คุยกับ COPTER ศิลปินหนุ่มขี้อายผู้ใช้เพลงเศร้าแบบมูฟออนไม่ไหวมาขโมยหัวใจคนฟัง

กาต้มน้ำกำลังเดือด ถ้วยบะหมี่สำเร็จรูปปิดฝาไว้คล้ายรอให้เส้นสุก มือข้างหนึ่งควงปากกาอยู่หน้าสมุดจด และหน้าจอคอมพิวเตอร์กำลังเปิดรูปมีมแมวชื่อดัง  COPTER

ภาพเหตุการณ์ที่ว่ามาทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านลายเส้นสุดคิวต์ที่ถูกวาดขึ้นประกอบเพลง เธอบอกว่าฉันไม่ดี ของ COPTER ศิลปินปริศนาผู้ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นในเอ็มวีเลยสักวินาทีเดียว

แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าถึงจะไม่เปิดตัว ยอดวิวของเพลงเพลงนี้ก็พุ่งแตะล้านวิวได้ในเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น

ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย แต่เป็นคอนเซปต์ที่ คอปเตอร์–วิศรุต เล้าเจริญชัย ศิลปินหนุ่มวัย 21 ปีวางแผนมาเป็นอย่างดี ด้วยความตั้งใจที่อยากให้คนฟังได้ ‘ฟัง’ เพลงจริงๆ และชอบหรือไม่ชอบมันอย่างที่มันเป็น

คอปเตอร์เกิดที่ขอนแก่น เติบโตมากับครอบครัวที่เสพติดการร้องคาราโอเกะเป็นประจำ เมโลดี้ของดนตรีจึงเปรียบเสมือนปัจจัยที่ 5 ในชีวิต คอปเตอร์ฝันอยากทำเพลงมาตั้งแต่เด็ก เขาเปิดช่องยูทูบคัฟเวอร์กีตาร์ตั้งแต่อยู่ ป.5 ฝึกฝนความเชี่ยวชาญจนสามารถแต่งเพลงของตัวเองและส่งเดโมไปตามค่ายเพลงต่างๆ ด้วยความหวังอยากเป็นศิลปิน

ใครจะรู้ว่างานของเขาไปเตะตา (หรือหู) BOXX Music ค่ายสุดท้ายที่เขายื่นส่งไปโดยไม่หวังผลอะไร หลังจากเดบิวต์ในฐานะศิลปินได้ไม่นาน เขาก็ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยหลังเข้าเรียนได้เพียง 3 เดือนเพื่อออกมาทำงานเพลงอย่างจริงจัง

ตั้งแต่ปล่อย เธอบอกว่าฉันไม่ดี เมื่อปี 2562 คอปเตอร์ก็ตัดสินใจเปิดเผยตัวตนในเพลงต่อมาเพื่อให้คนฟังได้รู้จักเขาอย่างแท้จริง สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือในเพลงแต่ละเพลง คอปเตอร์จะอยู่ร่วมในทุกกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกเพลงนั้นคงเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นบีตป๊อปๆ ที่ต้องมีท่อนโซโล่กีตาร์ในแทบทุกเพลง เนื้อร้องเชิงประชดประชันแต่ไม่ก้าวร้าว หรือท่อนจบที่กระแทกใจคนมูฟออนไม่ได้เป็นพิเศษ จนหลายคนยกให้เขาเป็นศิลปินเจ้าประจำแห่งวงการเพลงอกหักคนใหม่ 

ล่าสุดเขาปล่อยซิงเกิล เดี๋ยวเธอกับเขาก็คืนดีกัน ที่ชวนเติร์ดจากวง Tilly Birds มาร่วมฟีเจอริงความเศร้าด้วยกัน ซึ่งจับใจคนอยู่ในเฟรนด์โซนได้อย่างไม่ต้องสงสัย

คำถามคือภายใต้เสียงเหงาๆ และเมโลดี้ติดหูเหล่านี้มีที่มาที่ไปยังไง นั่นคือเหตุผลที่เรามานั่งคุยกับเขาในวันนี้

