ธนญชัย ศรศรีวิชัย : ผู้กำกับโฆษณาชื่อดังระดับโลกที่ความคิดน่าสนใจมาก 2/4

ว่ากันว่า
ไอเดียแปลกๆ หลายอย่างผ่านลูกค้าได้เพราะออกมาจากปากคุณ
ถ้าไอเดียเดียวกันนี้ออกมาจากปากของผู้กำกับรุ่นใหม่ ลูกค้าไม่ซื้อแน่นอน
ที่ลูกค้าเชื่อผมก็เพราะตอนที่ผมยังเป็นผู้กำกับหน้าใหม่
ผมก็ยืนต่อหน้าลูกค้าประมาณ 10 คน แล้วพูดในสิ่งที่ผมคิดแบบนี้
ถ้าคุณอายุน้อย คุณก็ต้องมีความกล้าหาญที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับชุดความคิดเก่า
ถ้าคุณแน่ใจว่าความคิดของคุณถูกต้อง คุณก็ต้องกล้าลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่า ผมคิดแบบนี้ เพราะแบบนี้ แล้วคุณก็ต้องพร้อมรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำ
พร้อมโดนลูกค้าไล่ออกจากห้องโดยไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก พร้อมรับความเจ็บปวด
ความกล้าหาญของผมไม่ได้มาจากการได้รางวัล แต่เพราะตอนนั้นผมเป็นคนแบบนี้
ผมถึงได้รางวัล

คุณเคยโดนลูกค้าไล่ออกจากห้องไหม
ไม่ค่อย
ผมมีวิธีพูด แต่สิ่งที่ผมพูดมาจากสิ่งที่ผมศึกษา ทำการบ้าน อ่านหนังสือเยอะมาก
เศรษฐศาสตร์ การเมือง จิตวิทยา ศาสนา การต่อรอง ประวัติศาสตร์ ผมเชื่อว่าการจะทำให้ใครเชื่อเรา เราต้องเข้าใจเขาก่อน ผมเข้าใจว่าเขาต้องมีกำไรจากการขายสินค้าของเขา
แต่ช่วยไม่ได้ที่ผมต้องโยงใยเรื่องเข้ากับสังคม แล้วผมก็ต้องเข้าใจผู้บริโภค
เมื่อเข้าใจ 2
ส่วนนี้ค่อยมาหาจุดที่เขาได้ร้อย ผู้บริโภคได้ร้อย มันมีวิธีทำได้
ผมไม่ใช่ผู้กำกับที่ทำตัวเป็นสิ่งมีชีวิตที่หาเงินไปวันๆ ใครบอกให้ทำอะไรก็ทำ
ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ผมทำหนังโฆษณาเหล้าไม่ได้ เพราะมันเหี้ยเหลือเกิน

ทั้งๆ
ที่คุณเป็นนักดื่มตัวยง
ถ้าผมกินเหล้าเท่ากับผมต้องทำโฆษณาให้คนกินเหล้าเหรอ
ผมไม่อยากไปสร้างกรรมกับคนอื่น ผมรู้ว่าผมเป็นคนที่ไม่ดี อ่อนแอ
เมื่อรู้แล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ผมก็จะไม่ทำให้คนอื่นมาเป็นแบบผม บางคนบอกว่า
คุณทำโฆษณารณรงค์ให้คนเลิกกินเหล้า แต่คุณก็ยังกินเหล้าอยู่ ผมอยากจะถามว่า โอเค
ถ้าผมกินเหล้า ผมต้องทำโฆษณาให้คนกินเหล้าใช่ไหม ก็ไม่ใช่

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า
ถ้าได้สัก
100
ล้านคุณจะยอมทำโฆษณาเหล้า แต่จะเอาเงิน 50 ล้านไปทำสิ่งดีๆ
คิดไปคิดมา
ตอนนี้ให้พันล้านกูก็ไม่ทำ

ถ้ามีหนังเกี่ยวกับน้ำหอมที่ใช้แล้วหญิงเยอะติดต่อเข้ามาจะทำไหม
ทำ
แต่ต้องเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ให้ความคิดอะไรบางอย่าง
เราอยู่ในกองขี้ที่เรียกว่าธุรกิจโฆษณา ถ้าทุกคนมองว่าเป็นขี้มันก็เป็นขี้
แต่ถ้าเราวางขี้ไว้บนสนามหญ้า มันจะเป็นปุ๋ย ถ้าผมไม่ทำ คนอื่นก็ทำ
ถ้าคนอื่นทำก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำยังไง สำหรับผม ถ้ามีแง่มุมอะไรบางอย่างให้พูดได้
เช่น เราพูดถึงแชมพู แต่ก็พูดถึงปัญหาสังคมไปด้วย
หรือยื่นคำถามอะไรให้กับสังคม ก็ควรจะพูด

