สืบ นาคะเสถียร : ชีวิตและลมหายใจในผืนป่าของวีรบุรุษผู้เสียสละ 3/3

5
ผมคิดว่าชีวิตผมทำได้ดีที่สุดแล้วเท่าที่ผมมีชีวิตอยู่ ผมคิดว่า ผมได้ช่วยเหลือสังคมดีแล้ว ผมคิดว่าผมได้คิดทำตามกำลังของผมดีแล้ว และผมพอใจ ผมภูมิใจสิ่งที่ผมทำ…”

 

ปลายปี 2532 ผมได้รับโทรศัพท์จากพี่สืบให้มาคุยกันที่โรงแรมแห่งหนึ่ง พี่สืบเล่าให้ผมฟังว่า กำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต คือพี่สืบได้รับทุนไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในขณะเดียวกันทางผู้ใหญ่ก็สั่งให้ไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

หากเป็นคนทั่วไปก็คงจะเลือกการไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่สำหรับสืบแล้ว ป่าห้วยขาแข้งเปรียบเสมือนบ้านของเขา เขาเคยพูดเสมอว่าหากมีโอกาสไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแล้ว เขาขอเลือกสองแห่งคือป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และป่าห้วยขาแข้ง

ต้องเข้าใจว่าป่าห้วยขาแข้งเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนไม่ค่อยมีใครรู้จักและโด่งดังมากเท่าสมัยนี้

ธันวาคม 2532 สืบ นาคะเสถียร เดินทางเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าเขตฯ ด้วยความมุ่งมั่นและใจเต็มร้อยที่จะรักษาผืนป่าที่นี่ให้ดีที่สุดเขาสบายใจที่เห็นลูกทีมของเขามีคุณภาพ และในอนาคต เขาหวังว่าป่าห้วยขาแข้งและป่าทุ่งใหญ่นเรศวรที่มีเพื่อนสนิทของเขาคือวีรวัธน์ เป็นหัวหน้า จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งอื่นๆ

สืบบอกกับคนรอบข้างว่า “ตอนนี้ผมสามารถให้ทุกสิ่งกับห้วยขาแข้งได้”

ห้วยขาแข้งเป็นป่าที่มีพื้นที่ขนาด 1 ล้าน 6 แสนกว่าไร่เศษ เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งเดียวที่ไม่มีราษฎรบุกรุกอาศัยอยู่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่าหายากจำนวนมาก เช่น กระทิง วัวแดง ควายป่า นกยูงไทย สมเสร็จ เสือโคร่ง เสือดาว ช้างป่า ฯลฯ

วันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ออกจับไม้เถื่อน ไปดูพื้นที่ในป่าประดู่ที่ถูกโค่นกว่า 200 ต้นเพื่อแปรรูปในป่า สืบไม่พูดอะไร เดินก้าวยาวๆ ออกมาดูท่อนไม้ตามทางในป่าโดยไม่สนใจว่าใครจะตามมาทันหรือไม่ ไม่กลัวหลงป่า ไม่กลัวถูกลอบทำร้าย แล้ววิทยุติดต่อเจ้าหน้าที่สั่งการให้รายงานเป็นระยะๆ

แล้วสืบก็พบว่าป่าจำนวน 1 ล้าน 6 แสนกว่าไร่อยู่ในความรับผิดชอบของข้าราชการ 12 คน เจ้าพนักงานพิทักษ์ป่า 30 คน และลูกจ้างชั่วคราว 120 คน แบ่งไปประจำหน่วยพิทักษ์ป่า 12 หน่วย แต่ละหน่วยจะต้องรับผิดชอบพื้นที่ป่าถึงหน่วยละ 1 แสนกว่าไร่

และที่น่าตลกคือ งบประมาณในการดูแลป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งนี้ ได้เพียงไร่ละ 80 สตางค์ต่อปี ในขณะที่ป่าสงวนที่ถูกบุกรุกจนเสื่อมสภาพแล้วรัฐให้เงินถึงไร่ละ 1,000 บาทต่อปี

“จะให้ผมไปรักษาอะไร มาเคี่ยวเข็ญให้ผมรักษาป่า แถมยังต้องมาชี้แจงอีกว่ารักษาอย่างไร” สืบเคยพูดอย่างเหลืออด

