“เสื้อผ้าไม่มีเพศ” คุยกับ Mark Bryan ชายวัย 61 ปีผู้ใส่กระโปรงและส้นสูงไปทำงานทุกวัน

ลองนึกภาพชายวัย 61 ปีที่ตื่นไปทำงานทุกวันในชุดกระโปรงกับรองเท้าส้นสูง Mark Bryan

ชายที่อยู่กินกับภรรยามา 11 ปี มีลูก 3 คนพ่วงด้วยหลานอีก 4 ปัจจุบันทำงานเป็นวิศวกรดูแลระบบเครื่องยนต์ในเมืองชตุตการ์ต ประเทศเยอรมนี แล้วจู่ๆ ก็ดังเป็นพลุแตกจากรูปในอินสตาแกรมที่เขาโพสต์ ‘ลุคทำงานประจำวัน’ ในชุดกระโปรงเรียบหรูและรองเท้าส้นสูงหลากสไตล์

ไม่บ่อยนักที่คนวัยใกล้เกษียณจะลุกขึ้นมาเริ่มต้นสิ่งใหม่ แต่สิ่งที่ Mark Bryan ทำไปไกลกว่าคำนั้น มันทั้งกล้าหาญ น่าฉงน น่าชื่นชม และทำให้คนทุกเพศทุกวัยหันกลับมาตั้งคำถามกับเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่ ไปจนถึงค่านิยมในสังคมว่าด้วยการแปะป้ายระบุเพศบนเครื่องแต่งกาย

ถ้าจะมีใครสักคนที่ทำให้เราเห็นภาพของประโยค “เสื้อผ้าไม่มีเพศ” ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ชั่วโมงนี้ก็ต้องเป็นเขา

แต่อะไรที่ทำให้มาร์คลุกขึ้นมาใส่ส้นสูงแล้วเดินสับแล้วสับอีกแบบที่เห็น เราวิดีโอคอลไปหาคำตอบจากปากเขาในวันที่เยอรมนีล็อกดาวน์ไม่ต่างจากประเทศไทย หลังทักทายกันเสร็จ มาร์คเล่าให้ฟังอย่างติดตลกว่าตั้งแต่โควิดระบาดน้ำหนักตัวเขาก็พุ่งเอาๆ เพราะอยู่ติดบ้าน แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือทุกเช้าเขาจะตื่นขึ้นมาโกนหนวด อาบน้ำ และใส่กระโปรงกับส้นสูงเพื่อทำงาน แม้ว่าจะต้อง work from home ก็ตาม

จากการคุยกัน เราได้รู้เรื่องของเขาเพิ่มเติมว่าจริงๆ แล้วมาร์คเป็นคนอเมริกัน เกิดที่เท็กซัสและเพิ่งย้ายมาทำงานที่เยอรมันได้ไม่นาน แต่ถ้านับเวลาที่ทำงานเป็นวิศวกรจริงๆ ก็ 35 ปีแล้ว มาร์คชอบออกกำลังกาย มีงานอดิเรกคือเป็นโค้ชฟุตบอลทีมเยาวชนทั้งชายและหญิง และเลิฟการแต่งตัวเป็นที่สุด (ข้อนี้ไม่ต้องบอกก็รู้) 

ภาพจาก @interviewmag

มาร์คชอบกระโปรงทรงดินสอเป็นพิเศษ ชอบสีดำหรือเทาเพราะมันดูเป็นโปรเฟสชั่นนอล เขารอบเอว 29 ใส่กระโปรงไซส์ 8 ในขณะที่รองเท้าที่โปรดปรานคือส้นเข็มไซส์ 8.5 (หรือ 41) ที่สูงราว 4 นิ้ว ไม่ติดเรื่องสีรองเท้าเพราะใส่สีไหนก็สวย 

“(เมื่อแต่งตัวเสร็จ) ผมจะเดินออกจากบ้านพร้อมกระเป๋าเล็กๆ ใบหนึ่งที่มีขาตั้งกล้องใส่ไว้ พอใกล้สถานีรถไฟผมก็ตั้งกล้องแล้วใช้ไอโฟน 12 ตั้งเวลาถ่ายตัวเอง” มาร์คเล่าเบื้องหลังของรูปในอินสตาแกรมที่ทำให้เขาโด่งดังฟัง และบทสนทนาของเราก็ต่อยอดไปสู่อีกหลายประเด็นหลังจากนั้น 

