โจน จันใด : ชายผู้ชวนทุกคนกลับมาใช้ชีวิตอย่างที่มนุษย์ควรจะเป็น 4/4

ทุกวันนี้คุณเข้าใจชีวิตดีแค่ไหนแล้วครับ
ไม่ถึงครึ่งเลย อยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้นเอง
ต้องฝึกไปเรื่อยๆ ยินดีที่ได้เผชิญกับปัญหา ดีใจที่มีความวุ่นวาย ความสับสน มีปัญหารุมเร้าเข้ามา
นี่คือโอกาสที่ผมจะได้เรียน นั่นคือห้องเรียนของผม

มีปัญหาอะไรบ้างที่รุมเร้าเข้ามาแล้วยังแก้ไม่ตก
ไม่มี ถ้าเรายอมรับกับความจริง ไม่มีปัญหาที่แก้ไม่ได้
แต่ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง จะมีปัญหาที่แก้ไม่ได้เต็มไปหมด อย่างเรากลัวเจ็บป่วย กลัวตาย
ซึ่งมันเป็นความจริงของชีวิต แต่คนกลับไม่ยอมรับว่ามันเป็นความจริง คนเชื่อว่าเราจะหนีจากมันได้
แก้ไขจากมันได้ คุณก็จะไปซื้อประกัน ไปสะสมเงิน เพื่อให้รู้สึกว่ามันมั่นคง เพื่อแก้ปัญหาเรื่องความกลัวเจ็บป่วย
กลัวตาย ไม่ว่าเขาจะมีประกันดีขนาดไหน มีเงินสะสมไว้มากขนาดไหน เขาก็ต้องเจ็บป่วยและตายเหมือนเดิม
นี่คือไม่ยอมรับความจริง ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ความกลัวมันแก้ไม่ได้ ยิ่งหาเงินมาก
เขาก็ยิ่งเหนื่อยมาก ก็ยิ่งทำให้ร่างกายทรุดโทรมมาก ก็ยิ่งเจ็บป่วยมาก แล้วก็ตายเร็วขึ้น
แต่ถ้าไม่กลัว โอ้ ความตายเป็นเรื่องธรรมดา อย่างผมเห็นว่าการเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่ดี
เพราะการเจ็บป่วยคือร่างกายมันเตือนเราว่าเราใช้วิถีชีวิตผิด ผมกินผิด ผมคิดผิด ผมทำงานผิด
ผมจึงเจ็บป่วย ถ้าผมทำถูก ผมจะไม่เจ็บป่วยเลย ฉะนั้นผมรู้สึกขอบคุณที่เจ็บป่วย

อีกอย่าง การเจ็บป่วยคือช่วงหนึ่งของชีวิตที่ร่างกายเตือนเราว่าเราต้องกลับมาสู่ตัวเอง เพราะธรรมดาคนจะไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย จะคิดถึงแต่งาน คิดถึงความยิ่งใหญ่ คิดถึงอะไรข้างนอก คิดถึงภารกิจของตัวเอง แต่ไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย
แต่พอเจ็บป่วยปุ๊บ เขาจะเริ่มคิดว่า จะตายแล้วนี่ จะลืมทุกอย่างได้ มันทำให้คนกลับมาหาตัวเอง
ถ้าเราไม่เป็นหวัด เราจะไม่รู้สึกถึงคุณค่าของการหายใจ ถ้าไม่เจ็บป่วย คนจะไม่รู้ถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่
เราก็จะกินอะไรก็ได้ สำมะเลเทเมายังไงก็ได้ เพื่อที่จะเพลิดเพลินกับสิ่งที่มีอยู่ มันจึงเป็นความจำเป็นที่จะต้องเจ็บป่วย
เพื่อดึงให้เรากลับมาหาตัวเอง คนพยายามบิดเบือนว่าความจริงนี้เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย
เป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นสิ่งที่ต้องวิ่งหนี ทั้งที่วิ่งหนีไม่ได้

ความตายมันเป็นเรื่องธรรมดา คนเราไม่รู้หรอกว่าตอนตายมันเป็นยังไง ความตายอาจจะเป็นของขวัญชิ้นที่สำคัญที่สุดของชีวิตที่ธรรมชาติมอบให้เราก็ได้
แต่เรากลัว เพราะไม่มีใครอธิบายให้เราฟังว่าตายแล้วเป็นยังไง เรากลัวความจริง ถ้าเรายอมรับตรงนี้
ปัญหาในชีวิตมันจะน้อยลง ฉะนั้นวิธีที่ผมแสวงหาความเข้าใจก็คือทำความเข้าใจเรื่องนี้เพื่อลดความกลัวลง