สืบพบว่าปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า การลักลอบล่าสัตว์ป่า เป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นทุกวันในเวลานั้น

“ผมพูดได้เลย มันมีการยิงกันทุกวัน ไปตามก็เจอแต่กองไฟ เจอซากที่ชำแหละไว้เรียบร้อย จับมันได้ครั้งหนึ่งมันพร้อมจะล่า 10 ครั้งกว่าจะโดนจับ ถูกปรับแค่ 500 บาท คุกก็ไม่ติด กว่าเราจะจับมันได้ ต้องไปอดหลับอดนอน แบกข้าวสารไปกินในป่า มันหนีเรา แต่เราต้องตามจับ อย่างเมษายนปีที่แล้ว ลูกน้องผมถูกนายพรานยิงตายสองคน เจ้าหน้าที่ยิงก่อนก็ไม่ได้ ถือว่าเกินกว่าเหตุ ผู้ต้องหามันเห็นหน้าเรา มันยิงใส่เราแล้วเราก็ตาย เรามีค่าเหรอ ตายไปอย่างดีก็เอาชื่อมาติดที่อนุสาวรีย์หน้ากรมป่าไม้”

สืบรู้ดีว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ทำงานด้วยความยากลำบากยิ่งนัก ในป่าเปลี่ยวจะโดนยิงเมื่อไหร่ก็ได้ โดยไม่มีหลักประกันใดๆ ทั้งสิ้นให้แก่ครอบครัวและตัวเขา นอกจากเงินเดือนของลูกจ้างชั่วคราวไม่เกินคนละ 1,500 บาทต่อเดือน ไม่มีสวัสดิการ หรือประกันชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือพวกเขาขาดวิทยุสื่อสารที่จะติดต่อกันได้ในพื้นที่มหาศาล และรถก็ไม่เพียงพอ แม้กระทั่งอาวุธประจำกายก็มีเพียงปืนลูกซอง ขณะที่นักล่าสัตว์มีปืนเอ็ม 16 เป็นอาวุธล่าสัตว์

ด้านตะวันออกของป่าห้วยขาแข้งอยู่ติดกับหมู่บ้านหลายแห่ง ชาวบ้านเองมักจะลักลอบเข้ามาล่าสัตว์ หรือเป็นคนนำทางให้แก่พรานในเมือง บางครั้งก็มีใบสั่งจากกลุ่มอิทธิพลว่าต้องการสัตว์ป่าประเภทไหน เขากระทิงจะมีราคาประมาณ 4,000-5,000 บาท ถ้าเป็นเขาควายป่าอาจจะมีราคาสูงเป็นหมื่นบาทขึ้นไป ร้านอาหารสัตว์ป่ารอบห้วยขาแข้งก็มีอาหารสัตว์ป่าไว้บริการลูกค้าได้ตลอดปี

ด้านตะวันออของป่าห้วยขาแข้งส่วนใหญ่ก็เป็นลูกหลานในหมู่บ้านเช่นกัน การจับกุมพี่น้องกันเองก็เป็นเรื่องสะเทือนใจ เมื่อลูกน้องมารายงานว่าพบซากสัตว์ พบกระทิงถูกตัดหัว พบซากวัวแดง เขาจะนิ่งเงียบแล้วเจ็บปวดอยู่ในใจ จับนักล่าไม่ได้ แต่สัตว์ตายตลอด แต่พอจับคนล่าได้ คนเหล่านี้ก็ล้วนเป็นคนยากคนจน ไม่สามารถลากคอผู้บงการ หรือเจ้าของร้านอาหารสัตว์ป่ามาลงโทษได้สักครั้ง

“ลำพังชาวบ้านอย่างเดียวมันไม่หนักหนาหรอก ถ้าหากไม่มีเจ้าหน้าที่หรือผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง เดี๋ยวนี้ชาวบ้านจะขนไม้เถื่อนหรือล่าสัตว์ก็มักจะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมด้วย มันเลยกลายเป็นว่าถ้าเราอยากจะทำหน้าที่ของเรา อยากจะรักษาป่า รักษาสัตว์ป่า เราต้องขัดอย้งกับทั้งฝ่ายภาครัฐและฝ่ายประชาชนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน”

