์แท้

ถ้ามีแข่งแฟนพันธุ์แท้ตอนประภาส ชลศรานนท์
คำถามรอบสุดท้ายจะเป็นอะไร
อันนี้เอาสนุกๆ ใช่ไหม เพราะทีมงานเขาขอทำแล้ว แต่ผมไม่ให้ทำ

สมมติเล่นๆ แล้วกันครับ
ลองถามว่าแว่นที่ผมใส่นี่สายตาสั้นหรือสายตายาว

ไม่ถามง่ายไปหน่อยหรือ คำถามแฟนพันธุ์แท้มักจะยาก
หรือจะถามว่า ผมเคยถ่ายแฟชั่นบ้างมั้ย (หัวเราะ)

เหมือนกับว่าคุณไม่ชอบอยู่เบื้องหน้า?
มันเป็นที่ที่เราอยู่แล้วไม่สบาย

เดินห้างคนจำได้ไหม
ไม่ได้

ดีใจหรือเสียใจ
ดีใจสิ ผมชอบแบบนี้ เคยไปซื้อหนังสือในห้างแล้วใช้เครดิตการ์ด
คนขายเห็นชื่อก็ตกใจ อุ้ย! หน้าตาเป็นอย่างนี้เอง
ผมก็เลยคุยกับเขาว่าอ่านหนังสือผมเหรอครับ เขาก็บอกว่าอ่านทุกเล่มเลย
เคยเห็นแต่รูปเล็กๆ ที่อยู่ในหนังสือ ผมไปเดินแผงเทปที่สยามฯ ประจำ คนขายเขาก็เชียร์โน่นเชียร์นี่
แล้วก็เชียร์เฉลียง เฮีย วงเนี้ยเพลงมันแปลกดี เฮียน่าจะชอบ เขาเรียกผมเฮียเลย เขาไม่รู้จักผมหรอก
ผมก็บอกว่าเฮียก็ชอบ แต่เฮียอยากได้เพลงวัยรุ่น

เดินงานสัปดาห์หนังสือแล้วคนจำได้ไหม
ได้ อันนั้นเป็นคนอ่านจริงๆ เขาตั้งใจมา ผมก็ตั้งใจไป
ผมให้เวลากับแฟนๆ หนังสือเต็มที่เลยนะ ให้เซ็นหนังสือ 2 ชั่วโมงก็เซ็น เมื่อยก็สู้
รู้สึกเหมือนเป็นที่ของเรา ญาติเราทั้งนั้น ไม่ได้รู้สึกเหมือนไปโชว์ตัว

มีประโยคเด็ดเวลาเซ็นหนังสือไหมครับ
ก็เปลี่ยนๆ ไปตามหนังสือ ผมจะเอาชื่อหนังสือมาเล่น อย่างเรื่อง มะเฟืองรอฝาน
ก็จะเขียนว่า ‘ขวานขวัญจักฝานฝัน’ ไปแปลกันเอาเอง บางทีก็แหย่ๆ เล่น อย่างเรื่อง เชือกกล้วยมัดต้นกล้วย
ก็เป็น ‘มัดได้มัดดี’ เรื่อง
กบเหลาดินสอ
ก็ ‘เหลาทุกวัน’ คือให้เขาอ่านหนังสือทุกวันนั่นแหละ

แล้วเรื่อง หลังตู้เย็น
เออ เล่มนี้ไม่มี (หยุดคิว) ‘กี่คิว’ (หัวเราะ)

ในแต่ละวันคุณต้องทำงานอะไรบ้าง
แต่ละช่วงไม่เหมือนกัน อาทิตย์นี้มาออฟฟิศทำอย่างเดียวเลย
เขากำลังทำคอนเสิร์ตกัน (เพลงแบบประภาส) ก็ต้องมาฟังเพลงที่เอาไปเรียบเรียงใหม่
แต่ที่ผ่านๆ มา บางช่วงก็ประชุมเกือบทุกวัน ยิ่งช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงรายการ
เปลี่ยนแปลงทีมงาน บางช่วงก็ว่าง ต้องไปหาหนังดู
ปีนี้แทบทั้งปีต้องคอยปลีกเวลาที่บ้านอิทธิฤทธิ์วันละครั้ง สองวันครั้งบ้าง
ไปตรวจงานแอนิเมชัน (เรื่อง ยักษ์) เขาเขียนเสร็จฉากนึงก็เข้าไปดู
ออกแบบตัวละครเสร็จตัวนึงก็เข้าไปดู