คุณตามใจลูกค้าแค่ไหน
ผมเป็นคนที่เปิดรับความคิดของคนมาก
แต่ในการคุยกันเราต้องหาข้อสรุปที่ลงตัว เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย ทั้งลูกค้า เรา
เอเจนซี่ และคนดู เราต้องหาให้ได้ ซึ่งไม่ใช่การประนีประนอม ไม่ใช่คุณได้ห้าสิบ
ผมได้ห้าสิบ แต่คุณต้องได้ร้อย ผมได้ร้อย คนดูได้ร้อย
การได้ร้อยนั้นคุณต้องเสียสละอะไรบางอย่าง การจะทำอะไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ต้องผ่านกระบวนการคิดเพื่อหาข้อสรุปอันเป็นปัญญานั้นให้ได้
ข้อสรุปที่ฉลาดหรือข้อสรุปที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่ข้อสรุปที่คุณชอบก็ได้
แต่เป็นข้อสรุปที่ดีกับคุณซึ่งคุณยังไม่เห็นว่ามันดีกับคุณยังไง
หน้าที่ของเราคือทำหนังโฆษณาให้คนดูชอบ ถ้าตั้งเป้าแบบนี้
เราต้องตัดความชอบส่วนตัวของคุณออกก่อนนะ มันอาจจะมีบางอย่างที่คุณไม่ชอบ
แต่คุณต้องซื้อมัน เพราะคนดูชอบ และนั่นคือประโยชน์สูงสุดที่คุณควรได้ เช่น
ลูกค้าบางรายอยากให้ตัวแสดงหน้าตาดี
แต่ถ้าตัวแสดงหน้าตาคล้ายชาวบ้านเขาจะรู้สึกว่าโปรดักต์ของคุณใกล้ชิดกับเขามากกว่า
คุณอาจจะไม่ชอบ แต่มันดีกับคุณ

ถ้าลูกค้ายืนยันว่ายังไงก็ขอตัวแสดงที่หน้าตาดี
เราก็อาจจะปรับให้ดีขึ้นมาอีกนิด
แล้วก็บอกเขาว่า ดีขึ้นมาอีกหน่อยก็ได้ แต่หนังแย่ลงนะ
ผมจะยอมทำตามเขาก็ต่อเมื่อเขาพูดว่า เขายังติดในความคิดของเขาอยู่ เขาอยากได้
เขาเป็นเจ้าของเงิน และผมต้องทำทุกอย่างที่เขาต้องการ เมื่อนั้นผมจะยอมทำตาม
แต่ห้ามบอกผมว่าความคิดของคุณถูก เพราะผมไม่เชื่อ และผมก็จะเถียงไปเรื่อยๆ
จนกว่าคุณจะยอมรับว่าความคิดของคุณผิด

เคยโดนลูกค้าสวนว่า
คุณต่างหากที่เป็นฝ่ายยึดติดกับความคิดตัวเองไหม
ไม่
เพราะผมมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่จะอธิบายสิ่งเหล่านี้

