โจน จันใด : ชายผู้ชวนทุกคนกลับมาใช้ชีวิตอย่างที่มนุษย์ควรจะเป็น 3/4

คนที่มาเข้าคอร์สฝึกงานที่นี่เป็นใครกันบ้าง

เป็นคนจากต่างประเทศ เรารับนักฝึกงานปีละครั้ง
ครั้งละสิบกว่าคน ใช้เวลา 2 เดือนครึ่ง เขาต้องเสียเงินคนละ 1,400 ดอลลาร์
เป็นรายได้หลักของที่นี่ เพราะนอกจากนี้เราก็ไม่มีรายได้อะไร ถ้าเขามาเที่ยวเองเขาจ่ายแพงกว่านี้เยอะ
แต่นี่เขาอยู่ที่นี่ กินที่นี่ เรียนเกษตร เรียนทุกอย่าง
ถ้าไปฝึกทำบ้านดินในสหรัฐฯ แค่ทำม้านั่งก็ต้องเสียวันละ 200 – 400 ดอลลาร์แล้ว
แถมยังต้องไปเช่าบ้านอยู่อีก แล้วการเรียนเรื่องบ้านดินในสหรัฐฯ เขาไม่มีเสรีภาพที่จะเรียนได้มากเหมือนที่นี่
เพราะกฎหมายของเขาอนุญาตให้สร้างใหญ่ไม่ได้ อย่างมากก็ทำเตาอบขนมปัง ทำม้านั่ง
แต่ที่นี่ทำบ้านเป็นหลังเลย ได้เรียนรู้มากกว่า แล้วก็เรียนเรื่องเกษตร สุขภาพ
การดูแลรักษาตัวเองโดยวิธีพื้นบ้าน

คนที่มามีทุกอาชีพเลย บางคนเป็นสถาปนิก
บางคนเป็นนักเขียน บางคนเป็นผู้พิพากษา บางคนตกงาน บางคนเพิ่งเรียนจบ พวกเขาไม่ชอบวิถีชีวิตที่เป็นอยู่
แต่ไม่รู้จะหนีไปไหน พอเห็นเว็บไซต์ของเราก็เลยอยากมาลองดู
มาแล้วก็เปลี่ยนชีวิตเลย หลายคนก็อยู่ต่อนะ เราก็ไม่ได้คิดเงินเพิ่ม
บางคนอยู่มาปีนึงแล้ว เราเก็บเงินเฉพาะคนจากประเทศที่พัฒนาแล้ว คนในเอเชียมาฟรีหมด
คนไทยก็ฟรี กินฟรีอยู่ฟรี มาอยู่นานแค่ไหนก็ได้ มาใช้แรงงานทำงาน
ช่วงที่ทำงานก็คือช่วงที่ได้เรียน

คนไทยมาเยอะไหม

น้อย มันเป็นเรื่องของทัศนคติ
คนไทยรู้สึกว่าเกษตรเป็นงานที่ต่ำต้อย คนไทยที่มาส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง
ไม่ใช่เกษตรกร ชาวนาเขาอยากจะหนีจากการเป็นชาวนา แต่ผมก็ยังจัดอบรมกับชาวบ้านอยู่เรื่อยๆ
อย่างเด็กนักเรียนนี่ยิ่งไปกันใหญ่ ไม่อยากจะแตะดินเลย
ถ้าโรงเรียนบอกว่าจะเอาเด็กมาทำบ้านดิน มาทำสวน พ่อแม่จะบอกว่าทำไปทำไม
พ่อแม่รุ่นใหม่เป็นปัญหาหลักเลย ไม่อยากให้ลูกมาตากแดด กลัวลูกดำแล้วจะขายไม่ออก
มองว่าต้องสอนลูกเป็นเจ้าเป็นนาย ไม่ใช่สอนให้เป็นเกษตรกร
มันเป็นค่านิยมที่ดูถูกการทำงานแบบนี้ว่ามันต่ำ
เด็กที่มาเลยมีแต่จากโรงเรียนนานาชาติ
โรงเรียนนานาชาติในเชียงใหม่แทบทุกแห่งมาที่นี่ แต่โรงเรียนธรรมดาไม่มีใครอยากมา
เด็กๆ ก็สนุกกันจนไม่อยากกลับ