ทว่าในบทสนทนายาวนาน คำพูดที่มาร์คย้ำกับเราหลายครั้งเป็นข้อความเดียวกันกับประโยคที่เรานึกถึงเมื่อได้เห็นการแต่งตัวของเขา

‘เสื้อผ้าไม่มีเพศ’

ต่อจากนี้คือเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่พิสูจน์ว่าประโยคนี้เป็นเรื่องจริง

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คุณได้เรียนรู้ว่าเสื้อผ้าไม่มีเพศ

ตอนผมเรียนไฮสกูล ในช่วงชั้นปีแรกๆ โรงเรียนของผมไม่อนุญาตให้เด็กผู้หญิงใส่กางเกง แต่อีกไม่กี่ปีต่อมาเด็กผู้หญิงก็ได้รับอนุญาตให้ใส่กางเกงได้ สำหรับผมแล้ว ผู้หญิงยังคงเป็นผู้หญิงไม่ว่าเธอจะใส่กางเกงหรือกระโปรง ในทางกลับกัน ผู้คนชอบพูดว่ามีแค่ผู้หญิงเท่านั้นนะที่ใส่กระโปรงได้ แต่ผมคิดว่าไม่ ผมเป็นผู้ชายและผมใส่กระโปรงได้ ซึ่งที่ใส่ได้ไม่ใช่เพราะผมเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายด้วย เสื้อผ้าไม่ได้นิยามตัวตนหรือเพศของใคร

ความรู้สึกตอนใส่กระโปรงและส้นสูงครั้งแรกเป็นยังไง

ผมใส่รองเท้ามีส้นตั้งแต่ตอนเรียนวิทยาลัยเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน ตอนนั้นยังไม่ใส่กระโปรงแต่เริ่มใส่รองเท้ามีส้นกับกางเกง มันทำให้ผมสูงขึ้น ผมจึงรู้สึกมีพลังมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นรองเท้าส้นสูงที่มีสไตล์หน่อย พวกมันจะมอบความมั่นใจให้คุณ มันช่วยให้ผมตระหนักว่าจริงๆ แล้วผมเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองและผมสามารถมั่นใจในทุกอย่างที่ผมทำ 

ครั้งแรกที่ผมใส่กระโปรงกับส้นสูงด้วยกัน ผมก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างอะไรจากตอนที่ใส่กางเกงเลยนะ อาจจะรู้สึกอินเทรนด์ขึ้นนิดๆ และรู้สึกตัวเองดูดีขึ้นหน่อยๆ แต่โดยรวมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรต่างออกไปจากตอนที่ใส่กางเกงยีนส์หรือกางเกงสแล็ก และผมก็ยังเป็นคนเดิม    

ในเมื่อคุณเริ่มใส่รองเท้ามีส้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ทำไมถึงออกมาเปิดเผยกับสาธารณะตอนนี้

ผมแก่มากพอที่จะไม่สนใจแล้วว่าใครจะคิดยังไง ไม่ว่าพวกเขาจะชอบผมหรือไม่ชอบ ผมแค่แคร์ครอบครัวและเพื่อนๆ เท่านั้น ตอนผมออกไปข้างนอกในชุดกระโปรงกับส้นสูง ไม่ว่าจะไปเดินเล่นในเมือง ร้านอาหาร สถานีรถไฟ สนามบิน หรือไปเที่ยวที่อื่น ผมไม่สนใจเลยว่าคนแปลกหน้าเห็นแล้วจะคิดยังไง เพราะชีวิตนี้ผมคงไม่เจอพวกเขาอีกแล้ว (ยิ้ม)