เป็นงานเชิงตัดสินใจ ให้ความเห็น?
แล้วแต่งาน รายการทีวีนี่ให้ความเห็น เสริมบ้าง
เรื่องเพลงนี่ช่วยตัดสินเองเลย งานแอนิเมชันนี่กำกับเอง

เวลาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์คุณทำอะไรบ้าง
เขียนหนังสือใช้เวิร์ด แล้วก็ใช้โปรแกรมโฟโต้ช็อป
แล้วก็เปิดอินเทอร์เน็ต เช็กเมล อ่านเว็บไซต์บ้าง แต่ยาวๆ ก็ไม่ไหว ถ้าดีมากๆ
ก็เซฟเก็บไว้แล้วอ่านทีหลัง ผมมองมันเหมือนตู้ไปรษณีย์ที่บ้าน
กลับมาก็ต้องเปิดเครื่องทิ้งไว้ ดูว่ามีใครส่งอะไรมาถึงเราบ้าง ดูบัญชีได้
ผมใช้โทรศัพท์ที่ฟังเพลงได้ ก็จำเป็นที่จะต้องอัพเดตเพลงอยู่เรื่อยๆ ต้องเอาซีดีมาแปลงเป็นไฟล์ติดตัวไว้ฟัง

เพลงที่คุณฟังบ่อยที่สุดตอนนี้คือ
ตอนนี้ฟังเพลงเดียวกับลูก เขาฟังเพลงประกอบหนังของจิบลิ สตูดิโอ
เพลงของ Depapepe ก็ฟัง เออ มันเก่งเล่นกีตาร์กันเก่งเว้ย แล้วผมเพิ่งไปซื้อแผ่นเพลงบรรเลงของอิตาลี
ของสเปน ซื้อมา 4 – 5 แผ่น ฟัง Ann Sally ฟังแล้วเหมือนอยู่ในทุ่ง
ฟังแล้วหัวเบา แล้วก็ฟังเพลงไทยเดิมเพื่อศึกษาอะไรบางอย่างมาทำรายการ คุณพระช่วย

คุณยังได้ใช้กบเหลาดินสออยู่ไหม
ผมเขียนทุกเพลงบนกระดาษด้วยดินสอ เขียนหนังสือน่ะเขียนในคอมได้แต่เขียนเพลงไม่ได้
เขียนหนังสือมันเขียนไปตามที่คิดที่พูดแล้วค่อยกลับมาตบๆ เอา
แต่เขียนเพลงมันทำไม่ได้ เพราะใช้คำน้อย ต้องแช่อยู่กับคำไม่กี่คำ บางทีก็นอนเขียน
ปากกานี่นอนเขียนแล้วไม่ออก จะเหน็บตรงไหนก็ต้องกลัวหมึกเลอะ
ดินสอนี่โยนลงบนที่นอนเลย แล้วเขียนเพลงมันคล้ายๆ กับเขียนรูป มันใช้อารมณ์ที่ขีดๆ
บนกระดาษแล้วคิดออก
ได้รับรู้ความรู้สึกของความความฝืดที่ไส้ดินสอมันกระทบกับกระดาษ
เวลาแต่งเพลงนี่บางทีก็วาดรูปไปด้วยนะ