คนที่มาอีกส่วนคือคนเมืองที่มีเงินเยอะแล้ว
หลายคนอยากกลับมาอยู่สภาพแบบนี้ เพราะไปทางโน้นมันไม่มีเป้าหมายอะไร
มันอ้างว้างเหลือเกิน เขาก็อยากให้ลูกกลับมา ในต่างประเทศมีแบบนี้มากขึ้น
เพื่อนที่อิตาลีเคยเล่าให้ฟังว่า
โรงเรียนของลูกเขาเริ่มให้เอาคอมพิวเตอร์ออกจากโรงเรียนแล้วให้เด็กปลูกผัก
เลี้ยงวัว คนที่ไปถึงจุดสูงสุดแล้วยังต้องกลับมา แต่คนที่ยังไปไม่ถึงไหน
ก็ยังอยากกระเสือกกระสนไปต่อ มันเป็นความไม่เท่าเทียมกันทางข้อมูลข่าวสาร
คนไม่มีเงินก็อยากมี คนมีแล้วก็เริ่มเบื่อ เพราะชีวิตไม่มีความหมายอะไรเลย

คนที่มาสนใจเรื่องอะไรมากที่สุด

การเกษตรกับทำบ้าน แต่คนไทยสนใจการทำบ้านเป็นหลัก
ฝรั่งเขาชอบมากที่ได้ขุดดิน ปลูกผัก เพราะชีวิตเขาไม่ได้ขุดดินเลย
เขาก็รู้สึกทึ่งแนวความคิดที่ได้กลับไปทำให้เขากลายเป็นอีกคนหนึ่ง
เขาจะลดการใช้ขยะ ลดการบริโภคลง บางคนก็อาจจะกินอาหารปลอดสารพิษมากขึ้น
บางคนก็อาจจะเริ่มทำสวนเล็กๆ ของตัวเอง บางคนก็ลาออกจากงานไปอยู่ที่ลาว
ไปชวนชาวบ้านที่ลาวทำบ้านดิน ทำสวนเกษตรอินทรีย์ อีกคนไปทำอะไรคล้ายๆ
แบบนี้ที่ติมอร์ตะวันออก ทำให้เห็นว่ามันเปลี่ยนคนได้เหมือนกัน ไม่ใช่น้อยๆ ด้วย
บางคนก็กลับไปสู่ระบบ แต่ก็มีอะไรบางอย่างในชีวิตเปลี่ยนแปลงไป
แล้วก็เชื่อมโยงกันได้ เขารู้ว่าเขาไม่ได้เหงา โลกนี้ยังกว้างสำหรับพวกเขาอยู่
คนเดินทางเขารู้กันหมดแหละ คนที่มาที่นี่เขาก็ต้องเคย ไปออร่าวิลล์ที่อินเดีย
สวนนั้นสวนนี้ ชุมชนนั้นชุมชนนี้มาก่อน
รู้จักกันหมดที่อินเดียเขาก็รู้จักเราโดยที่ไม่เคยคุยกันเลย
เพียงแต่คนที่ไปเขาพูดถึงเรา มันเป็นสังคมอีกแบบหนึ่ง เป็นชุมชนแบบใหม่
เหมือนคนที่เวียนกันไปเวียนกันมาก็รู้จักกันโดยอัตโนมัติไปทั่วโลก
มันเลยเป็นอีกโลกหนึ่งที่ไม่ได้เหงาเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนนี้ โอ๊ย เหงา เหมือนโลกนี้มีคนเดียว
คุยกับใครไม่ได้ เหงามาก ทุกวันนี้สบายแล้ว