เวลาที่คุณใส่กระโปรงกับส้นสูงออกไปนอกบ้าน คนรอบข้างปฏิบัติต่อคุณยังไง

พวกเขามองผมนะ แต่รู้ไหม พวกเขาก็มองผมแบบเดียวกับที่พวกเขามองใครสักคนที่ย้อมผมสีเขียวแล้วออกมาเดินเล่นนั่นแหละ คนจะจ้องแน่นอนเพราะพวกเขาทำตัวแตกต่างจากคนอื่นๆ แต่ทำได้แค่มองเท่านั้นแหละ มองแล้วก็กลับไปทำสิ่งที่พวกเขาทำค้างไว้อยู่ ผมเจอแต่รีแอ็กชั่นแบบนี้ ยิ่งคนเยอรมันพูดน้อยและไม่ค่อยสนใจคนอื่นด้วย พวกเขายิ่งไม่แคร์ผมเลย และยิ่งพวกเขาไม่แคร์ก็ยิ่งทำให้ผมเลิกแคร์ความคิดคนอื่นได้ง่ายขึ้น

เคยมีคนเข้ามาบูลลี่คุณหรือเปล่า

ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม เรียกชื่อผมและพูดพึมพำไม่รู้ภาษา แต่นั่นเป็นเพราะเขาเมาผมเลยไม่ได้สนใจนัก และผมคิดว่าถ้ามีคนเข้ามาหาเรื่องหรือบูลลี่จริงๆ ผมก็คงไม่สนใจเหมือนกัน คุณสามารถแสดงความคิดเห็นของคุณได้ นั่นไม่มีปัญหาเลย ผมจะไม่เถียงกับใคร อาจจะบอกพวกเขาด้วยซ้ำว่าผมดีใจที่คุณคิดแบบนี้ และคุณอนุญาตตัวเองให้แสดงความคิดเห็นได้ เพราะทุกคนมีความคิดของตัวเองและผมจะไม่พยายามเปลี่ยนมันหรอก 

แล้วคนใกล้ตัวคุณล่ะ ภรรยากับลูกๆ คิดยังไงกับการแต่งตัวของคุณ

ลูกคนสุดท้องของผมอายุ 33 ปี พวกเขาทุกคนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และจริงๆ ลูกผมน่าจะเป็นกลุ่มคนที่ซัพพอร์ต (เรื่องการแต่งตัว) ผมมากที่สุดกลุ่มหนึ่งเลย ลูกสาวผมกดติดตามอินสตาแกรมทุกคนที่เข้ามากดติดตามผม เธอจะคอมเมนต์ตลอดว่า ‘พ่อคะ หนูขอยืมส้นสูงคู่นี้หน่อย’ ท้ายที่สุดแล้วผมคิดว่าครอบครัวของผมรู้ดีว่าไม่ว่าจะแต่งตัวแบบไหน ผมยังเป็นพ่อคนเดิม เป็นสามีคนเดิม เป็นคนคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพราะโดยพื้นฐานแล้ว เสื้อผ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเรา

ทุกวันคุณจะเดินไปทำงานในระยะทางหลายไมล์ด้วยรองเท้าส้นสูง นั่นไม่เหนื่อยแย่เหรอ คุณเป็นท้อกับการใส่ส้นสูงบ้างไหม เพราะคนใส่ส้นสูงหลายคนบ่นให้เราฟังแบบนั้น

(หัวเราะ) จริงๆ แล้วผมไม่ได้เดินเสียทีเดียว ที่ทำงานของผมห่างจากบ้านหลายไมล์ก็จริง แต่บ้านของผมใกล้สถานีรถไฟมาก เดินสองนาทีก็ถึง จากนั้นผมก็นั่งรถไฟไปลงสถานีหนึ่งแล้วไปต่อรถบัส ซึ่งใช้เวลาเดินอีกสองนาทีเหมือนกัน และจากป้ายรสบัสปลายทางผมก็เดินไปออฟฟิศอีกสามนาที สรุปคือผมไม่เหนื่อยหรอก (ยิ้ม)

เราเคยอ่านเจองานวิจัยที่บอกว่าเสื้อผ้ามีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของเรา การใส่กระโปรงกับส้นสูงช่วยคุณเรื่องนี้บ้างไหม