คุณเคยบอกว่าตอนนี้ตายได้แล้ว
มันไม่ได้ต้องการอะไรอีกแล้ว
มันอิ่มกับการมีชีวิตอยู่ อายุก็ 45 แล้ว รู้สึกพอใจกับชีวิตที่ผ่านมา
ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ส่วนที่เหลือของชีวิตก็อยากจะใช้ให้เป็นประโยชน์สำหรับคนอื่น
สำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป มันเหมาะที่จะมาทำเรื่องเมล็ดพันธุ์ ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว

คุณไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้วหรือครับ
ผมไม่มีเป้าหมาย
เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ แต่ละขณะมีสิ่งที่จำเป็นของมันอยู่ สิ่งที่จำเป็นที่สุดตอนนี้คือเก็บเมล็ดพันธุ์
ผมก็ทุ่มเทเวลากับสิ่งนี้ จะทำได้แค่ไหนก็เป็นอีกเรื่อง แต่ขอให้ได้ทำ เป้าหมายในชีวิตของผมไม่เหมือนคนทั่วไปที่คิดถึงความสำเร็จอะไรสักอย่าง
ความสำเร็จหรือล้มเหลวไม่มีความหมายกับชีวิตผมในตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
ผมได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการทำสิ่งนั้นๆ ผมไม่ได้แสวงหาความสำเร็จ ไม่ได้ผลักดันความล้มเหลว
ผมยินดีรับทั้งสองอย่างถ้าเกิดขึ้นแล้วผมได้เรียนรู้
เมื่อเกิดขึ้นแล้วผมหลงไปกับมันไหม ผมสูญเสียอารมณ์หรือความรู้สึกไปกับมันไหม
อะไรทำนองนี้ต่างหากที่ผมเฝ้าดู
ผมถึงทำทุกอย่างที่อยากทำโดยไม่กลัวว่าจะผิดพลาดหรือล้มเหลว เพราะนั่นไม่ใช่เป้าหมาย
ผมต้องการเรียนรู้เพื่อที่จะพัฒนาตัวเอง เพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น
เพื่อให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น

เคยคิดเรื่องเก็บเงินสำหรับลูกและภรรยาบ้างไหมครับ
เราไม่รู้หรอกว่าเขาจะต้องการอะไรในอนาคต
โตขึ้นเขาอาจจะไม่ต้องการสิ่งที่เราหาก็ได้ เพราะเขามีจิตใจเป็นของเขา เหมือนคนตะวันตกยุคนี้
พ่อแม่รวยจะตาย มีใครเอามรดกจากพ่อแม่บ้าง อายุ 20 ก็หนีหมดแล้ว
ผมไม่มีความคิดจะหาเงินหาทองให้ลูกให้ภรรยา เสียเวลาเปล่า ภรรยาผมก็ทำทุกอย่างที่ผมทำ
เขาต้องพัฒนาตัวเขาเอง ลูกผมก็ต้องทำทุกอย่างที่ผมทำ
ความรู้ความชำนาญในการมีชีวิตอยู่ต่างหากที่สำคัญมากกว่า
สิ่งไหนที่ต้องทำเพื่อพึ่งตัวเอง ต้องทำให้ได้ทุกอย่าง
การหาเงินให้ลูกให้เมียเป็นความคิดที่ผิด เพราะมันเหมือนกับให้ยาพิษ
เป็นการทำลายลูกเลยแหละ ถ้าลูกเติบโตมากับการได้เงินโดยไม่ทำงานมันจะเสียคน
ทำอะไรไม่เป็น แล้วก็ไม่อยากทำอะไร นอกจากขอเงิน และใช้เงิน ถ้าสอนเขาว่าอยากได้อะไรให้ทำเอง
โตขึ้นถ้าไม่มีเงิน เขาก็หาเงินได้