จากยามในกรุงเทพฯ ที่ไม่กล้าคุยกับใคร
เพราะอายสำเนียงของตัวเอง คนที่คิดว่าไม่มีทางหางานดีๆ ทำได้ คนที่ใครๆ
ก็มองว่าเป็นคนบ้า กลายมาเป็นผู้นำทางความคิดระดับโลก
คุณมองการเปลี่ยนแปลงของตัวเองยังไง

ธรรมดา ไม่มีอะไรในชีวิตเปลี่ยนแปลงไปเลย
คนรู้จักก็คือคนรู้จัก ก็เหมือนกับคนในหมู่บ้านที่รู้จักผม ไม่พิเศษไปกว่ากัน
แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้ผมต้องระวังตัวมากขึ้น
การเป็นคนที่มีคนรู้จักทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น ชื่อเสียงเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ ฉะนั้น ผมเลยไม่คิดว่ามันคือชื่อเสียง ผมก็อยู่ของผมอย่างนี้
คนจะรู้จักผม ก็เป็นเรื่องของคนอื่น
ไม่ใช่เรื่องของผม คิดอย่างนี้ก็สบาย ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องระวังตัว
ไม่ต้องกลัวว่าจะทำอะไรไม่ดี

ทุกวันนี้คุณเดินทางบ่อยแค่ไหน

หลักๆ คือไปอเมริกาปีละครั้งประมาณ 2 เดือน
เพื่อไปเยี่ยมครอบครัวของแฟน ที่นั่นผมก็เปิดคอร์สสอนทำบ้านดิน
เพื่อหาเงินค่าตั๋วเครื่องบิน ทุกวันนี้ผมไม่อยากไปเที่ยวไหนแล้ว ผมรู้สึกอิ่มแล้ว
ไม่ว่าจะไปที่ไหน ประเทศรวยประเทศจนมันก็มีเหมือนกันหมดทุกที่ มีดิน มีน้ำ มีคน
เหมือนกัน มีความโหดร้าย มีความโลภ เหมือนกันหมด ถ้าไม่มีธุระจำเป็นต้องไป
หรือไปทำงาน ผมก็จะไม่เดินทางเพื่อเที่ยวอย่างเดียวแล้ว
คนที่ยังไม่ได้เที่ยวก็อาจมีความจำเป็นต้องเที่ยว
แต่คนที่เที่ยวมาพอสมควรแล้วมันต้องหยุด ถ้าเที่ยวไปเรื่อยๆ ไม่หยุด มันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหมือนอ่านหนังสือเป็นพันๆ เล่ม อ่านไปเรื่อยๆ ไม่หยุด สนุกสนานเพลิดเพลิน
แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิต จนกว่าเราจะได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง

คุณรู้สึกอิ่มกับการเดินทางเมื่อไหร่

ตอนที่ผมไปอยู่อเมริกา 2 ปีกับแฟน
เสียค่าเครื่องบินมาแล้ว ก่อนกลับก็ขอเที่ยวซะหน่อย ผมไม่เคยฟังเพลงมานานมากแล้ว
แต่ผมชอบขลุ่ยอินเดียนแดงมาก ก็เลยอยากไปดูถิ่นกำเนิดของมัน
ผมอยากรู้ว่าทำไมเสียงขลุ่ยถึงลึกซึ้ง สงบ ฟังแล้วจินตนาการไปได้กว้างไกลอย่างไม่น่าเชื่อ
ก็ไปซื้อจักรยานเก่าๆ คันละ 9 ดอลลาร์มา 2 คัน
เป็นจักรยานทรงแม่บ้านเลยมีตะกร้าข้างหน้า แต่มีเกียร์ คนอื่นเขาขี่กันคันละสามสี่พันดอลลาร์
ของเรามีแค่นี้ก็ไปได้ คนเห็นแล้วก็หัวเราะขนของไปเต็มสองข้างรถ
มีเต็นท์ผ้าใบ อาหาร และน้ำ น้ำเป็นเรื่องที่มีปัญหามากที่สุดเพราะเป็นเขตทะเลทราย
ขี่กันอยู่เดือนนึง วันนึงเราเดินทางประมาณ 60 – 100ไมล์
บางทีขี่ 2 วันยังไม่เจอบ้านคนเลยในแผนที่บอกว่าจะมีหมู่บ้านข้างหน้า
แต่ไปถึงเป็นเมืองร้าง บางครั้งแฟนผมร้องไห้เลย เพราะมันสิ้นหวังมาก ต้องโบกรถเพื่อขอน้ำเขา

