ปีนี้สอนให้รู้ว่า “ก็ดี ต่อให้ไม่ดี ผ่านไปเดี๋ยวมันก็ดี”– ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์

Highlights

  • ปีนี้เป็นอีกปีที่ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ มีผลงานทั้งในจอแก้วและจอเงิน เขายังคงอยู่ในสปอตไลต์และเป็นที่พูดถึงในสังคม ไม่ได้หายหน้าหายตาไปไหน
  • แม้จะดูเหมือนเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จ กับชีวิตในปีนี้ซันนี่ก็ยังลงความเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติ ปีนี้ยังคงเป็นเรื่องดี และเขายังเลือกอะไรก็ตามในชีวิตด้วยความรู้สึก พร้อมกับมองเหตุการณ์ในชีวิตของตัวเองในแง่ดีเสมอ
  • เหนืออื่นใด ซันนี่ลงความเห็นว่าแนวความคิดทั้งหมดนี้ใช้ได้เป็นคนๆ ไป ชีวิตใครชีวิตมัน ขอแค่เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไรก็พอ

ไม่ต้องจับผิดกันมาก แต่หลังจากคุยกันไม่กี่นาทีเราก็รับรู้ได้ว่า ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ มีคำพูดติดปากที่เขามักใช้

“แค่นั้นเองครับ”

“มันก็แค่นั้นแหละครับ”

“มันง่ายๆ อย่างนั้นแหละครับ”

ประโยคเหล่านี้มักตบท้ายคำตอบของเขาอยู่เสมอ

หากมองจากสายตาคนนอก ปีที่ผ่านมาเป็นอีกหนึ่งปีที่ซันนี่เป็นที่พูดถึงในวงกว้างเรื่องการเป็นนักแสดง

บทบาท ‘หมอเป้ง’ ในซีรีส์ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน ส่งให้เขามาอยู่ในสปอตไลต์และถูกพูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง ภาพยนตร์อีกเรื่องที่กำลังจะเข้าฉายอย่าง ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ ก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานว่าภายใต้วัยใกล้สี่สิบ ปีนี้ยังเป็นขวบปีที่ซันนี่มีผลงานต่อเนื่องและยืนระยะในวงการ ไม่ได้หายไปไหน

แต่ถ้ามองด้วยสายตาของเขาเอง กับหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในปีนี้ซันนี่รู้สึกยังไงบ้าง–นี่คือสิ่งที่พาเรามาเจอเขาเพื่อสนทนากันในวันโปรโมตภาพยนตร์เรื่องใหม่

เป็นที่รู้กันว่าการสัมภาษณ์ซันนี่ไม่ได้เต็มไปด้วยคำคมหรือคำเปรียบเปรยพรรณนายืดยาวใดๆ ไม่ว่าจะกับตอนนี้หรือก่อนหน้า คำตอบของเขามักเป็นการสรุปความคิดรวบสั้นกระชับความ ผสมกับความกวนชวนขัน 

ว่ากันว่าเรื่องที่เราเข้าใจอย่างถ่องแท้เราจะอธิบายมันออกมาได้เรียบง่ายที่สุด และใช่ บทสัมภาษณ์นี้ก็เป็นแบบนั้น นั่นคือบทสัมภาษณ์ที่มีเพียงคำพูดเรียบง่ายของซันนี่ แค่นั้น

แต่พอฟังคำตอบ เราก็ค้นพบว่าเพราะความ ‘แค่นั้น’ ของเขานี่เองที่ทำให้ปีนี้ยังคงเป็นปีที่ดีและดูแล้วน่าจะดีต่อไปได้อีกนานแน่ๆ

แต่ดียังไงน่ะเหรอ ถ้าอยากรู้ก็ไปฟังเขาพร้อมกัน

แค่นั้นเอง

หนังที่กำลังเข้าฉายของคุณว่าด้วยเรื่องการทิ้ง การจัดบ้าน ช่วงนี้คุณได้ทำอะไรแบบนั้นบ้างไหม

บังเอิญมากเลย ตอนนี้ผมกำลังจะย้ายบ้านพอดี บ้านผมกำลังรกมาก มีของกองอยู่เต็มที่รอให้ผมไปดูว่าจะทิ้งหรือเก็บไว้ดี

 

มองการทิ้งของว่ายังไงบ้าง

สิ่งของทำให้รู้สึกถึงความทรงจำครับ เพราะของแต่ละอย่างมันมีเจ้าของ สิ่งของเชื่อมโยงถึงคน และคนจะเชื่อมกับความเป็นมนุษย์และความสัมพันธ์ ซึ่งบางทีถ้าของชิ้นหนึ่งหายไป ความทรงจำบางอย่างของเราอาจหายไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้