จิตประพันธ์ กฤตาคม พนักงานพิทักษ์ป่าผู้ใกล้ชิดสืบ เปิดเผย

“พอพี่สืบมาเป็นหัวหน้าเขตฯ วงการค้าไม้เถื่อน หรือล่าสัตว์ป่า มีการเคลื่อนไหว เพราะอาจรู้กิตติศัพท์ที่ว่า หัวหน้าสืบเป็นคนทำงานจริงจัง ไม่กลัวอิทธิพลใดๆ แต่การล่าสัตว์เป็นปัญหาที่หนักมากในเวลานั้น ทุกคืนพี่สืบจะฟังสืบปืนด้วยความอดทน ถ้าเราไปเราก็เสียเปรียบ คือเราได้ยินเสียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เราไม่รู้ว่าเป็นเสียงปืนล่าสัตว์ หรือเขาต้องการล่อให้เจ้าหน้าที่ออกไปโดนยิง พี่สืบเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกน้องมาก”

สืบเริ่มตระหนักว่า ปัญหาในป่าห้วยขาแข้งดูจะยิ่งใหญ่และสลับซับซ้อนมากกว่าที่เขาประเมินไว้แต่แรก สืบพยายามขอความร่วมมือจากหน่วยข้าราชการนอกป่าห้วยขาแข้ง ในการช่วยกันป้องกันการทำลายป่าและการล่าสัตว์ โดยเฉพาะบริเวณป่าสงวนรอบๆ ป่าห้วยขาแข้งซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของเขา เขาพยายามเดินเข้าหาผู้ใหญ่ ไปพูดคุยกับทุกคน แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง กรมป่าไม้เองก็ไม่สนับสนุนสิ่งใด

แต่สืบก็ยังมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขาเชื่อว่าจะต้องรีบเร่งให้การศึกษาแก่ชาวบ้านรอบๆ พื้นที่ โดยเฉพาะกับเด็กๆ ให้เห็นถึงความสำคัญของป่าห้วยขาแข้ง สืบจึงให้ความสำคัญกับงานเผยแพร่มาก เขาจะลงมือทำด้วยตนเอง ออกแบบงานนิทรรศการ เขียนโปสเตอร์ เขียนบอร์ดเอง หากทำไม่ดีก็ทำใหม่ ตัดภาพเอง ไม่สวยทำใหม่ ภาพที่นำมาใช้ล้วนเป็นภาพสวยงามจากฝีมือของเขา เขาจะควักเงินเป็นค่าอัดขยายภาพเอง ออกไปบรรยายเองตามโรงเรียน ตามชุมชนต่างๆ จนถึงเก็บข้าวของ เครื่องมือฉายสไลด์เอง ทำทุกอย่างตั้งแต่เช้าจนค่ำ บางครั้งเที่ยงคืน เขายังอุตส่าห์ขับรถจากในเมืองเข้ามาในป่า ตื่นตั้งแต่เช้ามืดมาเขียนงานเอกสารที่คั่งค้างไว้ พอรุ่งสางก็ขับรถออกไปตามโรงเรียนบรรยายให้เด็กนักเรียนฟังต่ออย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

แต่ดูเหมือนปัญหาที่ยากที่สุดจะรอเขาอยู่เบื้องหน้า-ระบบราชการ

6
“ผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวเอง โดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องในกรณีนี้ทั้งสิ้น”

ประมาณเดือนสิงหาคม 2533 ผมได้เจอพี่สืบเป็นครั้งสุดท้าย ผมทักพี่สืบว่าพี่ดูผอมลงและเครียดผิดสังเกต น่าจะพักผ่อนเสียบ้าง

 

สืบพูดสั้นๆ ว่า

“พี่จะทนไม่ไหวแล้ว”

ผมได้แต่ปลอบใจพี่สืบ แต่แกไม่ยอมพูดอะไรออกมามากกว่านั้น

 

โด่ง น้องชายคนเดียวเคยบอกให้ผมฟังว่า สืบรักลูกน้องมาก ยอมแบกรับภาระที่ทางการจ่ายเงินเดือนให้ลูกน้องช้า

