Landry Dunand : ชีวิตทำมือของช่างภาพฝรั่งเศสผู้เดินทางมาแล้วทั่วโลก 1/3

“กาแฟสักแก้วไหม”

เจ้าของบ้านเอ่ยชวนด้วยภาษาไทยกระท่อนกระแท่น
กาแฟใน moka pot เดือดปุดๆ จนเหงื่อผุดพราย
แต่ไมตรีจิตที่เขามอบให้ก็ช่วยปัดเป่าให้ใจร่มเย็น

ผมเดินทะลุจากครัวใต้ถุนเข้าห้องถัดไป
วัตถุทรงสี่เหลี่ยมมหึมาวางอยู่กลางห้อง
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเคยแบกกล่องน้ำหนักเกือบ 20
กิโลกรัมนี้รอนแรมมาแล้วทั่วโลก

เรี่ยวแรงคนหนุ่มน่ะพอเข้าใจ
แต่ยกขึ้นหลังอาน ปั่นฝ่าเมืองสงครามอย่างประเทศอัฟกานิสถาน ถ้าสติไม่ฟั่นเฟือน
คงต้องขอดูหัวใจกันหน่อยว่าทำด้วยอะไร

Landry Dunand คือคนหนุ่มที่ว่า
ภายนอกเขาคือแบ็กแพ็กเกอร์เจนโลก หนุ่มฝรั่งเศสคนนี้เดินทางมาแล้วเกือบทุกทวีป อายุ
5 ขวบ เขารู้จักฝรั่งเศสมากกว่าคนฝรั่งเศสหลายคน 17 ปีเขาลาออกจากมหาวิทยาลัยดื้อๆ เพื่อแบกเป้เรียนรู้โลกด้วยลำพัง 25 เขาตัดสินใจทำงานในสถานที่เสี่ยงอันตรายที่สุดในโลกอย่างเมืองคาบูล
ประเทศอัฟกานิสถาน
และก็เป็นที่นี่เองที่ทำให้เขาพบกับสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล-กล้องรูเข็ม

หนักราวลูกตุ้ม
เชื่องช้าอืดอาด มันอาจไม่ฉลาดสักเท่าไหร่ ในยุคที่โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปได้ 10 ล้านพิกเซล แต่เขาก็หนักแน่นพอที่จะเลือกมันเป็นดวงตาคู่ใจ

จากหลงเป็นชอบ
จากชอบเป็นรัก จากรักเป็นชีวิต เขาแบกกล้องโบราณไปทุกที่ พูดคุยกับคน
ถ่ายรูปประทับความทรงจำ ดวงตาเขาเฉียบคมแค่ไหน
ขอให้ไปเปิดนิตยสารภาพถ่ายชั้นนำของต่างประเทศ หรือไม่ก็ย้อนกลับไปดูนิทรรศการ Kabul
Through a Box ที่เคยจัดในนิทรรศการ La Fête
ปีที่แล้วบ้านเรานี่เอง

3 ปีก่อน
หนุ่มพเนจรตัดสินใจสร้างบ้านหลังแรกของตัวเองที่ตำบลบางกอบัว จังหวัดสมุทรปราการ เขาชอบความร่มเย็นของแมกไม้และหลงใหลมนตร์เสน่ห์ของแม่น้ำ
จะให้พรรณนาความงามของบ้าน คำว่า ‘สวยจับใจ’
อาจไม่เหมาะ ต้องเปรียบว่า ‘สวยใส่ใจ’
น่าจะไพเราะกว่า เพราะทุกตารางนิ้วเขาสร้างเองกับมือ ราวบันได
ประตูไม้ ส้วมซึม ฯลฯ ไม่มีองค์ประกอบไหนที่เขาไม่มีส่วนร่วม

Landry Dunand ใส่ใจกับทุกรายละเอียดของชีวิต
เปล่า, เขาไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยี แต่เขาเชื่อโดยสัตย์ว่า
การทำงานทุกอย่างด้วย ‘มือ’
ตัวเองนั้นให้คุณค่ามากกว่า ในขณะที่โลกสนใจว่า iPhone 5 จะวางขายเมื่อไหร่ ปรัชญาการใช้ชีวิตของเขาจึงน่าสนใจไม่น้อย