เหมือนที่
ททท
.
เคยชวนคุณไปพูดเรื่องการท่องเที่ยวแล้วคุณก็บอกว่า
คุณมีเหตุผลมากมายที่จะอธิบายว่าทำไมเราถึงควรปิดประเทศไม่ให้มีการท่องเที่ยว
เมื่อไม่มีการท่องเที่ยว
ชาวบ้านก็หันมาพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ดิ้นรนหาวิธีอื่นทำให้ดำรงชีพอยู่ได้
ถ้าไม่ได้จากสิ่งนี้ เขาก็จะได้จากสิ่งอื่น
ขึ้นกับรัฐบาลมีวิสัยทัศน์พอจะหาอย่างอื่นให้ชาวบ้านหรือเปล่า
หรือมีวิสัยทัศน์พอจะทำให้ชาวบ้านรู้ว่า
เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีเงินหรือเปล่า เหตุผลของการปิดประเทศคือ เพื่อฟื้นฟูดูแลทรัพยากรทั้งหมดที่มันเสื่อมสลายไปกับการท่องเที่ยวให้กลับคืนมาเหมือนเดิม
จริงๆ เราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่หยุดการท่องเที่ยว ทุกอย่างก็จะฟื้นคืนมาเอง
คนก็เหมือนกัน เราต้องฟื้นฟูเขาขึ้นมาใหม่ ในช่วง 2 – 3 ปีที่ปิดประเทศก็ให้ชาวบ้านหาความรู้
เรียนรู้เรื่องภูมิปัญญาตัวเอง กลับไปหารากเหง้าของตัวเอง
ถ้าคุณอยู่บุรีรัมย์ก็ต้องรู้ว่าภูมิปัญญาชาวบ้านของที่นี่เมื่อร้อยปีที่แล้วเป็นยังไง
ให้คนกลับไปหาพื้นถิ่นของตัวเอง เขาจะเริ่มรักและหวงแหนสิ่งที่ตัวเองมีอยู่
เมื่อคิดว่าสิ่งที่ตัวเองมีอยู่นั้นดีก็จะต่อยอดจากตรงนั้น เหมือนที่คนญี่ปุ่นหวงแหนและรักในถิ่นกำเนิด
ปรัชญา และวัฒนธรรมของเขา เมื่อนั้นเราจะเปิดประเทศอีกครั้ง
แต่ไม่ได้เปิดแบบเวียดนามถูกกูถูกกว่า ลาวถูกกูถูกกว่า
ทุกวันนี้รัฐบาลขายการท่องเที่ยวเหมือนกระเป๋าตลาดนัด เราต้องขายแบบหลุยส์ วิตตอง
ต้องจำกัดคน ไม่ใช่ใครก็เข้ามาได้เพราะมันถูก ถ้าเราทำประเทศให้กลับมามีค่าได้
ทำให้ทุกตารางนิ้วของประเทศมีค่าได้ คุณก็ขายเขาแพงๆ ได้ ใครๆ ก็อยากซื้อ
จะทำแกงไตปลาชามละ 200 ก็ได้ น้ำพริกปลาทูจานละ 500 ก็ได้ เมื่อนั้นเราค่อยเปิดประเทศ ผมบอกเขาไปว่า ผมคิดของผมแบบนี้

ในวันที่เรากลับมาเปิดประเทศ
ถ้าคุณต้องทำหนังให้ ททท
. สักเรื่อง คุณจะทำออกมายังไง
จะบอกว่าเราเป็นประเทศที่ออร์แกนิกทั้งประเทศ
อาหารทุกอย่างปลอดสารเคมีหมด เต็มไปด้วยสมุนไพรที่มีค่ามาก
เต็มไปด้วยทรัพยากรที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ เป็นความอุดมสมบูรณ์ถึงขีดสุดของโลก
คุณต้องมา ภาพทุกอย่างต้องดูพรีเมียมหมด มันแพงกว่าตอนนี้แน่ๆ
แต่ยังอยู่ในระดับที่นักท่องเที่ยวจ่ายได้ แล้วชาวบ้านจะดีขึ้น
แต่ต้องเริ่มต้นจากเขาต้องรักในสิ่งที่เขาเป็น สิ่งที่เขามีก่อน
และรู้ว่าจะพัฒนาไปในทิศทางไหน

เราต้องบริการฝรั่งแบบสุดตัวสุดใจอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ไหม

ถ้าเรามีจิตใจที่จะดูแลเขาเป็นอย่างดีก็เป็นเรื่องที่ดี
เขาจะชอบ ถ้าคุณบริการฝรั่งดีแต่บริการคนไทยไม่ดี อันนี้มีปัญหาแล้ว
เพราะสิ่งที่ทำยังเคลือบไปด้วยประโยชน์ ถ้าเรามองมนุษย์ทุกคนในโลกเหมือนกันหมด
รักและเมตตาเขาเหมือนกันหมด เป็นเรื่องดี แต่ถ้าเริ่มแยกแยะว่า
คนนี้มีตังค์มากกว่าต้องบริการดีกว่า นี่คือสิ่งที่แย่ที่สุด