“พี่สืบไปขอยืมเงินแม่เดือนละสองหมื่นบาท แล้วไม่บอกเหตุผลว่าเอาไปทำอะไร ทางบ้านจึงเข้าใจว่าพี่สืบใช้เงินเปลือง เอาไปเลี้ยงผู้หญิงหรือเปล่า ทีหลังถึงรู้ว่าเอาไปให้ลูกจ้างรายวันในป่ายืมก่อนเพราะเงินเดือนของพวกเขาตกเบิกช้ามาก พวกนี้ไม่มีอะไรจะกิน พี่สืบก็ต้องเอาเงินจากทางบ้านออกไปก่อน”

สืบวิ่งเต้นหาแหล่งเงินทุนมาเพื่อเป็นสวัสดิการและประกันชีวิตให้แก่เจ้าหน้าที่ระดับล่างในห้วยขาแข้ง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจกับการทำงานของคนเหล่านี้ที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บล้มตายแทบทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากทางการเลย

ดร.อแลน ราบิโนวิทซ์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งเคยบอกกับสืบว่า

“คุณไม่จำเป็นต้องกังวลกับการที่มีใครตาย เพราะการตายไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของคุณ พวกเขาทำงานของเขา คุณไม่ต้องไปรับผิดชอบพวกเขาถึงร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก”

 

แต่สืบตอบกลับทันทีด้วยความเด็ดเดี่ยวว่า

 

“จะไม่มีใครต้องตายในเขตฯ ห้วยขาแข้ง ถ้ามีก็ต้องเป็นผม”

 

สืบเริ่มเข้าใจแล้วว่า หนทางเดียวที่จะทำให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างดีคือการผลักดันให้ป่าแห่งนี้ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลก ซึ่งจะทำให้เกิดการเฝ้าหวงแหนจากผู้คนทั้งโลก สืบจึงรีบลงมือเก็บข้อมูลอย่างหนักเพื่อทำรายงานเสนอยูเนสโกจนสำเร็จในเวลาต่อมา ในขณะเดียวกัน สืบมีแนวคิดว่ายุทธศาสตร์ในการรักษาป่าผืนนี้ให้ได้จะต้องทำให้บริเวณป่าตะวันตกอันประกอบด้วยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 6 แห่ง อุทยานแห่งชาติ 11 แห่ง เป็นผืนป่าติดต่อกันรวมพื้นที่ 11.7 ล้านไร่ ตั้งแต่จังหวัดตากลงมาจนถึงกาญจนบุรี พ้นจากการคุกคามด้วย

 

แต่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่แนวความคิดนี้อยู่นอกเหนือพื้นที่ของห้วยขาแข้ง เป็นเรื่องของป่าไม้เขต ป่าไม้จังหวัด กระทรวงมหาดไทย ทหาร ตำรวจ และข้าราชการท้องถิ่นที่จะมีอำนาจในการจัดการดังกล่าว แต่สืบก็พยายามอย่างหนัก วิ่งหาผู้ใหญ่ วิ่งหาข้าราชการที่เกี่ยวข้องคนนี้คนนั้นตลอดเวลา ชี้แจงให้ทุกคนเห็นความสำคัญของแนวความคิดนี้เพื่อรักษาป่าที่ดีที่สุดผืนนี้ให้ได้

 

แต่ดูเหมือนจะมีเพียงความนิ่งเงียบในระบบข้าราชการไทย ทุกครั้ง ผู้ใหญ่ในกรมป่าไม้ได้แต่พูดว่า “เอาเลยสืบ คุณทำโครงการมา” แล้วทุกอย่างก็หายเงียบ

 

เดือนพฤษภาคม 2533 รัฐมนตรีคนหนึ่งได้ไปตรวจพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี ได้รับการบอกเล่าจากบริษัททำไม้ชื่อดังแห่งหนึ่งว่ามีการลักลอบตัดไม้ในห้วยขาแข้ง สืบรู้ดีว่าเป็นการกลั่นแกล้งเขา สืบถูกรัฐมนตรีผู้นั้นเรียกพบที่กรุงเทพฯ เขาเตรียมข้อมูลอย่างดีเพื่อชี้แจงว่าเป็นการทำไม้นอกห้วยขาแข้ง และชาวบ้านแอบไปตัดโดยมีผู้ใหญ่จากอำเภอลานสักหนุนหลัง สืบพยายามที่จะอธิบายถึงปัญหาอันยุ่งยากที่เข้าและลูกน้องต้องประสบ แต่เขาไม่มีโอกาสชี้แจง เพียงแต่ได้รับคำบอกสั้นๆ ว่า “คุณต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมอีก”