 

คุณทิ้งของง่ายไหม

ผมดันเป็นคนที่ทำอะไรตามความรู้สึก ดังนั้นส่วนมากผมจะเก็บมากกว่า เวลาซื้อของแต่ละอย่างผมไม่เคยซื้อเพราะประโยชน์ของมันเลย ผมซื้อเพราะชอบ ดังนั้นพอมาเจออีกที ความชอบก็มักจะยังอยู่ ผมเลยไม่กล้าทิ้ง เอาไปบริจาคยังไม่กล้าเลย

 

สรุปรกเท่าเดิม

นั่นสิ ผมก็คิดอยู่ (หัวเราะ)

ปีนี้เป็นยังไงบ้าง ‘Happy Old Year’ เหมือนชื่อหนังภาษาอังกฤษของ ฮาวทูทิ้งฯ ไหม

จริงๆ คนเราไม่น่าพูดว่า ‘Happy New Year ทิ้งเรื่องราวเก่าไว้กับปีเก่า’ เท่าไหร่ผมว่า เรื่องราวเก่าๆ ที่เราทิ้งอาจจะดีก็ได้ไง ทำไมต้องคิดว่าปีใหม่คือเรื่องใหม่เท่านั้น อะ แต่กลับมาตอบคำถาม ปีนี้ของผมก็ปกติ (คิด) ผมโชคดีที่ได้ทำสิ่งที่รักอยู่แล้ว นั่นคือการแสดง แต่ปีนี้ก็อาจจะแอบหนีเที่ยวได้น้อยลงหน่อย เพราะได้เล่นทั้งซีรีส์และภาพยนตร์

 

รับงานมากขึ้น

ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยว่านี่คือการรับงานเยอะหรือน้อย มันแล้วแต่ว่าตอนนั้นมีเรื่องไหนเข้ามาแล้วอยากทำ คือแล้วแต่โชคชะตา ไม่ได้คิดว่าตัวเองต้องมีแบบแผน ผมเป็นแบบนี้มาตลอด

 

แบบนี้เคยเจอปัญหาเรื่อง work-life balance หรือเปล่า

ในชีวิตผมเรื่องงานกับเรื่องเที่ยวเป็นเรื่องเดียวกันอยู่แล้ว ดังนั้นผมเลยไม่รู้ว่าตัวเองมีการบาลานซ์ตรงนี้หรือเปล่า อย่างที่บอกว่าทุกอย่างผมทำตามความรู้สึกไม่ว่าจะเที่ยวหรืองาน ดังนั้นสุดท้ายแล้วมันเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะผมอยากทำเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าทำงานเหนื่อยแล้วต้องหนีไปพักผ่อน ไม่ใช่ ผมทำเพราะอยากทำ ในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี แต่ละโมเมนต์ ผมก็แค่เลือกว่าอยากทำอะไรบ้าง

 

เหมือนการทำงานก็คือการพักผ่อนอย่างหนึ่ง

ใช่ๆ และพอเราอยากทำเราจะไม่รู้สึกว่ามันเหนื่อย เอาจริง สำหรับผมการมาโปรโมตหนังแบบนี้ยังเหนื่อยกว่าการแสดงอีก (หัวเราะ) การแสดงคือความสุขของผมน่ะครับ แต่สุขอื่นๆ ในชีวิตก็ยังมีนะ เจอเพื่อน ดูหนัง เที่ยวต่างประเทศคนเดียว หรือไปเดินจตุจักร จะว่าไปช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปเลย นี่ว่าอาทิตย์หน้าจะไป อย่าบอกใครนะ 

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณใช้ชีวิตโดยใช้ความรู้สึกนำเป็นหลัก

ผมใช้ความรู้สึกในทุกเรื่องของชีวิตเพราะมันจะไม่ผิดครับ

สำหรับผมเองเวลาคิดถึงข้อดี-ข้อเสียของสิ่งที่เลือกแล้ว ถ้าตอนจบพลาดผมจะโมโห ผมเลยใช้ความรู้สึกนำดีกว่า เพราะสุดท้ายถ้าเราอยากทำหรืออยากได้อะไรจริงๆ ผมเชื่อว่าต่อให้ผลออกมาไม่ดี ผมจะไม่เสียใจทีหลัง เพราะอย่างน้อยในช่วงเวลาที่เราเลือกเราฉลาดได้เท่านั้น เรารู้สึกแบบนั้น ดังนั้นต่อให้มีอีกสิบครั้ง ผมคงเลือกแบบเดิม

 