ในการเดินทางแต่ละครั้ง
เราควรได้อะไรจากมัน
ทุกครั้งที่ผมไปเที่ยว
ผมอยากเจออะไรใหม่ๆ คนใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ ต้องได้ความรู้ ต้องได้แรงบันดาลใจ
ถ้าเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจเฉยๆ ผมว่าไม่ใช่การเที่ยว ทุกวันนี้เรานอนวันละ 8 ชั่วโมงอยู่แล้ว
ถ้าทำงานที่มีความสุขก็เหมือนได้พักผ่อนตลอดเวลา
ที่คุณต้องการการพักผ่อนอย่างมากเพราะคุณทำงานที่ไม่มีความสุขมั้ง
คุณพบว่างานที่คุณทำไม่มีอะไรน่าสนใจเลย แต่ต้องทำเพียงเพราะได้เงิน
ก็ขอแนะนำให้เลิกทำงานที่คุณไม่ชอบ แล้วไปทำในสิ่งที่ชอบ
เมื่อนั้นคุณจะไม่ต้องการการพักผ่อน

คุณไม่ได้เที่ยวมานานแค่ไหน
น่าจะสัก
3 ปี แต่ผมเป็นคนที่เที่ยวน้อยมาก 5 – 6 ปีเที่ยวครั้งนึง
ชอบทำงาน ก่อนมาไม่ค่อยชอบ รู้สึกว่าเสียเวลาทำงาน แต่พอมาแล้วก็ชอบทุกที
แล้วก็คิดว่า เออ ทำไมกูต้องทำงานด้วยวะ

คนที่บอกว่า
เที่ยวแล้วเสียเวลาทำงานถือว่าเป็นพวกบ้างานไหม
อาจจะเป็นคนที่ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิต
ผมทำงานเยอะ ไม่กล้าไปเที่ยวเพราะไม่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง
อยากอยู่ในสภาวะที่คุ้นเคย การทำงานมันสนุกดี ได้แก้ปัญหา ได้คิด
แต่พอมาเที่ยวก็พบว่า โลกมันมีอะไรอีกตั้งเยอะ ก็ได้แรงบันดาลใจ
เราใช้สมองเต็มที่ในการทำงาน เวลาเที่ยวก็ใช้สมองเต็มที่เหมือนกัน
ยังอยู่ในแพตเทิร์นเดียวกับการทำงาน ต่อให้เจอความสวยยังไงก็จะวิเคราะห์
ทำไมถึงเป็นหลังคาแบบนี้ทั้งเมือง ก็มองวิสัยทัศน์ของคนที่มีอำนาจ
หลังคาต้องเหมือนกันเพราะแต่ละบ้านต้องเป็นส่วนหนึ่งของวิวนั้น
มีส่วนร่วมอยู่ในเมืองเดียวกัน รับใช้เมืองร่วมกัน ทำบ้านก็ไม่ให้เด่นกว่าคนอื่น
หลังคาสีเดียวกัน เหมือนเขารู้หน้าที่ว่าเขาเป็นเมืองท่องเที่ยว
เข้ามีหน้าที่ต้องเป็นคนต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่เมืองไทยคงไม่ใช่ ต่างคนต่างทำ
ต่างคิด รูปแบบก็ไม่ค่อยมีเอกลักษณ์

ถ้าทิ้งงานได้สักสัปดาห์
ตอนนี้อยากไปไหนที่สุด
ที่ไหนก็ได้ที่มีงานศิลปะเยอะๆ
เพราะตอนนี้ร่างกายขาดศิลปะ อาจจะเป็นญี่ปุ่น ไม่ก็บาร์เซโลนา
ในขณะเดียวกับผมก็ชอบอินเดียมาก เพราะมันมีความหลากหลาย มีความลึกซึ้งอะไรบางอย่าง
มีความจนสุดๆ มีพันกว่าภาษา มีศาสนาเยอะมาก น่าสนใจว่าเขาอยู่ร่วมกันได้ยังไง
เขาสื่อสารกับคนอื่นได้ยังไง แตกต่างแต่ก็อยู่ร่วมกันได้
เหมือนป่าไม้ที่มีพืชที่แตกต่างกันมากมายอยู่ร่วมกัน

คุณบอกว่าไม่ดูหนังโฆษณาของผู้กำกับคนอื่นมา
6
ปีแล้ว แรงบันดาลใจในการคิดงานของคุณหลักๆ มาจากคน
คนเหล่านั้นคือใคร
เยอะมาก
จากทุกๆ คนที่อยู่รอบตัวผม เพื่อนผม แม่ผม ยาม แม่บ้าน
หรือแม้แต่ลูกน้องของผมก็อินสไปร์ผม หลายคนสอนให้ผมใจเย็น
สอนว่าผมเริ่มไม่ฟังความคิดของคนอื่นแล้ว