ในระหว่างทางเคยถามตัวเองไหมว่ามาทรมานตัวเองที่นี่ทำไม

ไม่ค่อยได้ถาม เพราะตอนอยู่เมืองไทยผมก็ปั่นจักรยานอยู่บ้าง
ผมชอบทำอะไรที่ไม่มีเหตุผล ชอบเดินทางไปเรื่อยๆ เพื่อเผชิญกับสิ่งที่เป็นปัญหา
ถ้าเรารู้ว่าต้องไปบ้านคนนี้มันก็มีความหวัง แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปทำอะไร
เราจะไม่มีความหวังเลย เป็นความอ้างว้างว่างเปล่าที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เราจะหิวไหม จะเป็นอะไรไหม จะตายไหม ตรงนั้นทำให้เกิดการเผชิญกับปัญหา
ทำให้เกิดการเรียนรู้มาก

คุณเห็นอะไรที่ปลายทาง

ผมรู้สึกถึงกับภูมิประเทศ
เพลิดเพลินกับบรรยากาศที่นั่นมาก ทุกอย่างมันแปลกเหมือนอยู่คนละโลก
มีแต่หินใหญ่โตมโหฬาร ก้อนหนึ่งใหญ่กว่าหมู่บ้านอีก ถ่ายรูปออกมาให้สวยไม่ได้เลย
เพราะมันใหญ่มาก มองไปทางไหนก็เห็นแต่ภูเขาสุดลูกหูลูกตา
เพราะที่เขากว้างอย่างนี้นี่เอง คนอินเดียนแดงเลยมีความคิดที่กว้าง ลึกซึ้ง
แล้วก็ยิ่งใหญ่มาก

แล้วก็มีที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งเป็นบ้านดินต้องเสียเงินเข้าไป
ดูข้างในมันเย็นสบายมาก บริเวณที่ผมขี่จักรยานไปเนี่ยเป็นเขตทะเลทรายร้อนมาก
คิดถึงบ้านที่ยโสธรเลย แต่พอเข้าไปข้างในบ้านดินมันเย็น
ก็คิดว่าถ้ามีบ้านเย็นๆ แบบนี้อยู่คงดี บางหลังก็เป็นซากปรักหักพัง
ผมก็เห็นว่ามันมีก้อนอิฐ ในอิฐมีเศษหญ้านิดหน่อย แล้วก็มีดินเชื่อมติดกัน
เห็นแค่นี้ก็จบ คิดว่ากลับมาน่าจะทำได้ เพราะไม่ซับซ้อน กลับมาผมก็ทำเลย ก็ได้เลย
ง่ายมาก

คุณได้อะไรจากการใช้ชีวิต 2 ปีในอเมริกาบ้าง

ผมได้หลักๆ สองอย่าง คือ บ้านดินกับความมั่นใจ 100%
ว่าสิ่งที่เราทำนะถูกที่สุด สังคมอเมริกา คือสังคมที่บริโภคนิยมสุดโต่ง
สังคมไทยก็พยายามจะเป็นแบบนั้น
แต่พอไปอยู่ที่นั่นแล้วกลับพบว่าเราอยู่ได้โดยไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นเลย
ผมเช่าที่ 6
x 6 เมตร ปลูกผักรดด้วยฉี่กับน้ำ ไม่เคยใส่ปุ๋ยอะไรเลย ผักก็งาม เลี้ยงคน
4 คนได้สบาย