เช่นเดียวกับการเลือกเล่นภาพยนตร์ของคุณ

ใช่ครับ แต่อย่างเรื่องนี้เขาเลือกผมนะ ผมต้องไปแคสติ้ง ซึ่งสุดท้ายก็โชคดีที่เขาเลือก ผมได้ทำงานกับผู้กำกับอันเป็นที่รัก (นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์) สำหรับผมการทำงานกับเขาทำให้ผมพัฒนาตัวเองโดยไม่รู้ตัว ได้ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ มันตอบโจทย์การเป็นนักแสดงของผม นั่นคือการอยากอยู่ในภาพยนตร์ที่ดี ผมอยากเป็นส่วนประกอบของความรักและความตั้งใจที่จะทำหนัง

การทำหนังถ้าไม่ทุ่มเทหรือรักมันอยู่ไม่ได้นะครับ อย่างการเขียนบทก็เสียไป 2 ปี เท่ากับชีวิตคนเขียนหายไป 2 ขวบแล้วกว่าจะได้บทหนังมา ดังนั้นผมเลยรู้สึกว่าตัวเองต้องตั้งใจเหมือนกัน

 

มีความกังวลอยู่ไหมเวลารับงานแต่ละที

ไม่เลยครับ อาชีพนักแสดงของผมไม่ใช่นักกีฬา ผมไม่ต้องแข่งกับใคร ผมไม่ได้อยากประกวด และผมก็ไม่ได้แข่งขันเพื่อให้ใครมองว่าเก่ง ผมคิดแค่ว่ากำลังเล่นเป็นตัวละคร ผมต้องเชื่อในสิ่งที่ตัวละครเชื่อ รีแอกต์กับเหตุการณ์อย่างที่ตัวละครทำ และทั้งหมดนั่นต้องตรงกับสิ่งที่ผู้กำกับอยากจะสื่อ ก็แค่นั้นแหละครับ

หลายคนชอบบอกว่าในวัยใกล้สี่สิบมักมีการ coming of age คุณเป็นอย่างนั้นบ้างไหม

ผมไม่มีอะไรแบบนั้นเลยครับ ครั้งเดียวคือตอนอายุ 17-18 หลังจากนั้นผมถือว่าตัวเองกำลังเรียนรู้และสร้างวุฒิภาวะไปเรื่อยๆ เหมือนเข้าใจหลักการของชีวิตตัวเองและมันก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลย นั่นคือความเรียบง่าย หลังจากนั้นก็แค่พัฒนาตัวเองด้วยพื้นฐานของความดีและความถูกต้อง แค่นั้นเอง

 

ความดีและความถูกต้องของคุณเป็นแบบไหน

มันขึ้นอยู่กับทัศนคติของแต่ละคน สำหรับผมคือจริยธรรมนั่นแหละ สิ่งไหนที่ผมอยากได้แต่ถ้ามันทำให้คนอื่นเดือดร้อนผมก็ไม่ทำ อะไรไม่ดีไม่ควรผมก็ไม่ทำ หรือถ้าทำอะไรแล้วมีคนเสียใจผมก็ไม่ทำ ยกตัวอย่างเช่นวิธีหาเงิน โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าอาชีพของผมมันวิน-วิน ไม่มีใครเสีย คือคนจ้างงานได้งานที่ดี คนดูมีความสุข ผมได้เงินและมีความสุข ถ้าให้ไปทำอาชีพที่ผมได้แล้วมันจะมีคนเสียใจผมก็ไม่ทำ สำหรับผมมันง่ายๆ แค่นี้เองกับทั้งเรื่องงานและอย่างอื่นในชีวิต 

คนเรา make a choice ได้ครับ หรือไม่ผมก็อาจจะโชคดีมั้งที่ make a choice หรือถึงต่อให้ใครแย้งว่าไม่มีทางเลือก ผมก็คงไม่ไปแนะนำอะไรเขา นั่นคือชีวิตเขา เขาก็ต้องสู้ของเขา ผมเองก็ make a choice ในชีวิตของผม ต่อให้ชอยซ์นั้นผมจะถูกเอาเปรียบ ผมก็ไม่เป็นไรนะถ้ายังเห็นว่าทางที่ผมเลือกไม่ได้เดือดร้อนใคร

ดูเหมือนชีวิตคุณเปลี่ยนแปลงไปไม่มาก แล้วปีนี้สอนอะไรที่ต่างไปไหม

(คิด) ผมไม่ได้มองว่าปีนี้สอนอะไร ส่วนมากสิ่งที่สอนผมคือประสบการณ์มากกว่า 

ประสบการณ์หลายอย่างในชีวิตเข้ามาเพื่อให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น รู้อะไรมากขึ้น และประสบการณ์กับวัยวุฒิก็มักจะไปด้วยกัน ดังนั้นสำหรับผม ในแต่ละปีคืออะไรที่อยากทำจริงๆ ก็ทำไปเถอะ ไม่มีผิดหรอก