เขากล้าเตือนคุณ
ไม่ได้เตือน
แต่ผมรู้เอง เขาแค่พูดว่า “พี่ ผมยังพูดไม่จบเลย” ผมก็ โอ๊ย ตายห่า
ขอบคุณนายมากว่ะ เด็กขายพวงมาลัยก็อินสไปร์ผมนะ มีอยู่วันนึง ผมขับรถไปแถวพระราม 9
มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มาเคาะกระจกถามว่า ซื้อพวงมาลัยไหม
ผมก็ไม่ซื้อ อีกวันผ่านาอีก เด็กก็เคาะอีก ผมก็บอกว่าไม่เอา เขาก็เคาะอีก
พอเปิดกระจกลง เขาก็ถามผมว่า “พี่…หัวหยิกอย่างนี้
ไปทำอะไรกับหัวมา” ผมแม่งงงเลย
อีกวันเขาเห็นพวงมาลัยที่ผมแวะซื้อมาจากที่อื่นก็บอกว่า “ทีอย่างงี้ซื้อ
ไม่ซื้อของหนู” วันถัดมาก็มาเคาะกระจกอีก ผมถามว่ามีอะไร
เขายื่นพวงมาลัยมาบอกว่า “ให้ ไม่ต้องซื้อ” ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างรุนแรง
ผมเข้าใจว่ามันเป็นโควต้าที่ต้องขายให้หมด แต่ผมไม่ได้มองในส่วนนั้น
ผมมองว่าเด็กคนนี้เราไม่เคยซื้อเขาเลย ตังค์เขาก็มีไม่เยอะ แต่วันนี้เขาให้เรา
เด็กคนนี้เปลี่ยนชีวิตผมเลย

มีครั้งนึง
ผมก่อกองไฟที่เชียงใหม่แล้วพบว่าทำไมไมันติดยากจัง ใช้เวลาจุดวันแรกครึ่งชั่วโมง
วันต่อมาก็สั้นลงตามลำดับ แต่ยังไงก็ไม่เกิน 10 นาที
มีวันนึงไปก่อไฟแบบนี้ที่บ้านแม่แล้วมีชาวสวนเดินผ่านมา เขาจุดติดใน 1 นาที เขาบอกว่าให้จุดอันที่ติดไฟง่ายไปหายาก
ไหม้จากฟางไปหากิ่งเล็กแล้วค่อยกิ่งใหญ่ขึ้นๆ สิ่งนี้ก็เปลี่ยนชีวิตผม เมื่อก่อนผมอยากทำให้ประเทศดีขึ้น
ด้วยวิธีอะไรก็ได้ แต่ผมไปคิดถึงขอนไม้ใหญ่ๆ มากเกินไป จริงๆ แล้วถ้าเราเป็นไฟ
ก่อนจะเปลี่ยนของใหญ่ต้องเปลี่ยนของเล็กก่อน คุยกับคนที่ติดไฟง่ายก่อน
พอเขาจุดติดค่อยลากไปหาคนอิ่น ทุกคนต่างเป็นเชื้อไฟ ประเทศก็จะสว่างไสว
ฟืนใหญ่มันมีความชื้น ติดยาก ต้องใช้เวลา มองฟืนใหญ่แล้วก็ท้อว่าเมื่อไหร่จะติด
โดยลืมไปว่าทำสิ่งเล็กๆให้ติดก่อน ทำกับครอบครัวเราได้ไหม เพื่อนร่วมงานได้ไหม
เพื่อนบ้านได้ไหม ถ้าได้ฟืนที่ดีก็จะไปติดอย่างอื่นเอง ถ้าอยากเปลี่ยนประเทศ
ไม่ต้องเป็นนักการเมืองก็ได้ เราคิดใหญ่ได้ แต่ต้องเริ่มจากอะไรเล็กๆ ก่อน