คุณมองประเทศที่พัฒนาแล้วว่ายังไง

ประเทศไหนที่เจริญแล้ว
ถือว่าเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนา มันทำให้ชีวิตยากขึ้น
ทำให้คนไม่มีความสุข มีเสรีภาพอย่างเดียวคือเสรีภาพในการแข่งขันหาเงิน
แต่เลือกที่จะมีความสุขไม่ได้ แค่จะทำส้วมเราต้องไปขออนุญาตกี่ที่ต่อกี่ที่
เขาบังคับให้เราซื้อผลิตภัณฑ์จากบริษัทนี้ ไม่งั้นก็ไม่ผ่าน ที่สหรัฐฯ
จะทำโรงเก็บเครื่องมือยังต้องขออนุญาตเลย จะปลูกผักปลูกอะไรมันยากหมด
ทำไมต้องทำให้ยากขนาดนั้น บ้านเราไม่เคยมีอะไรยากเลย
ผมไม่เคยชื่นชมประเทศที่พัฒนาแล้วเลย

คุณเชื่อในวิถีตะวันออกมากกว่า

ไม่ใช่วิถีตะวันออก แต่เป็นวิถีเก่าแก่ทั่วโลก
มันเป็นวิถีที่ยั่งยืนที่สุดที่คนอยู่ได้มาหลายพันปี แต่พอเรามาเปลี่ยนเป็นวิถีตะวันตก
หรือวิถีบริโภคนิยม แค่ไม่ถึง 50 ปี เราแทบไม่เหลืออะไรเลย
จากที่เคยทำงานแค่ปีละ 2 เดือน ต้องทำงานวันละ 8
ชั่วโมงตลอดทั้งปีทั้งชาติ แล้วเราพัฒนาไปเพื่ออะไร เพื่อให้ชีวิตยากขึ้น
ทำงานมากขึ้น เป็นทุกข์มากขึ้น สมัยก่อนหรือวิธีตะวันออก เขาพัฒนาไปเพื่อความสุข
เพื่อความง่าย ทุกอย่างคิดขึ้นมาเพื่อให้ชีวิตมันง่าย

ตอนนี้ทุกคนอยากมีรถสักคันหนึ่งเพื่อที่จะไปให้เร็วที่สุด
ก็เพื่อรีบไปทำงานใช่ไหม จะได้ทำงานได้มากกว่าคนอื่น
วิธีแบบนี้มันไม่ใช่ทางที่ผมอยากจะเป็น ความง่ายคือ การเดิน หรือการขี่จักรยาน
อาจจะเร็วกว่าขับรถ กว่าจะได้รถมาเราต้องทำงานกี่ปีเพื่อซื้อรถ
ผมเดินไปตลาดในหมู่บ้านขับรถอาจจะใช้เวลาเร็วกว่าเดินนิดนึง
แต่กว่าจะได้รถมาเราต้องทำงานมากขึ้นเท่าไร
เพราะไม่ได้คิดคำนวณเวลาที่เราเสียไปกับการหาเงินซื้อรถเลย
ถ้าเราคิดตรงนั้นจะพบว่าเทคโนโลยีทำให้เราช้าลง วิธีที่เราพัฒนาทำให้เราช้าลง
ไม่ได้ทำให้เราดีขึ้น

ผมก็เลยเชื่อในวิถีเก่า วิถีเก่ามันดีอยู่แล้ว
ขาดอย่างเดียวเรื่องสุขอนามัย ถ้าเราต่อยอดจากของเก่าเพื่อให้มันดีขึ้น
จะทำให้ชีวิตเราสะดวกขึ้น แต่ตอนนี้เราทิ้งของเก่า แล้วกระโดดไปสู่บริโภคนิยม
หรือระบบอุตสาหกรรม โดยที่เราไม่มีฐานไม่มีอะไรเลย เราก็เข้าไปเป็นทาสในระบบทันที
แล้วก็ไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรเลยจากมัน มองดูสิความเจริญก้าวหน้าทั้งหลาย
ในปัจจุบันใครได้ประโยชน์จากความเจริญนี้
คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือคนที่ทุกข์ที่สุด ไม่มีเวลาว่างเลย