มันเป็นเหตุผลที่ผมใส่เลยล่ะ (แม้แต่ตอนนี้ที่ต้องทำงานอยู่บ้าน) ผมก็ยังทำกิจวัตรเดิมๆ คือทุกเช้าจะลุกขึ้นมาสวมกระโปรงและส้นสูงเหมือนตอนเดินทางไปออฟฟิศ เพราะผมคิดว่าการใส่ชุดนอนจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานแน่ๆ เพราะงั้น ใช่ ผมเห็นด้วยว่าเสื้อผ้ามีผลต่อการทำงานของเรา 

แต่ถ้าจะบอกว่าเราต้องแต่งตัวให้เหมาะกับที่ทำงาน ลำพังแค่ผูกไทใส่สูทมันก็เหมาะสมแล้วหรือเปล่า สิ่งที่กระโปรงกับรองเท้าส้นสูงมอบให้คุณแบบที่ ‘เสื้อผ้าผู้ชาย’ ให้คุณไม่ได้คืออะไร

มันคือเรื่องแฟชั่นล้วนๆ เสื้อผ้าพวกนี้ทำให้ผมมีตัวเลือกมากขึ้น ทั้งเรื่องสี สไตล์ แพตเทิร์น ริ้วของผ้า หรือลวดลายบางอย่างที่ ‘เสื้อผ้าผู้ชาย’ ส่วนใหญ่ไม่มี

ภาพจาก @voguegermany

แล้วนอกจากเรื่องประสิทธิภาพการทำงานแล้ว การใส่กระโปรงกับรองเท้าส้นสูงทำให้คุณได้เปรียบหรือเสียเปรียบอะไรอีกไหม

ไม่ ผมไม่ได้เปรียบเรื่องอะไรจากการใส่กระโปรงแทนกางเกง หรือใส่ส้นสูงแทนรองเท้าแฟลต มันไม่ได้มีข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ถึงแม้ว่าบางครั้งส้นสูงจะทำให้เท้าคุณเจ็บบ้าง (หัวเราะ) แต่สุดท้ายแล้วมันก็คือ fashion statement มันคือการบอกว่าผมแคร์เรื่องการแต่งตัวของผม แคร์เรื่องการพรีเซนต์ตัวเองให้คนอื่นดู และนี่คือแพสชั่นของผม ผมอยากให้คนอื่นพูดถึงผมถึงชุดของผมมากกว่าความสนใจทางเพศของผม ผมอยากให้คนอื่นพูดว่า เฮ้ ดูกระโปรงของมาร์คสิ ดูส้นสูงนั่น แทนที่จะพูดว่าเฮ้ ดูมาร์คสิ แต่งอย่างนี้เขาต้องเป็นเกย์แน่ๆ เลย

นอกจากจะบอกว่าคุณชอบแต่งตัวยังไง เครื่องแต่งกายของคุณซ่อนนัยอะไรไว้อีกไหม

มันไม่ได้ซ่อนนัยหรือคำประกาศอื่นๆ เลย มันแค่บอกว่านี่คือแฟชั่นที่ผมเลือกใส่ มันไม่ได้บอกว่าผมเป็นนั่นหรือนี่ ผมเป็นชายหรือหญิง มันแค่บอกว่าเฮ้ ผมอยากตามเทรนด์ อยากใส่ชุดปังๆ ที่ตั้งคำถามกับค่านิยมเดิมๆ และอยากทำอะไรที่แตกต่าง พวกนี้แหละคือสิ่งที่เสื้อผ้าของผมอยากบอก

สงสัยอีกเรื่อง คุณแต่งหญิงครึ่งล่างโดยการใส่กระโปรงกับส้นสูงแต่เหนือเอวขึ้นมาคุณยังใส่เสื้อเชิ้ตผู้ชาย ทำไมถึงเป็นแบบนั้น

สำหรับผม เสื้อผ้าทุกชิ้นไม่มีเพศ เพราะฉะนั้นเสื้อเชิ้ตผู้ชายที่คุณพูดถึงมันก็เป็นแค่เสื้อเชิ้ตและเนคไทธรรมดา ผมเรียกสไตล์ของตัวเองว่า ‘ไฮบริด’ เหมือนเครื่องยนต์ไฮบริดที่ต้องใช้พลังงานจากแก๊สครึ่งหนึ่ง ไฟฟ้าครึ่งหนึ่ง ส่วนของผมแต่งตัวให้ดู feminine ครึ่งหนึ่ง masculine ครึ่งหนึ่ง