ถ้าในงานนี้คุณถูกเชิญไปขึ้นเวทีพูดให้ครีเอทีฟทั้งหมดฟัง
คุณอยากพูดเรื่องอะไรที่สุด
ถ้าคุณเป็นครีเอทีฟแล้วทำให้ลูกค้าขายของได้
คุณก็เป็นครีเอทีฟ แต่ถ้าคุณเป็นครีเอทีฟที่ทำให้ลูกค้าขายของได้
และสังคมดีขึ้นด้วย คุณจะไม่เป็นแค่ครีเอทีฟ ครีเอทีฟทุกคนทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นได้
เขาจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง
อาชีพครีเอทีฟโฆษณาอยู่ในสภาวะที่หล่อหลอมให้ตัวตนตัวกูของกูสูงขึ้น
ทุกคนอยากเป็นที่รู้จัก อยากมีชื่อเสียง ต้องการเงิน ต้องการความสะดวกสบาย
แต่ก็มีครีเอทีฟอีกหลายคนเหมือนที่ไม่คิดถึงตัวเอง ปฏิเสธอะไรหลายอย่างแล้วลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างโดยปราศจากความกลัว
ผมจะบอกเขาว่า ผมไม่ใช่คนเก่ง ผมไม่ใช่คนดี ผมคือขี้ดีๆ นี่เอง
และพวกเราก็อยู่ในธุจกิจขี้เหม็นนี้ ผมไม่ได้ดีไปกว่าพวกคุณ
แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่ามันเป็นขี้ เราน่าจะมีวิธีทำให้ขี้นั้นมีประโยชน์ได้

ฟังดูเหมือนคุณไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องเงิน
ในโลกปัจจุบัน
เรามักมองอะไรสั้นเกินไป ถ้าพูดเรื่องเศรษฐกิจก็มองแค่คนที่มีเงินมากที่สุด
แต่ลืมไปว่า เมื่อคุณมีเงินมากที่สุด คุณก็เหนื่อยนะ ลำบากในการจัดการมัน ลืมไปว่า
ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ลืมไปว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร ลืมไปว่า คุณค่าจริงๆ
ของมนุษย์คืออะไร โฆษณาเกิดขึ้นมาเพื่อรับใช้ระบบทุนนิยมอยู่แล้ว
ถ้าเราแตะเบรกนิดนึง แล้วตั้งความคิดใหม่ ถ้าโฆษณามันมีอานุภาพขนาดทำให้โลกแย่ได้
ด้วยตัวของโฆษณาเองก็น่าจะทำให้โลกดีขึ้นได้ โฆษณาออนแอร์ตลอดเวลา
ถ้าเราใส่เนื้อหาดีๆ ลงไปในโฆษณา ทัศนคติที่ดี ความคิดที่ดี
มันก็ทำให้ประเทศของเราดีขึ้นได้
ผมอยากเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างให้ดีขึ้นด้วยการใช้โฆษณา
เอาเงินคนรวยมาทำให้คนจนดีขึ้นสิ ตอนนี้เราอยู่ในยุคแห่งการใช้เงิน อย่าปฏิเสธเงิน
แต่จงใช้เงินเป็นเครื่องมือหนึ่งในการทำสิ่งต่างๆ ให้มันดีขึ้นได้
ไม่ใช่ทำอะไรเพื่อเงินก็เหมาว่าเลวหมด ถ้าคุณจะทำอะไรใหญ่ๆ คุณต้องใช้เงินนะ
คุณหาวิธีหาเงินดีๆ สิ โยกเงินคนรวยมาให้คนจนสิ คุณต้องหาวิธีให้ได้

คุณคือโรบินฮู้ดที่ใช้กล้องแทนธนู
ผมไม่ใช่คนดีนะ
แต่ผมเป็นคนคิดมาก ถ้าคนยังจนอยู่ เขายังไม่แข็งแรง ไม่ฉลาด ไม่ดีขึ้น
เขาก็ไม่มีเงินให้คุณ คุณต้องช่วยเขา ทำให้เขาดีขึ้นก่อนแล้วเขาถึงจะมีเงินให้คุณ