ตอนเด็กๆ คอปเตอร์เป็นเด็กแบบไหน

เป็นเด็กทั่วไปนั่นแหละครับ เคยคิดว่าตัวเองขี้อาย ไม่ค่อยกล้าแสดงออก แต่พอกลับไปดูภาพที่เคยถ่ายไว้ตอนเด็กก็มักจะมีภาพในอัลบั้มที่ไปเต้นหน้าชั้นเรียนเสมอ (หัวเราะ) แต่เอาจริงๆ เรามองว่าเราไม่ได้มีความมั่นใจในตัวเองขนาดนั้น เราชอบเขิน เวลาคนมองเราเยอะๆ แล้วจะทำตัวไม่ถูก จริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นถ้าต้องขึ้นเวทีไปเล่นต่อหน้าคนเยอะๆ ยังจัดการกับความคิดและร่างกายตัวเองไม่ได้ เป็นคนไม่ค่อยมั่นใจ อีกอย่างคือถ้าไม่ได้อยู่กับเพื่อนก็จะพูดน้อย ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร

ที่เขาบอกว่าคนขี้อายมักจะกล้าแสดงออกในด้านอื่นๆ มากกว่าคำพูด สำหรับคุณมันคือการทำเพลงหรือเปล่า

เป็นเหตุผลหนึ่งเลย เพลงแรกๆ ที่ปล่อยออกมาอย่าง เธอบอกว่าฉันไม่ดี เราก็ไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเอ็มวีแล้วใช้เป็นภาพการ์ตูนแทน เพราะตอนนั้นเราเพิ่งเข้ามาอยู่ที่ BOXX ใหม่ๆ แล้วยังไว้ผมยาว รู้สึกยังไม่ค่อยมั่นใจในลุคตัวเองเท่าไหร่ คือพอใจนะ แต่จะเอาลุคนั้นไปออกเพลงป๊อปก็อาจจะยังไม่ใช่ 

ประกอบกับตอนนั้นเราคุยคอนเซปต์กับพี่ครีเอทีฟของค่ายว่า ถ้าปล่อยเพลงแรกเราอยากพรีเซนต์ตัวเพลงก่อน เพราะยังไม่มั่นใจว่าจะมาแนวเพลงนี้ดีไหม ไม่แน่ใจว่าคนจะเก็ตซาวนด์และเนื้อเพลงแบบนี้ไหม พี่ครีเอทีฟก็เสนอไอเดียว่างั้นก็ใช้การ์ตูนแอนิเมชั่นในเอ็มวี แล้วให้เราถ่ายบรรยากาศห้องทำงานและสัตว์เลี้ยงของตัวเองมาให้คนวาดดราฟต์ ซึ่งมันก็พรีเซนต์ตัวเราในอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน

พอปล่อยเอ็มวี เธอบอกว่าฉันไม่ดี ออกไป ยอดวิวก็แตะถึงล้านในสัปดาห์เดียวเลย เคยคิดไหมว่ากระแสจะดีขนาดนี้

ไม่คิดเลย เพราะว่า ณ วันที่ปล่อยเพลงเราปล่อยให้ฐานะ newcomer เป็นน้องใหม่ ไม่ได้มีฐานแฟนคลับ ไม่ได้เป็นนักร้องจากการประกวด เราหน้าใหม่มากๆ เลย วันนั้นเราเลยไม่ได้มีความคาดหวัง คือใช้คำว่าแอบเสียวด้วยซ้ำว่าจะแป้กหรือเปล่านะ (หัวเราะ) แต่พอสุดท้ายฟีดแบกดีก็เลยรู้ว่าเรามาถูกทางแล้ว เหมือนเราเจอหมุดแล้ว 

แล้วพอหลายคนรู้จักเราจากเพลงนี้แต่ไม่รู้ว่าหน้าตาคนร้องเป็นยังไง เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตแล้วมีคนถ่ายคลิปแฟนแคมตอนเล่นเพลง เธอบอกว่าฉันไม่ดี ในคลิปก็จะมีเสียงพูดเข้ามาในกล้องเลยว่า เฮ้ย คนนี้ร้องเพลงนี้เหรอ คนนี้เป็นเจ้าของเพลงนี้เหรอ (หัวเราะ)

ความสำเร็จนี้ทำให้คุณกดดันกับการทำเพลงต่อไปบ้างไหม

ไม่กดดันเพราะว่าไม่คาดหวังเลย ทุกวันนี้ที่ทำเพลงเราก็ตั้งธงไว้ว่าต้องทำงานให้ดีที่สุด ในขณะเดียวกันก็ต้องแฮปปี้ด้วย เรารู้สึกว่าถ้าเราแฮปปี้ คนฟังแฮปปี้ นั่นคือ success แล้ว เหมือนอย่างเพลง เธอบอกว่าฉันไม่ดี ต่อให้มันไม่ได้ล้านวิวตั้งแต่สัปดาห์แรก แต่ถ้าสมมติว่ามี 20 คอมเมนต์แล้วเขาบอกว่าชอบหมดเลย แค่นั้นเราก็รู้สึกว่าสำเร็จแล้ว เรามองแค่นั้นเลย 