ทุกวันนี้ความสุขของคุณคืออะไร

ทุกวันนี้ผมไม่ได้คิดถึงความสุขนะ
คนอื่นอาจจะแสวงหาความสุข แต่ผมไม่ได้สนใจความสุขสักเท่าไหร่
ความสุขกับความทุกข์มันอันเดียวกัน เหมือนเหรียญ
เราจะเลือกเอาด้านหัวด้านเดียวไม่ได้ มันต้องมีด้านก้อยติดมาด้วย
ถ้าเราต้องการความสุขเราจะปฏิเสธความทุกข์ไม่ได้ เพราะมันมาด้วยกัน
ความสุขกับความทุกข์มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นกับชีวิตคนเลย มันมาแล้วก็ไป
สนใจไม่สนใจมันก็มาแล้วก็ไป ถ้าเราวิ่งตามความสุข
หักความทุกข์ ชีวิตเราก็จะไม่ได้ทำอะไรเลย เราจะวิ่งอยู่อย่างนั้นแหละ
ความสุขที่เราพูดถึงหรือที่คนทั่วๆ ไปหมายถึง ก็คือความพอใจ
มันเป็นเรื่องของอารมณ์ของความรู้สึก ถ้ามีอะไรถูกใจก็รู้สึกว่าเป็นสุข
ได้เพื่อนสวยๆ ได้งานดีๆ ได้พักผ่อน นั่นคือเรารู้สึกเป็นสุข นั่นคือความหมายของคำว่าความสุขของชาวบ้าน แต่สิ่งที่เราได้มาไม่มีอะไรที่อยู่นาน แป๊บเดียวมันก็ไป
ซื้อรถสวยๆ มาเราดีใจ ภูมิใจ ตื่นเต้นกับมันไม่นานหรอก ความภูมิใจทั้งหลายก็จะลดลง
เป็นเรื่องธรรมดา พอความพอใจลดลง เราก็อยากได้อย่างอื่นต่อ เราก็จะวิ่งๆๆๆๆ
โดยที่ไม่รู้ว่าวิ่งไปไหน เราไม่เคยได้อะไร ชีวิตของเราเกิดมาสั้นมาก
ถ้าเราจะมาวิ่งตามหาความฝัน แค่นี้เราจะไม่ได้ชื่นชมความพอใจจากอะไรที่งดงามไปกว่านั้นเลย
เดี๋ยวมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าในชีวิตเรา
ซึ่งเราไม่สามารถที่จะรู้มันได้ ถ้าเรายังวิ่งตามความพอใจของเราอยู่

ถ้าไม่สนใจความทุกข์ความสุข แล้วสนใจอะไร

ความเข้าใจในชีวิต ความเข้าใจในตัวเอง
ผมเห็นว่ามันมีความตื่นเต้น มีความเพลิดเพลิน มากกว่ามีความสุข
ถ้าได้งานนี้คงเป็นสุขมาก พอได้งานผมก็จะไม่สุข มันก็จะอยากได้อย่างอื่นไปเรื่อยๆ
แต่ความเข้าใจเป็นคนละเรื่องเลย แต่ก่อนผมกลัวผี แต่พอผมเข้าใจว่าผีไม่มี
ความกลัวผีมันหายไป มันเปลี่ยนชีวิตผมทั้งชีวิตเลย แล้วผมก็ยินดีกับความเข้าใจนี้ตลอดมา
มันไม่เคยหายไปไหน ความเข้าใจอย่างนี้ผมถือว่าสำคัญมาก