ตอนนี้คุณกำลังจะสอนลูกในระบบโฮมสคูล พอถึงช่วงที่ต้องเข้ามหาวิทยาลัย
คุณจะให้ลูกเข้าสู่ระบบไหม
ถ้าเขาอยากเรียนก็เรียนได้นะ แต่ต้องให้หาเงินเอง
ถ้าโตขนาดนั้นไม่มีความจำเป็นต้องส่ง หาเงินเองได้แล้ว เด็กในต่างประเทศก็เป็นอย่างนั้น
ต้องทำงานในร้านอาหาร อย่างบิล คลินตัน ก็ทำงานในปั๊มน้ำมันมาก่อน พ่อแม่รวยขนาดไหน
เขาก็ทำอย่างนั้น มันเป็นวัฒนธรรมของฝรั่ง ผมได้เปรียบตรงที่มีเมียเป็นฝรั่ง
ไม่ต้องคุยกันเยอะ เขาเข้าใจวัฒนธรรรมแบบนี้ดี ผมคงสอนลูกให้ขายส้มตำ ไก่ย่าง
น้ำเต้าหู้ แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เรื่องยากเลย

คุณตั้งความหวังกับลูกเอาไว้ยังไงบ้าง
ไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้เป็นห่วง
ช่วงนี้อยากให้เขาเรียนรู้ให้มีประสบการณ์ในการพึ่งตัวเองให้มากที่สุด
ถ้าลูกพึ่งตัวเองได้ เราก็จะไม่ห่วง ถ้าผมตาย เขาก็ยังอยู่ได้
เราไม่ได้หาเงินให้ลูกเหมือนคนไทยเราทำ แต่เราจะให้ประสบการณ์ ให้ความรู้กับลูก
ขอให้เขามีความรู้ความสามารถ เขาอยู่ที่ไหนก็ได้ เราเลี้ยงเขาให้เป็นเขา
ไม่ใช่เลี้ยงเขาเพื่อรับใช้ความต้องการของเรา
ไม่เหมือนคนไทยที่ตัวเองอยากเป็นหมอแต่เป็นไม่ได้ ก็เอาความต้องการนี้มายัดเยียดให้ลูก
แบบนี้มีโอกาสเป็นทุกข์มาก ถ้าเรามองว่าลูกก็เป็นคนคนหนึ่ง เขาจะเป็นอะไรก็ได้ในสิ่งที่เขาอยากเป็น
เราให้เขาในเรื่องความสามารถที่เขาอยากพึ่งตัวเอง แต่ถ้าเขาต้องการมากกว่านั้น
เขาก็หาเอง ถ้าเขาหาเองได้เขาก็ภูมิใจ

มองคนหนุ่มสาวยุคนี้ยังไง
คนหนุ่มสาวในสมัยนี้ก็ยังเพลิดเพลินกับความสนุกสนาน มีสิ่งที่เอนเตอร์เทนเยอะเกินไป
จนกว่าเขาจะได้ทำงานนั่นแหละ เขาถึงจะรู้สึกว่าชีวิตมันไม่ง่ายเท่าไหร่
คิดว่าตอนนี้ต้องปล่อยให้เขาสนุกสนานไปก่อน ตอนทำงานเขาก็จะกลับมาเอง
ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะไปชักชวนคนที่ยังไม่พร้อมมา ใครถึงจุดอิ่มตัวก็มาเอง
เราคิดอย่างนี้

คุณมองความรักอย่างไร
ที่เรารักคนอื่น จริงๆ แล้วเราไม่ได้รักคนนั้น
เรารักในสิ่งที่คนนั้นมี แต่เราไม่มี เรารักความดีของเขา รักความสวยของเขา
อยากครอบครองความสวยนั้น ความรักแบบนี้เป็นความต้องการที่เห็นแก่ตัว
เป็นไปได้ยากมากที่จะประสบความสำเร็จและอยู่กับเราได้นาน เพราะเขาก็เป็นคนที่มีใจเป็นของเขาเอง
มีความต้องการเป็นของเขา ซึ่งมันอาจจะไม่ตรงกับเรา นั่นทำให้ผิดหวัง อกหัก
ผมก็เลยคิดว่า ทำไมเราต้องอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้จากเขา ทำไมเราไม่สร้างเอง
ทำไมเราถึงอยากให้คนอื่นมารักเรา แทนที่เราจะรักคนอื่นเท่านั้นก็พอ
ฝึกคิดแบบนี้บ่อยๆ ก็เริ่มเห็นว่า การรักคนอื่นดีกว่าการที่อยากให้คนอื่นมารักเรา
การทำความดีให้คนอื่นดีกว่าการอยากได้ความดีจากคนอื่น คิดแบบนี้ทำให้รู้สึกเบาขึ้น
สบาย ตอนหนุ่มๆ ที่คิดได้แบบนี้ ผมคิดว่าชีวิตนี้ไม่แต่งงานก็ได้ ไม่ต้องมีคู่ก็ได้
ก่อนหน้านั้นไม่เคยมีผู้หญิงมาชอบผมเลย เพราะชีวิตผมแปลก เป็นคนบ้าในสายตาคนทั่วไป
ผมไม่มีมอเตอร์ไซค์ ไม่มีแหวน ไม่มีทอง ไม่มีงานเป็นกิจจะลักษณะ
ไม่มีใครอยากคุยด้วย แต่พอผมเปลี่ยนมาคิดแบบนี้ก็เริ่มมีคนมาชอบผม