COPTER

แล้วทำไมถึงตัดสินใจเปิดหน้าให้คนฟังเพลงได้เห็น

หลังจากเพลง เธอบอกว่าฉันไม่ดี เราปล่อยเพลง แล้วไง ซึ่งเอ็มวีก็ยังเป็นแอนิเมชั่นอยู่ พอเพลงต่อมาอย่าง จำได้ไหม ก็เหมือนได้ปรึกษากับพี่ๆ ในค่าย เราไม่ได้เสนอด้วยว่าจะออกกล้อง แต่พี่ๆ เขาคงเห็นอะไรบางอย่าง อาจด้วยลุคที่รู้สึกว่าพร้อมมากขึ้นด้วย เขาเลยบอกว่าเพลงนี้พี่ให้เตอร์เล่นเอ็มวีนะ เราก็งงว่าจริงเหรอ

กระแสตอบรับหลังจากเปิดตัวเป็นยังไงบ้าง

(หัวเราะ) ถ้าเอาตรงๆ ก็ดีขึ้นนะ ต้องยอมรับว่าพอเราเปิดหน้าก็มีคนสนใจมากขึ้น จริงๆ คนเริ่มสนใจมากขึ้นตั้งแต่เปิดหน้าให้สัมภาษณ์ตอนโปรโมตเพลง แล้วไง ตอนนั้นมีคนแชร์รูปเยอะมากทั้งๆ ที่เราลงรูปปกติ 

พอกระแสดีแบบนี้รู้สึกไหมว่า เฮ้ย เราก็หล่อนี่หว่า น่าจะเปิดหน้ามาตั้งนานแล้ว

ไม่ๆ ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย (หัวเราะ) แต่พอกระแสดีมันเหมือนกลับมากดดันตัวเองนิดหนึ่งด้วยซ้ำ เรากลัวคนจะมองว่าเรามาอยู่ตรงนี้ได้เพราะเรื่องหน้าตาหรือเปล่า แอบคิดนิดหนึ่ง แต่สุดท้ายก็เหมือนทิ้งชุดความคิดนี้ไปและเน้นพิสูจน์ตัวเองให้คนเห็นมากกว่าว่าเราก็มีความสามารถนะ อย่างตอนเล่นคอนเสิร์ตเราจะดีไซน์โชว์ว่าต้องมีซีนโซโล่กีต้าร์ของตัวเองให้คนรู้ว่าเราเล่นได้จริงๆ นะ เหมือนเอาความสามารถตัวเองออกมาให้ทุกคนได้เห็น

อาจเพราะตอนเด็กๆ เราเสพเพลงของวงร็อกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งพี่ๆ เขาจะดิบๆ ไม่ได้เน้นภาพลักษณ์เท่าไหร่ เราก็จะเสพดนตรีและความสามารถของเขามากกว่า เราคิดว่าภาพลักษณ์และลุคมันสำคัญนะ แต่คุณภาพงานก็สำคัญไม่แพ้กัน

COPTER

การออกจากมหา’ลัยมาทำงานในวัยนี้ทำให้เราต้องพยายามมากกว่าคนอื่นไหม

เอาจริงๆ เหมือนแข่งกับตัวเองมากกว่า ถ้าไม่เรียนก็ต้องทำงาน ต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองและที่บ้านด้วย 

เราตัดสินใจออกมาเพราะรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้สิ่งที่มหา’ลัยสอนก็ได้ รู้เท่าที่เราอยากจะรู้ บางทีสำหรับเรามันอาจจะเสียเวลาชีวิตไปเพราะเราอาจจะไม่ได้รู้จักตัวเอง ไม่ได้ค้นหาตัวเองด้วยซ้ำ เหมือนเราทำตามระบบ คือจบ ม.6 ปุ๊บต้องเข้ามหา’ลัย โดยที่ตอนเข้ามหา’ลัยเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบเรียนดนตรีจริงไหม หรือแค่ชอบเล่น ชอบฟัง พอเข้าไปแล้วเรารู้ว่า เฮ้ย จริงๆ เราอยากทำงานนี่ งั้นตัดสินใจออกมาละกัน เพื่อให้หนึ่ง–ได้ค้นหาตัวเอง และสอง–ได้ทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามีความสุข

แต่จริงๆ ทุกวันนี้ก็ไม่ได้มองว่าจะต้องไปแข่งกับใครหรือกดดันตัวเองให้เหนือกว่าคนอื่น เรามีความสุขกับการทำงานตรงนี้ และรู้สึกว่ามันได้มีเวลาชีวิตเยอะมากๆ ให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น พอเราอยู่คนเดียวก็ได้คิดทบทวนหลายๆ อย่าง และได้รับผิดชอบตัวเองมากขึ้น

เพลงส่วนมากของคุณเป็นเพลงอกหักทั้งนั้นเลย มันมีเสน่ห์ยังไง ทำไมถึงชอบเขียนเพลงอกหักนัก

จริงๆ อยากให้ตัวเองเขียนเพลงได้ทุกแนวเลย แต่เราแค่รู้สึกว่าเพลงอกหักหรือเพลงเศร้า ไม่ว่าจะมูฟออนได้หรือไม่ได้ มันน่าจะสามารถเข้าถึงทุกคนได้ง่ายกว่า ซึ่งอาจไม่ได้เศร้าหรืออกหักแต่ก็อินได้ อีกเหตุผลหนึ่งคือเราเจอมากับตัวเองด้วย เราเองก็เข้าใจ 

อย่างซิงเกิลล่าสุด เดี๋ยวเธอกับเขาก็คืนดีกัน คุณไปร่วมงานกับเติร์ด Tilly Birds ได้ยังไง แรงบันดาลใจของเพลงนี้มาจากไหน

มันไม่ได้มาจากประสบการณ์ส่วนตัวของเราเอง แต่เป็นเรื่องของเพื่อนที่ชอบมีเพื่อนอีกคนมาปรึกษาเวลาทะเลาะกับแฟน เวลาเพื่อนคนนั้นเริ่มระหองระแหงเขาก็ชอบบอกว่าจะเลิกแล้ว เพื่อนเราก็ให้คำแนะนำว่าถ้าไม่ไหวก็ถอยออกมาดีกว่า แต่พอผ่านไปไม่นานเพื่อนก็เห็นเขากลับไปคืนดีกัน ก็เอ้า ยังไงล่ะทีนี้ 

พอเราได้ฟังที่เพื่อนมาบ่นกับเรา อยู่ดีๆ คำว่า ‘เดี๋ยวเธอกับเขาก็คืนดีกัน’ ก็แวบขึ้นมา เราก็จดไว้และคิดว่ามันน่าจะต่อยอดได้ 

COPTER

ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถฟังเรื่องคนอื่นแล้วมาเขียนเพลงได้ ตอนฟังเรื่องนั้นๆ คุณรู้ได้ยังไงว่ามันจะกลายเป็นเพลงที่ดี

เอาจริงๆ เราก็ไม่รู้หรอก แต่เรารู้สึกว่าไอเดียในการเขียนเพลงมันเกิดขึ้นได้รอบตัวเลย มันอาจจะเป็นแค่ความสนใจของเราเองที่รู้สึกว่าคำคำนี้มันน่าจะเอามาเขียนเป็นเพลงต่อได้ ไม่รู้ว่ามันจะจบยังไง แต่พอเราเขียนไปมันเหมือนเราได้ผจญภัยไปกับเนื้อเพลง และคิดไว้ว่าต้องกำหนดจุดไคลแมกซ์ให้มัน ซึ่งเพลงเพลงนี้มันคือคำว่าเฟรนด์โซน ไม่รู้หรอกว่ามันจะโดนหรือเปล่า แต่แค่รู้สึกว่าทำเองแล้วชอบ คนอื่นก็น่าจะชอบเหมือนที่เราชอบ 

ตัวเอกในเพลงนี้ดูเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เขาเหมือนหรือต่างจากตัวคุณแค่ไหน

(นิ่งคิด) จะบอกว่าพระเอกในเพลงแทบจะเหมือนเราร้อยเปอร์เซ็นต์เรื่องความไม่มั่นใจ อย่างเราก็เคยแอบชอบเพื่อนคนหนึ่งแล้วก็ไม่กล้าบอกเขา คือไม่รู้หรอกว่าบอกไปแล้วเขาจะชอบเราเหมือนกันไหม แต่ถ้าบอกไปแล้วเขาไม่ชอบล่ะ ถ้าเขาอยากเป็นแค่เพื่อนมันก็คงเสียเขาไปเลย จนทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่โดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเคยชอบ

พอทำเพลงนี้เราก็ดึงความรู้สึกนั้นมาเขียนให้ตัวละครไม่มั่นใจในตัวเอง มีความเป็นลูเซอร์ในเรื่องความรัก ไม่กล้าพูดเพราะกลัวจะเสียเขาไป ไม่รู้สิ เราว่าเสียเพื่อนมันน่าเสียใจยิ่งกว่าเลิกกับแฟนอีก

แล้วคุณอยากจะหลุดออกจากสถานะลูเซอร์บ้างไหม

เอาจริงๆ มันก็เป็นธรรมชาติของแต่ละคน ซึ่งธรรมชาติของเราก็อาจจะไม่กล้าพูด เวลาชอบใครก็ไม่กล้าบอกเขา แต่ถามว่ามันแฮปปี้ไหมกับตัวเองที่เป็นอย่างนี้ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ถึงกับแย่นะ เพราะถ้าไม่แฮปปี้เราคงพยายามดิ้นออกไป แต่บางทีมันก็อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ยังไม่เจอคนที่ใช่ และจริงๆ ก็ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นลูเซอร์อะไรขนาดนั้น เราแค่แฮปปี้ดีกับการอยู่คนเดียว (ยิ้ม)

COPTER

พอได้เขียนเพลงรักหรือเพลงอกหัก งานนี้มันส่งผลกับมุมมองความรักของคุณยังไงบ้าง

ส่งผลนะ ตัวเราเองตอนเขียนไปมันจะไม่ค่อยคิดอะไรเยอะ ปล่อยไหลไปตามจินตนาการ แต่พอเขียนเสร็จแล้วกลับมานั่งอ่าน เราจะรู้สึกว่า เฮ้ย นี่เราเป็นคนมองความรักแบบนี้นี่หว่า เหมือนเนื้อเพลงมันส่งกลับมาที่ความคิดเรา หรือบางทีก็ส่งผลกลับมาให้เรารู้ตัวเองว่า อ๋อ เราเป็นคนพูดจาแบบนี้ ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น และเราเข้าใจความรักมากขึ้นด้วย

แล้วตอนนี้มุมมองความรักของคุณเป็นยังไง

ในมุมเรา ความรักเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งสำคัญที่มนุษย์ควรจะมีนะ มันไม่ใช่แค่เรื่องของแฟนกันแต่หมายถึงความรักแบบอื่นๆ เช่น รักตัวเอง รักคนในครอบครัว และรักเพื่อนด้วย มันน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกคนอื่นและแคร์คนอื่นมากขึ้น 

COPTER

ในวัยนี้ คุณกำลังวิ่งเข้าหาอะไรอยู่

ถ้าจะบอกว่าไม่คาดหวังเลยกับการเป็นศิลปินก็ไม่ถูก เราก็คาดหวังแหละว่าอยากประสบความสำเร็จในเรื่องการเป็นศิลปิน ไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลาอีกนานแค่ไหน อาจจะ 26-27 ถึงจะประสบความสำเร็จหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่หลักๆ เราก็วิ่งหาความสำเร็จในเส้นทางนี้ 

ยังไม่ได้คิดเหมือนกันว่าถ้าวันหนึ่งไม่ดังเราจะไปทำอะไร เลยรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียว ก็ต้องทำจนกว่ามันจะสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้กดดันตัวเองมากขนาดนั้น ไปเรื่อยๆ ตามสเต็ป ถ้าจะโตแบบก้าวกระโดดเลยก็อาจจะดีในอีกแบบหนึ่ง แต่เรามองว่ามันควรโตแบบไม่ต้องรีบ เหมือนผ่านความลำบากจนกว่าจะไปถึงจุดนั้น อีกธงหนึ่งที่ตั้งไว้ในใจคืออยากให้ตัวเองมีความสุขในทุกๆ วัน

ความสุขของคอปเตอร์ในตอนนี้คืออะไร

ง่ายๆ เลย คือการได้อยู่กับครอบครัว มีคุณพ่อ คุณแม่ น้องชาย และน้องแมว และเรื่องดนตรีนั่นแหละ ความสุขของเรามีแค่นี้ ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งประสบความสำเร็จก็อยากจะซื้อบ้านแล้วก็อยู่กันทั้งครอบครัว แค่นี้ก็น่าจะแฮปปี้มากๆ แล้ว


ติดตามคอปเตอร์ได้ทางเพจ BOXX Music และอินสตาแกรม coptersmurf

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ณัฐวุฒิ เตจา

นักเรียนศิลปะการถ่ายภาพผู้นอนเช้าตื่นบ่ายและกำลังจะตายกับหัวข้อทีสิส กำลังหัดกินกาแฟและดูแลต้นไม้ 8 ต้น