เคยคิดจะสวมชุดเดรสหรือ ‘เสื้อผ้าผู้หญิง’ ทั้งตัวหรือเปล่า

ผมคิดว่าร่างกายส่วนบน (ตั้งแต่เอวขึ้นมา) ของผมไม่เอื้อต่อการใส่เสื้อผ้าของผู้หญิง หรือทำให้มันดูดีแบบที่มันควรจะเป็นได้ คอเสื้อและไหล่ที่กว้างกว่าของผู้ชายน่าจะไม่พอดีกับเสื้อผ้าเหล่านั้น และถ้าคุณไม่สามารถยัดไหล่ตัวเองลงไปได้ ที่อื่นมันก็ไม่พอดีแล้ว เหตุผลหลักๆ ของผมคือมันใส่แล้วไม่สบายตัวน่ะ

ในประเทศไทย มีความเชื่อหนึ่งที่ปลูกฝังเราทุกคนตั้งแต่ชุดนักเรียนคือกางเกงมีไว้สำหรับผู้ชาย และกระโปรงมีไว้เพื่อผู้หญิง ในฐานะคนที่ใส่เสื้อผ้าทั้งสองแบบ คุณคิดว่าการใส่กระโปรงทำลายความเป็นชายของคุณไหม

ไม่ อย่างที่บอกว่าการใส่กระโปรงมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวผม ลองคิดดูสิว่าถ้าคุณใส่กางเกงขายาวธรรมดาแล้วสวมกระโปรงทับอีกชั้น นั่นจะทำให้คุณเป็นเกย์ไหม? ก็ไม่ มันไม่ได้ทำให้คุณ ‘สาว’ ขึ้น และมันไม่ได้ทำให้คุณดูเป็นอะไรทั้งนั้น มันแค่เสื้อผ้าชิ้นหนึ่ง เป็นแค่เครื่องแต่งกายที่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรในตัวคุณเลย

ตั้งแต่คุณใส่กระโปรงกับส้นสูงอย่างเปิดเผย คุณช้อปปิ้งบ่อยขึ้นหรือเปล่า

ก่อนหน้านี้ผมช้อปออนไลน์ เพราะการระบาดของโควิดและทุกๆ อย่าง ผมเรียนรู้ว่าการช้อปออนไลน์มันง่ายขึ้นกว่าการไปที่ร้านมาก ผมแค่เสิร์ชว่าอยากได้กระโปรงเขียว แล้วพรึ่บ ผลการค้นหากระโปรงเขียวทั้งหมดก็ขึ้นมา ผมก็จะหาว่าเขียวโทนไหน ทรงไหนถูกใจที่สุด บางทีสั่งมา 2-3 ตัวแล้วลอง ไม่โอเคก็ส่งกลับ คุณไม่สามารถทำแบบนี้ได้ที่ร้านเสื้อผ้าแน่ๆ

แต่บอกตามตรงว่าตั้งแต่ผมเริ่มมีชื่อเสียง ได้ให้สัมภาษณ์และออกรายการต่างๆ ผมก็ไม่ค่อยได้ซื้อเสื้อผ้าบ่อยเท่าไหร่เพราะมีคนส่งมาให้ตลอด ตู้เก็บรองเท้าผมนี่มีพื้นที่น้อยลงทุกวัน (หัวเราะ)

พูดถึงชื่อเสียง ตั้งแต่คุณกลายเป็นเซเลบอีกคนในแวดวงแฟชั่น ชื่อเสียงเหล่านี้เปลี่ยนคุณบ้างไหม