 

สืบโกรธมากและตอบกลับไปว่า “ผมทำงานหนักกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว นอกจากว่าท่านจะยืดเวลาหนึ่งวันให้นานกว่านี้ และผมไม่อาจบอกคนของผมให้ทำงานหนักกว่านี้ได้อีกแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมาพวกเขาแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย”

 

สืบกลับออกมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้งและถูกกดดัน เขาบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำให้เขาเชื่อมั่นว่า ความพยายามแทบเป็นแทบตายของเขานั้นไม่ได้รับการตอบสนองจากใครทั้งสิ้น เขารู้สึกสิ้นหวังกับระบบราชการ เขาไม่ได้ภูมิใจกับการเป็นข้าราชการอีกต่อไป เขารู้ว่าเขาไม่อาจจะทำอะไรให้มากกว่านี้แล้ว

 

เขาบอกคนใกล้ชิดว่า “ทีนี้ผมแน่ใจแล้วว่า ผมกำลังต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ผมไม่อาจจะคาดหวังจากใครได้อีกต่อไป”

ภายหลังเหตุการณ์ในวันนั้น โด่ง น้องชายของเขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของพี่ชายว่า

“ตั้งแต่วันนั้นแกเสียใจมาก ปกติเวลากลับบ้านแกจะมากินข้าวด้วยกัน แต่ระยะหลังไม่กินอะไรเลย แกซื้อมาม่าเป็นโหล สามมื้อกินแต่มาม่าเหมือนอยู่ในป่า กำลังใจไม่ค่อยมี ดูแกเครียดมาก ผอมลงไปเยอะ มีครั้งหนึ่งแกเอามีดทิ่มทะลุโต๊ะเสียงดัง แล้วบ่นว่า ทำอะไรมันไม่ได้ ก่อนตายก็พูดว่า โด่ง พี่ไม่ไหวแล้ว”

หนึ่งอาทิตย์ก่อนเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จับพรานล่าสัตว์ได้ของกลางจำนวนมาก มีหัวค่างหลายหัว พร้อมปลอกกระสุนที่ใช้ล่า เมื่อเจ้าหน้าที่นำซากสัตว์เหล่านี้มาที่สำนักงานเขตฯ สืบลงมาดูด้วยความเครียดสุดขีด เพราะก่อนหน้านี้ลูกน้องของเขาคนหนึ่งที่เขานางรำออกไปลาดตระเวนตามคำสั่งของเขา ก็ถูกลอบยิงที่ลำห้วยขาแข้ง สืบโมโหมากถึงกับตะโกนออกไปว่า

“ถ้ามึงจะยึงลูกน้องกู มึงมายิงกูดีกว่า”

เช้าวันที่ 31 สิงหาคม สืบ นาคะเสถียร อยู่ในชุดกางเกงสีครีม สวมเสื้อสีส้มอ่อนๆ เดินขึ้นไปบนสำนักงาน เขียนหนังสือและครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จนกระทั่งตกบ่าย สืบเริ่มเอาสิ่งของที่เคยยืมมาไปคืนเจ้าของ ประมาณห้าโมงเย็น สืบเดินมาชวนลูกน้องคนสนิทสองสามคนนั่งกินเหล้า หนึ่งในนั้นคือ จิตประพันธ์ กฤตาคม หรือหม่อง ซึ่งเป็นคนสุุดท้ายที่ได้คุยกับสืบ หม่องถ่ายทอดบรรยากาศขณะนั้นให้ฟังว่า

“มาถึงแกก็บอกว่าเอาเหล้ามากินกัน กินไปคุยไปจนประมาณสองทุ่มแกบอกให้พี่ยงยุทธ วิทยุไปที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ว่าจะไม่ไปแล้ว จะส่งวิดีโอไปให้แทน จนประมาณห้าทุ่มผมก็ขอแยกตัวไปเข้าเวรสักประมาณครึ่งชั่วโมง พี่สืบก็เดินตามมาขอบุหรี่สูบและนั่งคุยกับยามถามทุกข์สุขซึ่งก็แปลก เพราะยามคนนี้ทำงานมานานแล้ว แต่แกถามเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน คุยได้ไม่นาน แกก็บอกว่า เดี๋ยวพี่กลับไปบ้าน ผมจะอาสาไปส่ง แกบอกไม่ต้อง แล้วหันมายิ้มเหมือนกับคนที่มีความสุขที่สุด พร้อมกับยกมือขึ้นแล้วบอกว่า หม่อง พี่ไปแล้วนะ”