ทุกวันนี้ Landry
Dunand ยังเดินทางบ่อยเหมือนเดิม แต่เมื่อว่างเว้น
เขากับภรรยาชอบที่จะอยู่บ้านเงียบๆ ทำงานกราฟิกดีไซน์เพื่อหาเลี้ยงชีพ (โปสเตอร์ La
Fête 2012 ชายใส่หมวกที่ขี่หอไอเฟล
นั่นแหละเขา!) เดินเล่นริมแม่น้ำ ปั่นจักรยาน เข้าครัวทำอาหาร ปลูกต้นไม้ ถ่ายรูป
วิ่งมาราธอน สร้างบ้านให้เสร็จ ฯลฯ

ไอน้ำพวยพุ่งเป็นควันสีขาว
เจ้าของบ้านหยิบมันรินใส่แก้วยื่นให้ แม้จะไม่ได้เป็นคนดื่มกาแฟ
แต่เราก็ยกขึ้นจิบพร้อมกัน

ไม่ใช่เพราะเกรงใจ
แต่เรารู้ว่า กาแฟแก้วนี้ เขาใส่ใจชงด้วย ‘มือ’
ตัวเอง

ที่บอกว่าเดินทางทั่วประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่ 5
ขวบ คุณพูดจริงหรือพูดเล่น

พูดจริง
ช่วงวัยเด็กผมใช้ชีวิตบนรถพ่วงตลอดเวลา พ่อแม่เป็นฮิปปี้
ไม่ชอบทำงานในระบบหรือติดต่อกับคน พวกเขาเปลี่ยนที่ทำงานบ่อยมาก ขับรถตะลอนๆ
ไปตามท้องถนน ถึงเมืองไหนก็นอนที่นั่น จำได้ว่าตอนอายุ 5 ขวบ
ผมน่าจะเดินทางทั่วประเทศฝรั่งเศสแล้ว พอโตขึ้นอีกหน่อย พ่อซื้อรถพ่วงเพิ่มอีกคัน
คราวนี้สนุกกว่าเดิม เพราะขับรถท่องเที่ยวทั่วยุโรป
เป็นช่วงเวลาที่ดีระหว่างผมกับครอบครัว

สนุกเกินไปหรือเปล่าถึงเรียนไม่จบ

ผมเบื่อเองมากกว่า
มหาวิทยาลัยในฝรั่งเศสสอนเน้นทฤษฎีมากเกินไป ไม่มีปฏิบัติจริง ยกตัวอย่างว่าเรียนกราฟิกดีไซน์
แต่ไม่เคยจับคอมพิวเตอร์ เรียนแต่ในกระดาษ แล้วจะเป็นได้ยังไง
ผมเรียนเกี่ยวกับภาพยนตร์ได้ไม่นาน ประมาณปีครึ่งก็ตัดสินใจลาออก
เก็บกระเป๋าออกเดินทาง

แบ็กแพ็กครั้งแรกไปที่ไหน มีอะไรน่าจดจำไหม

ไปอินเดียคนเดียว 6 เดือน ได้ของขวัญชิ้นใหม่กลับมาคือขาหัก
(ถกขากางเกงให้ดู-แผลเป็นยาวเกือบคืบ) ผมโหนเชือกบนต้นไม้
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเชือกดันขาด ตกลงมาขาหัก ผมบินกลับไปฝรั่งเศสเพื่อรักษาตัว
ทำงานเก็บเงินอีกระยะหนึ่งก็บินกลับมาที่อินเดียใหม่