ทำไมคุณถึงมองทุกอย่าง ทำทุกอย่างได้ง่ายไปหมด
ทำให้ง่ายมันก็ง่าย ชีวิตคนเราไม่ยากหรอก ตัดความกลัวออกเท่านั้นเอง
แล้วทำในสิ่งที่อยากทำ ความกลัวไม่มีประโยชน์อะไรในชีวิตคน
แต่เราสร้างมันขึ้นมาเพื่อควบคุมตัวเราเอง
แล้วความกลัวก็เป็นสิ่งที่สังคมยัดเยียดให้กับทุกคน เพื่อให้ทุกคนเชื่อฟังและทำตาม
กลัวป่วยก็ซื้อประกัน ซื้ออาหารเสริม พอเริ่มซื้อนั่นหมายความว่าเราต้องทำงานมากขึ้นเพื่อหาเงินเยอะๆ
เราก็เลยไม่มีเวลา ความกลัวเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาในความคิด กลัวตาย
กลัวไม่กลัวก็ตาย กลัวเจ็บป่วย กลัวไม่กลัวก็เจ็บป่วย มีเงินเป็นล้านก็ตาย
มีเงินเป็นล้านก็เจ็บป่วย แล้วกลัวทำไม กลัวแล้วทำให้ตายเร็วขึ้นด้วยซ้ำ
เป็นไข้นิดหน่อยก็ไปหาหมอ หมอก็ยัดยาให้ เพื่อที่จะได้ขายยา เราได้ยามามากขึ้น แทนที่จะรักษาโรคอย่างเดียว
มันก็ทำลายส่วนอื่นของร่างกายด้วย ทำให้เราเจ็บป่วยมากขึ้น พึ่งหมอมากขึ้น
แล้วเราก็ตายเร็วขึ้น เท่านั้นเอง ยิ่งกลัวก็ยิ่งคิดมาก ก็ยิ่งเครียด เป็นโรคประสาทมากขึ้น
ก็ดิ้นรนกระเสือกกระสนมากขึ้น ก็ตายเร็วขึ้น

คนเราเกิดมาทำไมครับ
คนเราเกิดมาเพื่อที่จะชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ มาเห็นความงดงามของการมีชีวิตอยู่
แล้วก็ตายไป แต่คนส่วนมากไม่มีโอกาสได้รู้สึกแบบนั้น
เพราะว่าเราสร้างระบบสังคมขึ้นมาเพื่อให้คนเบี่ยงเบนความสนใจไปสู่สิ่งอื่น
ไปสู่เรื่องของการมีเงิน มีความมั่นคง อย่างผมรู้สึกว่าผมเกิดมาชื่นชมความงดงามของการมีชีวิตอยู่
ชื่นชมการเห็นชีวิต เกิดขึ้น ดำรงอยู่ แล้วก็ดับไป มันเป็นความงดงามอย่างยิ่ง
แล้วก็เป็นขั้นตอนที่เราได้เผชิญกับอะไรมากมาย แล้วการฝ่าฟันเพื่อที่จะเข้าใจตัวเองเนี่ย
มันเป็นขั้นตอนที่สนุกสนาน ท้าทายดีมากเลย

www.punpunthailand.org

“คนเราเกิดมาเพื่อที่จะชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ มาเห็นความงดงามของการมีชีวิตอยู่ แล้วก็ตายไป แต่คนส่วนมากไม่มีโอกาสได้รู้สึกแบบนั้น เพราะว่าเราสร้างระบบสังคมขึ้นมาเพื่อให้คนเบี่ยงเบนความสนใจไปสู่สิ่งอื่น ไปสู่เรื่องของการมีเงิน มีความมั่นคง”

คลิกอ่านบทสัมภาษณ์ตอนอื่นๆ ได้ที่นี่

ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 3

(จากคอลัมน์ a day with a view – a day 109 กันยายน 2552)

ภาพ ธาตรี แสงมีอานุภาพ

AUTHOR