ถ้าให้คุณเอาชีวิตตัวเองมาเขียนเป็นบทหนัง
ธีมของหนังเรื่องนี้คืออะไร
ชีวิตผมเรียบง่ายมากนะ ถ้าเป็นหนังก็คงเป็นหนังที่ไม่สนุกเลย
เด็กบ้านนอกคนหนึ่งมาเรียนกรุงเทพฯ เรียนจบก็ทำงาน ถ้ามีหนังแบบนี้ผมก็ไม่ดู
แต่ชีวิตช่วงที่สนุกที่สุดน่าจะเป็นตอนอยู่ถาปัด ก็เรื่อง ว้าวุ่น
ที่ปินดาเขียนนั่นแหละ ตัวละครเยอะ และล้วนประหลาดๆ ทั้งนั้น จะว่าไปช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่น่าเอามาทำเป็นหนังนะ
นิติพงษ์กับศรัณยูนอนมุ้งเดียวกัน ช่วงเวลาตรงนั้นละครถาปัดเพิ่งเริ่มมาไม่นาน
อาจารย์สดใส (พันธุมโกมล) ท่านกำลังปูพื้นฐานละครเวทีสมัยใหม่ในเมืองไทย เก้ง
จิระกำลังเรียนภาพยนตร์อยู่ใกล้ๆ กัน ส่วนข้างนอกกำลังจะเกิดแกรมมี่
กำลังจะตั้งเจเอสแอล แอ๊ด คาราบาวกำลังจะออกเทปม้วนแรก ครูเล็ก ภัทราวดี (มีชูธน)
กำลังทำการแสดงที่เรียกว่าคอนเสิร์ตแรกของคนไทย
แกรด์เอ็กซ์เอาเพลงลูกทุ่งกับเพลงฝรั่งมารวมกัน ยังไม่มีมาบุญครอง สยามสแควร์
มีแต่ร้านตัดผมกับร้านอาหาร ไม่มีเซ็นเตอร์พอยท์ เบิร์ด (ธงไชย แมคอินไตย์)
กำลังจะเข้าประกวดร้องเพลง เออ…ช่วงเวลานั้นน่าเอามาทำหนังจริงๆ ด้วย

คุณเพิ่งไปงานเลี้ยงรุ่นครบรอบ 30
ปีที่เจอกันของเพื่อนรุ่นนี้มา บรรยากาศในงานเป็นยังไงบ้าง
ก็เฮฮา มากันเกือบครบ นัดไปเจอกันที่คณะ กะเอาวันให้ตรงกับวันที่เจอกันวันแรกเมื่อ
30 ปีก่อน บางคนไม่ได้เจอกันมา 20 กว่าปี บางคนเรียนจบก็แยกย้าย เพิ่งได้มาเจอกัน
ก็แปลกดีที่กี่ปีไม่ต้องเจอก็ได้ พอมาเจอกันใหม่ ไอ้เวลาตรงนั้นมันหายไปเลย
เหมือนถูกเลื่อนออกแล้วมาชนกันใหม่ เหมือนกลับไปหาอดีต เป็นความมหัศจรรย์นะที่เรากลับไปหาอดีตได้

ไม่ได้เขียนคอลัมน์ประจำนานๆ คิดถึงผู้อ่านไหม
คิดถึง

ถ้า a day อยากชวนคุณมาเขียนคอลัมน์ประจำ
ก็สนใจอยู่ แต่มันมีติ่งของความกังวลที่อยู่ในใจด้วย เคยคิดอยากเขียนให้คนอีกรุ่นนึงอ่าน
ไม่แน่ใจว่าภาษาแบบผมจะยังไปถึงเขาได้มั้ย มันมีสองความคิดว่าจะเขียนแบบใหม่
หรือจะเขียนในวิธีเดิมๆ ที่ผมถนัด แต่ก็เป็นโจทย์ที่น่าสนใจ เขียนให้ a day เด็กๆ จะอ่านกันหรือ

อ่านสิครับ เริ่มเล่มหน้าเลยดีไหม
ขอรับคำเทียบเชิญไว้ก่อน

ประโยคเมื่อกี้ผมเขียนลงใน a day แล้วนะครับ
(หัวเราะ)

“ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องการได้เป็นอะไรเท่าการได้ทำอะไร
อย่าไปฝันว่าอยากเป็นอะไรกัน คุณต้องอยากทำอะไรก่อน แล้วมันจะเป็นเอง”

(จากคอลัมน์ a day with a view – a day 95 กรกฎาคม 2551)

อ่านบทสัมภาษณ์ตอนอื่นๆ ได้ที่นี่
ตอนที่ 1
ตอนที่ 2

ภาพ นิติพัฒน์ สุขสวย

AUTHOR