ไม่เข็ด

ไม่ ผมชอบการเดินทางมาก
ยังจำความรู้สึกครั้งแรกที่เดินทางแบบแบ็กแพ็กได้ดี
อาจจะไม่ค่อยเกี่ยวกับวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตที่แตกต่าง เพราะตอนนั้นผมยังเด็กมาก
อายุไม่ถึง 20 ผมแค่รู้สึกว่า
ผมทำอะไรได้มากมายกว่าตอนอยู่ที่บ้าน ที่ฝรั่งเศสผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลย
แต่เมื่อออกเดินทาง ผมเจอคนเยอะมาก มีสิ่งต่างๆ ให้ทำไม่รู้จบ
ผมบอกกับตัวเองว่าจะต้องเป็นคนว่างงานให้ได้ (หัวเราะ) อยากใช้ชีวิตแบบนี้
อยากเป็นแบ็กแพ็กเกอร์เดินทางหาประสบการณ์
พูดคุยกับผู้คนและพยายามเรียนรู้จากพวกเขา สุดยอดมาก

คุณคิดว่าการเดินทางจำเป็นกับคนหนุ่มสาวไหม

ผมคงพูดว่าไม่จำเป็น
แต่สำหรับผมและคนอีกจำนวนมาก การเดินทางสอนเราหลายอย่าง
เราสามารถเรียนรู้จากคนที่แตกต่าง จากวิถีชีวิตที่ไม่เหมือนกัน จากทัศนคติคนละขั้ว
ถ้าคุณเดินทางมาก เห็นมาก คุยกับคนมาก ก็จะมีมุมมองชีวิตที่ดีกว่าคนอื่น
ตอนที่อยู่ฝรั่งเศส มุมมองผมแคบมาก มีความคิดเดียว ถ้าคุณออกเดินทางตั้งแต่ยังหนุ่มสาว
ข้อดีคือยังหัวอ่อน มุมมองขยับขยายได้ง่าย
ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ที่ไม่ค่อยอยากเปลี่ยนแปลงความเชื่อตัวเองอีกแล้ว อย่างไรก็ตาม
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณ

นักเดินทางมือใหม่ควรรู้อะไรมากที่สุดก่อนก้าวออกจากบ้าน

อยากให้มองว่าทุกอย่างคือการเรียนรู้
ไม่ว่าเราจะเจอใครหรือไปที่ไหน หมั่นทำความเข้าใจกับมุมมองและทัศนคติที่แตกต่าง
พยายามเปิดใจกว้างๆ แต่ก็อย่ากว้างจนโดนหลอก และอย่าเพิ่งท้อแท้เมื่อเจอสิ่งไม่ดี
เพราะบ่อยครั้ง เรามักจะเรียนรู้จากเหตุการณ์แย่ๆ ได้ดีกว่า

ขาหักถือว่าแย่พอไหม

(หัวเราะ)
ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว หลังจากคราวนั้นผมท่องเที่ยวไปอีกหลายที่ อินเดีย จีน เนปาล
เจอคนเยอะมาก การเดินทางเปลี่ยนชีวิตไปโดยสิ้นเชิง แต่จนแล้วจนรอดก็มาเคราะห์ซ้ำ
เกิดอุบัติเหตุขาหักอีกครั้งที่ประเทศไทยตอนอายุ 20
จะว่าแย่ก็แย่จริงๆ แหละ

ที่ว่าเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนไปทางไหน

ผมใจเย็นมากขึ้น
มีความอดทนอดกลั้นที่จะเข้าใจคนที่แตกต่างจากเรา
เพราะพฤติกรรมบางอย่างที่คนปฏิบัติเป็นปกติในประเทศนี้
อาจเป็นเรื่องต้องห้ามของอีกประเทศหนึ่ง
การเดินทางทำให้ผมไม่กังวลหรือหงุดหงิดกับคนที่ทำคนละอย่างกับเรา
มันเป็นไม่ได้ที่ทุกคนจะเหมือนกัน ถ้าเขาไม่เข้าใจเราก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ระหว่างเดินทาง คุณสนใจอะไรมากที่สุด

สนใจคน
ผมไม่ค่อยสนใจวิวทิวทัศน์เท่าไหร่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ด้วยว่ามีอะไรน่าสนใจ
เรามักเลือกทำอะไรที่ชอบ มองอะไรที่ชอบ เช่น ที่เยอรมนีเราชอบดูสถาปัตยกรรม
บ้านเมือง ที่ปักกิ่งเราชอบศิลปะ แต่พอไปเนปาลก็มีวิถีชีวิตที่น่าสนใจ คนจนเยอะมาก
หรือที่อัฟกานิสถานก็เช่นกัน มีคนจนอยู่เต็มไปหมด