ไม่เลย ผมพยายามจะติดดินอยู่เหมือนเดิม มันมีคำโบราณที่บอกว่าคุณจะมีชื่อเสียงในเลข 15 เท่านั้น หมายถึงว่าคุณอาจมีชื่อเสียงได้แค่ 15 วินาทีแล้วก็ดับ ถ้าผ่าน 15 วินาทีไปได้คุณอาจจะมีแค่ 15 นาที มากกว่านั้นอาจจะ 15 สัปดาห์ ซึ่งตอนนี้ผมผ่านมันมา 7 เดือนแล้ว มาดูกันว่าผมจะเลิกดังใน 15 เดือนหรือเปล่า (ยิ้มขำ) ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะดังไปได้อีกนานแค่ไหน ก็พยายามไม่คิดมากกับมัน เพราะจริงๆ ผมก็มีงานประจำทำ และผมไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวบนอินเทอร์เน็ตที่ลุกขึ้นมาใส่กระโปรงกับส้นสูง ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าผมดังได้ยังไง (หัวเราะ)

ภาพจาก @interviewmag

แล้วตั้งแต่คุณมีชื่อเสียง เคยมีคนเข้ามาบอกไหมว่าคุณเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งตัวของพวกเขา

เยอะเลย ผมเจอผู้ชายเสตรทและเกย์หลายคนที่อยากแต่งตัวแบบผมแต่กลัวว่าจะโดนล้อ ผมเจอผู้หญิงหลายคนที่อยากใส่ชุดเสื้อผ้าของผู้ชายและกล้าที่จะใส่มันโดยไม่เขิน แต่ผมไม่ได้เป็นแรงบันดาลใจของพวกเขาหรอก สิ่งที่ผมมอบให้พวกเขาคือไอเดียที่บอกว่ามันโอเคนะที่จะทำในสิ่งที่คุณอยากทำ บางคนบอกว่าผมเป็น role model เพียงเพราะผมมอบความกล้าและไอเดียนี้ให้พวกเขา ให้พวกเขาสบายใจกับสิ่งที่จะใส่ ไม่ว่าจะมีรสนิยมทางเพศแบบไหนก็ตาม

คุณคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะเลิกใส่กระโปรงหรือส้นสูงหรือเปล่า

ผมแน่ใจว่าวันหนึ่งผมจะตระหนักว่าส้นสูงทำให้เท้าผมเจ็บ (หัวเราะ) ไม่หรอก ผมว่ายังไงผมก็ยังใส่มัน อาจจะใส่ไปทำงานจนกว่าจะรีไทร์นั่นแหละ ถึงตอนนั้นผมอาจจะใส่น้อยลง หรือถ้าตอนนั้นผมยังดังในแวดวงแฟชั่นอยู่ ผมก็อาจจะยังใส่มันต่อไป

ถ้าคุณสามารถให้คำแนะนำกับผู้ชายหรือผู้หญิงที่ไม่กล้าแต่งตัวแบบที่เขาอยากแต่ง แค่เพราะเสื้อผ้าเหล่านั้นเคยมีป้ายระบุเพศแปะไว้ คุณจะบอกกับพวกเขาว่าอะไร

อย่ากลัว ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว เหมือนที่ Winston Churchill พูดไว้ว่า “มีแค่เรื่องเดียวที่เราต้องกลัวคือความกลัวนั่นแหละ (The only thing we have to fear is fear itself.)” ซึ่งมันเป็นเรื่องจริง อย่างที่ผมบอก คุณไม่ควรจะสนใจสายตาใคร ถ้าแต่งตัวออกไปแล้วมีคนหัวเราะเยาะก็เชิดหน้าเข้าไว้เพราะคุณจะไม่เจอคนพวกนี้อีกแล้วในชีวิต คุณต้องมีความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้ เชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันถูก 

มนุษย์เราเหมือนสัตว์นักล่า พวกเขาจะเพ่งเล็งคนที่อ่อนแอเสมอ ถ้าคุณใส่กระโปรงออกไปแล้วดูไม่มั่นใจหรืออับอายกับมันคนอื่นๆ ก็อาจจะล้อเลียนหรือเข้ามาหาเรื่องคุณได้ แต่ถ้าความเชื่อของคุณแข็งแกร่ง คุณไม่ได้แสดงสัญญาณที่บ่งบอกความอ่อนแอหรือไม่มั่นใจ ใครก็ทำอะไรคุณไม่ได้หรอก


ติดตามสไตล์และชีวิตของมาร์คได้ที่ อินสตาแกรม

Mark Bryan

AUTHOR