ถ้าครีเอทีฟอยากใช้ทักษะที่ตัวเองมีลุกขึ้นมาเปลี่ยนประเทศ
ต้องทำอะไรเป็นอย่างแรก
ต้องรู้สึกตัวก่อนว่าเราอยู่บนปัญหา
เราต้องรู้สึกแย่ รู้สึกว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา
แล้วเราก็ได้รับผลกระทบจากปัญหานั้นๆ เหมือนกบที่อยู่ในน้ำร้อน
ถ้าน้ำยังอุ่นอยู่กบก็ไม่ดิ้น แต่อาจจะมีกบบางตัวที่เริ่มรู้ว่าเราอยู่บนเตาแก๊ส
เราต้องมองทะลุหม้อให้เห็นว่ามีไฟอยู่ข้างใต้ ถ้าเราเริ่มเห็นสัญญาณ
เราก็จะเปลี่ยนแปลงก่อน นั่นหมายความว่าเราต้องใช้สายตาในการมองผู้อื่น แต่หลายๆ
คนยังห่วงแต่ตัวเอง ซัมเมอร์นี้กูจะใส่เสื้ออะไร ที่นั่นมีเซลมึงไปหรือยัง
ไอโฟนมีแอพพลิเคชันใหม่เว้ย ไม่ได้มองอะไรมากไปกว่าจอโทรศัพท์หรือจอคอมพิวเตอร์
มันต้องมองไปรอบๆ คุณเห็นคนทะเลาะกันที่ข้างถนนแล้วคุณรู้สึกยังไง คุณเห็นเด็กมัธยมหัวเกรียนซิ่งมอเตอร์ไซค์แล้วคุณรู้สึกยังไง
คุณรู้สึกยังไงกับข่าวเด็ก ป.5 ข่มขืนกัน ถ้าคุณรู้สึกกับสิ่งต่างๆ
เหล่านี้ คุณจะเริ่มขยับ เพราะเด็กคนนั้นอาจจะมาเคาะประตูบ้านคุณ
เอาปืนมาจ่อหัวคุณแล้วขอของในบ้านคุณทั้งหมด อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิด
การคิดเรื่องบวกเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องมองอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
มองอย่างมีสติ เราจะได้รู้ว่า ปัญหามันอยู่ตรงไหน จะได้แก้ตรงนั้น

ในช่วง
2
– 3 ปีที่ผ่านมา ที่บ้านเมืองเรามีปัญหาเรื่องการเมืองอย่างรุนแรง
คุณอยู่ตรงไหน และทำอะไรอยู่
ผมไม่สบายใจเลยกับปัญหาที่เกิดขึ้น
ผมคิดว่าจะทำอะไรต่อไปในอีก 5 ปีข้างหน้า คำตอบคือ
ผมจะทำให้คนหันมาสนใจการใช้ชีวิตที่อิงกับธรรมชาติมากที่สุด

ฟังดูไม่ค่อยเกี่ยวกับการเมืองนะ
ไม่เกี่ยว
ผมไม่ค่อยสนใจว่านักการเมืองจะคิดอะไร ผมอยากเปลี่ยนประเทศให้ดีขึ้น
แต่คงไม่ลงสมัคร ส.ส. เราสามารถเปลี่ยนได้จากตัวเราเองก่อน
เรารู้ว่าเรามีเพื่อนฝูง มีน้องๆ ที่ให้ความสนใจความคิดเรา
หน้าที่ของเราก็คือพัฒนาความคิดเรา เมื่อผมได้รับแรงบันดาลใจจากผู้อื่น
หน้าที่ของผมคือ ผมต้องส่งแรงบันดาลใจนั้นไปหาคนอื่นต่อไป
ประเทศน่ะเปลี่ยนได้ แต่ต้องเปลี่ยนที่เรา
เราต้องเลือกปิดก่อน ปิดทีวีคือไม่ฟัง ปิดเพื่อให้มีสติ
ไม่มีประโยชน์ที่จะมองสิ่งนั้นตลอดเวลา มันทำให้เครียด แต่เราละเลยไม่ได้
การเมืองก็เหมือนซิตคอมวันต่อวัน เนื้อหาคือคนพวกนี้ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน
สัญญาว่าจะทำโน่นทำนี่ให้ โกหกบ้าง โกงบ้าง แล้วก็เล่นการเมืองกันตลอดเวลา
เข้าไปแสดงหาประโยชน์ ทำยังไงให้คนพวกนี้ไม่มีโอกาสทำอะไรเลวๆ ถามว่า จู่ๆ
เขาเดินเข้ามาเขียนชื่อตัวเองสมัครเป็น ส.ส. แล้วเป็นได้เลยเหรอ ไม่ ประชาชนนั่นแหละเลือกเข้าไป ทำไมประชาชนถึงเลือก
ก็เพราะประชาชนเดือดร้อน แล้วก็อยากได้อะไรง่ายๆ อยากได้เงินง่ายๆ ทำไมถึงอยากได้
ก็เพราะเขาขาด ทำไมเขาถึงขาด ก็เพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่เขามีอยู่มันไม่มีอะไร
เขาอ่อนแอ รอการช่วยเหลือ แล้วทำยังไงเขาถึงจะเข้มแข็ง ก็ต้องหัดพึ่งตัวเองได้
ก็ต้องอาศัยความขยันกับความไม่โลภ และการเป็นคนดี