ทุกเมืองที่ไป มีสถานที่ห้ามพลาดไหม

อาร์ตแกลเลอรี่
ไม่ว่าจะไปประเทศไหนเมืองอะไร ผมจะหาโอกาสชมศิลปะ
มันเป็นตัวสะท้อนวัฒนธรรมและสังคมได้ดีที่สุด นักเดินทางไม่มีเวลามากนักในการทำความเข้าใจวัฒนธรรมต่างถิ่นอย่างลึกซึ้ง
สิ่งที่เราเห็นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เป็นพื้นผิวของทั้งหมด
มีภาษามากมายบนโลกที่ผมไม่เข้าใจ
ผมไม่สามารถอ่านหนังสือพิมพ์ท้องถื่นหรือดูโทรทัศน์ได้
เพราะฉะนั้นผมจึงต้องดูศิลปะแทน มันเป็นภาษาโลกที่ง่ายต่อการเข้าถึงและเข้าใจ
เป็นการเริ่มต้นที่ดีในการทำความรู้จักสังคมใหม่ๆ

ศิลปะไม่เพียงสะท้อนสิ่งที่ศิลปินพยายามบอกเล่าเท่านั้น
มันยังพูดในสิ่งที่เขาไม่ได้พูดด้วย เหมือนเรามองสังคมผ่านกรอบภาพ ซึ่งมีเสน่ห์มาก

ชอบอาร์ตแกลเลอรี่ที่ไหนเป็นพิเศษบ้าง

ปักกิ่ง ผมประทับใจศิลปะของประเทศจีน
มันน่าทึ่งจริงๆ คุณรู้จัก ไอ้ เว่ยเว่ย (Ai Weiwei) ไหม
สิ่งที่เขาทำอัศจรรย์มาก ฮ่องกงก็น่าสนใจ มีอาร์ตแกลเลอรี่มากมาย
แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นนานาชาติ ไม่ใช่ศิลปะท้องถิ่น
แต่มันก็บอกเราว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นคือใคร ผมไม่ค่อยชอบหอศิลป์แห่งชาติสักเท่าไหร่
เพราะเป็นศิลปะที่ถูกคัดเลือกมาแล้วโดยรัฐบาล
ทุกอย่างถูกจัดมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

นอกจากศิลปะ
ผมชอบนั่งอยู่ในสวนสาธารณะ สังเกตผู้คนเดินไปเดินมา ออกกำลังกาย ทำงาน อ่านหนังสือ
พักผ่อน สนทนา หัวเราะ พลอดรัก แค่นั่งเฉยๆ แล้วมอง ง่ายและไม่เสียเงินด้วย

คุณเอาเงินจากไหนมาเที่ยวเยอะแยะ

ผมทำงานเป็นกราฟิกดีไซเนอร์
โชคดีที่ผมสามารถหางานได้ทั่วโลก ตอนอายุ 22 ปี
ผมกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง ได้งานกราฟิกดีไซเนอร์ที่นิตยสาร HiSoParty ผมได้เจอคนในวงการไฮโซมากมาย
ซึ่งผมชอบนะ การทำความเข้าใจพวกเขาเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีทีเดียว
และงานกราดีไซน์นี่แหละที่ทำให้ผมได้ไปเมืองคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน

“ถ้าคุณออกเดินทางตั้งแต่ยังหนุ่มสาว
ข้อดีคือยังหัวอ่อน มุมมองขยับขยายได้ง่าย
ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ที่ไม่ค่อยอยากเปลี่ยนแปลงความเชื่อตัวเองอีกแล้ว

www.landrydunand.com

(จากคอลัมน์ a day with a view – a day 138 กุมภาพันธ์ 2555)

คลิกอ่านบทสัมภาษณ์อื่นๆ ได้ที่นี่
ตอนที่ 2

ภาพ ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

AUTHOR