ประมาณตีสี่ของวันที่ 1 กันยายน 2533 ยามในห้วยขาแข้งได้ยินเสียงปืนนัดหนึ่ง แต่ไม่ได้คิดอะไร ในป่าแห่งนี้เสียงปืนเป็นเรื่องธรรมดา จนประมาณสิบโมงเช้า เจ้าหน้าที่เริ่มแปลกใจว่าหัวหน้าสืบยังไม่ลงมากินข้าว หม่องจึงอาสาเดินไปตาม เมื่อไขกุญแจบ้านเข้าไป เขาพบร่างที่ไร้ลมหายใจของหัวหน้าสืบอยู่บนเตียง มีแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนข้อความไว้ว่า

“ผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวเอง
โดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องในกรณีนี้ทั้งสิ้น”

ลงชื่อ สืบ นาคะเสถียร ผู้ตาย

(นายสืบ นาคะเสถียร)

สืบรู้ตัวดีว่า สักวันหนึ่งเขาอาจจะถูกยิงตายจากการบงการของผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย

สืบรู้ตัวดีว่า สักวันหนึ่งลูกน้องของเขาซึ่งเขาเป็นคนส่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ต้องถูกยิงตายอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีใครสนใจ สืบไม่ใช่คนกลัวตาย แต่ทนไม่ได้ที่ลูกน้องเขาต้องตายไปต่อหน้า โดยที่เขาไม่อาจทำอะไรได้

สืบมีความฝันจะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้สัตว์ป่าและป่าไม้ในห้วยขาแข้งอยู่รอด

เมื่อความมุ่งมั่นของเขาที่มีต่อห้วยขาแข้งถูกทำลายลงอย่างย่อยยับจากระบบราชการและผู้มีอำนาจในเมืองไทย ที่ไม่เคยสนใจปัญหาการทำลายธรรมชาติอย่างจริงจัง

เขาเคยปรึกษาแม่ว่าจะลาออกและไปบวช แต่เขาก็ไม่ลาออก การลาออกเป็นการทรยศต่อตัวเอง ทรยศต่อห้วยขาแข้ง และทรยศต่อลูกทีมของเขา

แต่การมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่สามารถทำให้ความมุ่งมั่น ความเชื่อของเขาเป็นจริงได้

สืบ นาคะเสถียร เป็นคนไม่เคยทรยศต่อหลักการ และความมุ่งมั่นของตัวเอง

บางทีการตั้งใจฆ่าตัวตายอาจเป็นเพียงหนทางเดียวที่ทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงขึ้นมาได้

……………………………

ภายหลังการเสียชีวิตของสืบ นาคะเสถียร ได้ก่อให้เกิดกระแสอนุรักษ์ครั้งใหญ่ในสังคมไทย และต่อมาไม่นานยูเนสโกได้ประกาศให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ

ส่งผลให้เกิดความหวงแหนดูแลป่าทั้งสองผืนอย่างจริงจัง ปริมาณสัตว์ป่าในรอบหลายปีได้เพิ่มขึ้น อันเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าและมีการก่อตั้งมูลนิธิสืบนาคะเสถียรที่ได้ทำงานอย่างจริงจังในการอนุรักษ์ผืนป่าเหล่านี้ และมีการขยายพื้นที่ดูแลป่าตะวันตก 11.7 ล้านไร่ให้มีความอุดมสมบูรณ์ โดยสร้างความร่วมมือระหว่างชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจับมือกันดูแลป่า เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของสืบ นาคะเสถียร

เสียงปืนในราวป่าห้วยขาแข้งเมื่อยี่สิบปีก่อนยังคงดังกึกก้องมาจนถึงบัดนี้

อ่านบทสัมภาษณ์ตอนอื่นๆ ได้ที่นี่
ตอนที่ 1
ตอนที่ 2

จากหนังสือ a day LEGEND พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2553

AUTHOR