อย่างแรกที่คุณต้องคิดคือ
คุณคืออะไร คุณคือมนุษย์ แล้วมนุษย์คืออะไร ต้องการอะไร มนุษย์ต้องการเงินเหรอ
ตื้นไปมั้ง มนุษย์ต้องการความสงบสุขในชีวิต ตื่นเช้ามาแล้วมีความสุข มีอยู่ มีกิน
เหลือค่อยไปขาย แล้วคุณก็รวยเอง แต่คุณต้องไปทำนะ ประเทศเรามีแรงเสียดทานหลายๆ
อย่าง เรามีกระทรวงเกษตรฯ มีนักวิชาการหลายๆ คนที่ไปสนับสนุนมอนซานโต
สนับสนุนคนขายยาฆ่าแมลง คนขายเมล็ดพันธุ์
สนับสนุนการเกษตรแบบใช้เทคโนโลยีแบบวิทยาศาสตร์
เรื่องเกษตรธรรมชาติไม่เคยถูกบรรจุเข้าไปอยู่ในนโยบาย สิ่งที่นักการเมืองทำคือ
จับมือกับเอกชน โดยมีเป้าหมายว่า ทำให้ประชาชนอ่อนแอโดยการเอาเงินมาล่อ ปลูกพืชเป็นเชิงเดี่ยว
ซึ่งนานๆ ไปมันทำให้ดินเสีย เพราะปลูกมัน ปลูกข้าวโพด เป็นไร่ๆ ปลูกไปเรื่อยๆ
ไม่มีการหมุนเวียน เสร็จปุ๊บแม่งก็ขายปุ๋ย ขายยาฆ่าแมลง คนขายปุ๋ย
เพราะฉะนั้นทำยังไงถึงทำให้ประชาชนเข้มแข็ง
ลืมตาอ้าปากได้โดยไม่ต้องพึ่งนักการเมือง คำตอบคือ กลับไปหาธรรมชาติ
กลับไปหาภูมิปัญญาดั้งเดิม กลับไปหาการเกษตรที่ไม่ต้องพึ่งพาเยอะ ความคิดต่างๆ
ในโลกยุคหน้ามันกลับไปหาธรรมชาติหมด
เราต้องตั้งคำถามกับปุ๋ยวิทยาศาสตร์แล้วว่าทำให้เราดีขึ้นจริงหรือเปล่า
ดินในโลกเกือบ 60
เปอร์เซ็นต์แย่ลง ทัสคานี หรือที่สวยๆ ในสเปน อังกฤษ ที่เราเห็นเป็นทุ่งเรียบๆ
น่ะ จริงๆ แล้วดินห่วยมาก เพราะหนึ่ง ปลูกองุ่น สอง เลี้ยงสัตว์
เขาเป็นประเทศกินเนื้อ การเลี้ยงวัวนี่ฆ่าความหลากหลายทางชีวภาพหมดเลยนะ
พอไม่มีความหลากหลาย ดินก็เสีย จุลินทรีย์ก็หาย ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น คนรวยโง่ๆ
ไปเที่ยวทัสคานีก็บอกว่าสวย แล้วเสือกมาทำที่เขาใหญ่ มีต้นไม้ห่าอะไรแม่งตัดหมดเลย
อยากให้เป็นแบบนั้น คิดแต่ภาพอย่างเดียว ไปเที่ยวก็ไม่เคยคิดเลยว่าทำไม เพราะอะไร
มึงเคยเดินลงจากรถแล้วไปถามชาวนาที่โน่นไหมว่าดินเป็นยังไง มองแต่ความสวย ผมไม่เห็นว่ามันจะสวยเลย
ที่สวยที่สุดคือป่าดงดิบในเมืองไทย อันนี้สวยจริง

“ถ้าคุณเป็นครีเอทีฟแล้วทำให้ลูกค้าขายของได้
คุณก็เป็นครีเอทีฟ แต่ถ้าคุณเป็นครีเอทีฟที่ทำให้ลูกค้าขายของได้และสังคมดีขึ้นด้วย คุณจะไม่เป็นแค่ครีเอทีฟ ครีเอทีฟทุกคนทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นได้
เขาจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง”

(จากคอลัมน์ a day with a view – a day 120 สิงหาคม 2553)

คลิกอ่านบทสัมภาษณ์อื่นๆ ได้ที่นี่
ตอนที่ 1

ภาพ นิติพัฒน์ สุขสวย

AUTHOR