ผมกลับไปอยู่บ้านใหม่ๆ
ผมเกี่ยวข้าวแล้วปวดหลังมาก ร้อนมาก ใจหนึ่งก็บอกว่าต้องหยุด ต้องพัก ต้องอดทน
อยู่ต่อเดี๋ยวเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่พอผมตัดสินใจว่า
ถ้าทนต่อไปอีกสักหน่อยมันจะเป็นอะไร เอาใจจดจ่ออยู่กับมือที่กำข้าว
แล้วก็เอาเคียวตัด ทำไปสักพักหนึ่ง ปรากฏว่าความร้อนหายไป ปวดหลังหายไป
โดยที่ไม่ได้หยุดพัก ผมรู้สึกถึงในการค้นพบนี้
มันมีอีกมิติหนึ่งอยู่ใกล้ๆ เรานี่เอง ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ได้สัมผัสมัน
เพราะเราไม่อดทนพอ การอดทน หรือการฝืน
ทำอะไรที่ผิดกับความรู้สึกที่เราต้องการแค่นิดเดียวเท่านั้น
เราจะได้เห็นอีกมิติหนึ่งของชีวิต เหมือนนั่งอ่านหนังสือแล้วง่วงนอนมาก
ธรรมดาทั่วๆ ไปก็จะไปนอน ผมคิดว่าถ้าฝืนต่อไปอีกนิดนึงจะเป็นยังไง สักพักไม่ถึง 3 นาที
มันก็สว่างจากขึ้นมา เหมือนเพิ่งนอนตื่น มันมีมิติอย่างนี้อยู่ในชีวิตคนเรา
แต่จะมีกี่คนที่ค้นพบมันได้ เพราะเราไม่เคยฝืน เพราะเราตามตลอด
เราแสวงหาความสุขตลอด เราตามอารมณ์ เราไม่ชอบง่วงนอน เราก็ไปนอน เพราะเป็นสุขกว่า
ถ้าเราฝืน เราจะเห็นอีกภาพหนึ่งที่ต่างกันไป

ความเข้าใจเหล่านี้สำคัญมาก
เป็นความเข้าใจที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตมันงดงามมาก มีความหลากหลาย
มีอะไรที่มหัศจรรย์ให้เราได้ชื่นชมตลอด ความปีติยินดีตรงนี้มันอยู่กับเรานานมาก
แล้วไม่เคยจางไป
ความรู้สึกนี้มีค่ากว่าความสุข เพราะว่าความสุขนี้มันได้มาโดยไม่ยาก
แต่ความสุขทางอารมณ์ที่เราแสวงหาทุกวันนี้มันได้มาอย่างยากลำบากมาก
ต้องสละเวลาอันมีค่าของชีวิตไปทำงานหนัก 5 ปี 10 ปี
อดออมเก็บเงินเพื่อที่จะซื้อรถคันเดียว เพื่อจะได้รู้สึกโก้ เท่ แต่จริงๆ
แล้วมันเป็นแค่ความรู้สึกที่เราสร้างขึ้นมาเอง ว่าการนั่งรถเก๋งสวยๆ มันคือความเท่
แต่จริงๆ แล้วมันไม่ต่างจากนั่งเกวียนหรือเดิน สังคมก็ช่วยสร้างภาพให้เราเห็นว่ามันคือความเท่ นี่คือความยิ่งใหญ่ แต่จริงๆ แล้ว มันไม่มีอะไร มันคือความโง่ต่างหาก
ความเข้าใจอย่างนี้มันทำให้เราใช้ชีวิตในทางที่มันมีเหตุมีผลมากขึ้น
ชีวิตเราก็ง่ายขึ้น เพราะเราไม่มีวันที่จะไปตามแฟชั่นอีกเลย
ค่านิยมไม่มีความหมายในชีวิตอีก มันจะทำให้ชีวิตเบาขึ้นๆ เป็นลำดับ
ผมก็เลยไม่สนใจที่จะแสวงหาความสุขเหมือนคนทั่วไป

“ความสุขกับความทุกข์มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นกับชีวิตคนเลย มันมาแล้วก็ไป สนใจไม่สนใจมันก็มาแล้วก็ไป ถ้าเราวิ่งตามความสุข ผลักความทุกข์ ชีวิตเราก็จะไม่ได้ทำอะไรเลย เราจะวิ่งอยู่อย่างนั้นแหละ”

คลิกอ่านบทสัมภาษณ์ตอนอื่นๆ ได้ที่นี่

ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 4

(จากคอลัมน์ a day with a view – a day 109 กันยายน 2552)

ภาพ ธาตรี แสงมีอานุภาพ

AUTHOR