 

ไม่มีผิดเลยเหรอ

ชีวิตเป็นยังไงก็ได้น่ะครับ ไม่ว่าสิ่งที่เราเจอหรือทำ ต่อให้มีสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดเกิดขึ้นจนอาจจะต้องเสียใจ แต่พอเวลาผ่านไป สำหรับผมสิ่งใหม่ๆ ที่มาจะดีกว่าเรื่องราวเหล่านั้นเป็นสิบๆ เท่าเสมอเลย แค่เรายังไม่รู้ตัว

นี่ไม่ใช่การปลอบใจตัวเองด้วยนะ แต่เป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้ในชีวิต มันเป็นแบบนี้เสมอ สิ่งที่เราจะได้ในอนาคตมักดีกว่าแค่ยังมาไม่ถึง

 

มีตัวอย่างชัดเจนไหม

เต็มไปหมดเลย ยกตัวอย่างเรื่องงานก็ได้ สมมติผมไม่ได้ทำงานที่อยากทำ หลังจากนั้นอยู่ดีๆ ก็จะมีงานใหม่ที่รู้สึกว่า โห ถ้ารับงานก่อนหน้าไปนะเราจะไม่ได้ทำงานดีๆ แบบงานใหม่นี่แน่เลย ชีวิตผมเป็นแบบนั้นครับ แต่ว่าแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ผมคงไม่บอกหรอกว่าอะไรถูกต้องในเวลาไหนและสำหรับใคร

เหมือนคุณเชื่อในเรื่องจังหวะชีวิต…

ที่ไม่เท่ากัน (ตอบเสริมขึ้นมาทันที) ชีวิตไม่เหมือนการเรียนหนังสือที่ต้องทำตามแบบแผนเหมือนกันหมด ดังนั้นสูตรสำเร็จของผมก็อาจนำไปใช้กับคนอื่นไม่ได้ บางคนอาจเจอสิ่งที่อยากทำเร็วมาก บางคนไม่เจอเลยจนกระทั่งตาย มันมาวิเคราะห์กันไม่ได้ ดังนั้นชีวิตใครชีวิตมันครับ

จะซวยไม่ซวย จะดีไม่ดี จะเจอเรื่องอะไรมา เราก็ต้องผ่านมันไป จนถึงวันหนึ่งที่ประสบการณ์จะทำให้เราบอกตัวเองว่า เออ วันนี้ดีเหมือนกันเนอะ

 

ดูขัดกับเทรนด์ทุกวันนี้เหมือนกันนะที่ค่อนข้างตีกรอบว่าเราควรทำอะไรและอะไรคือสิ่งที่ดี

สำหรับผมคุณจะไปทางไหนก็แล้วแต่คุณ มันคือชีวิตคุณและชอยซ์ที่คุณเลือก

ทุกอย่างมีค่าหมดครับ จะทำอะไร อาชีพไหน ก็มีคุณค่า ถ้ามีคนไม่ชอบที่คุณทำก็แล้วไงล่ะ ไม่เกี่ยวหรอก เพราะถ้าคุณชอบในสิ่งที่คุณทำก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย มันอยู่ที่คุณเข้าใจตัวเองว่าต้องการอะไร บางสิ่งที่ไม่ต้องการจะเอามาทำไมล่ะ ไอ้อะไรแบบนั้นเกิดจากคนอื่นอยากให้คุณเป็นเหมือนเขาหรือเปล่า ก็ลอง make a choice ดู

 

แล้วโดยรวมปีนี้ถือเป็นปีที่ดีของคุณหรือเปล่า

(คิด) สำหรับผมมันดีทุกปีครับ ต่อให้รู้สึกไม่ดี แต่พอเวลาผ่านไปผมจะรู้สึกว่ามันดีอยู่ดี เพราะถ้าไม่มีปีนี้หรือปีก่อนหน้าผมก็จะมาเป็นแบบทุกวันนี้ไม่ได้ ผม appreciate มันแล้วน่ะ ต่อให้ย้อนกลับไปได้ก็ไม่อยากจะเปลี่ยนอะไร

ทุกวันนี้ดีแล้ว ตอนนี้ผมไม่ได้เสียดายอะไรแล้ว

 

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ชาคริต นิลศาสตร์

อดีตตากล้องนิตยสาร HAMBURGER /ค้นพบว่าตัวเองมีความสุขและสนุกทุกครั้งที่ได้ทำงานภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว