Won’t You Be My Neighbor? : ขอหนึ่งนาทีระลึกถึงคนใจดีที่ทำให้เราเป็นเรา

Highlights

  • Won't You Be My Neighbor? คือสารคดีขวัญใจนักวิจารณ์ในปี 2018 เจ้าของสกอร์ 97 เปอร์เซ็นต์บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ฝีมือ Morgan Neville ผู้กำกับสารคดีรางวัลออสการ์เรื่อง 20 Feet From Stardom
  • หากใครเคยประทับใจกับเรื่องราวของ Fred Rogers โฮสต์รายการเด็กชื่อดังผู้สอนเด็กๆ และทุกคนให้มองโลกในแง่ดีในหนังเรื่อง A Beautiful Day in the Neighborhood นี่คือสารคดีถ่ายทอดชีวิตของเขาที่มีทั้งสุข เศร้า ซึ้ง และรับรองว่าจะประทับใจไม่แพ้หนังที่ Tom Hanks รับบทเป็นเฟร็ดแน่นอน

Neighbor Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred Fred

“ตั้งแต่ตอนพวกคุณยังเด็ก มีคนที่ยิ้มจนทำให้คุณยิ้ม คนที่พูดจนทำให้คุณพูด ร้องเพลงจนคุณร้องเพลง รักคุณจนทำให้คุณรัก”

อ่านผ่านๆ ประโยคนี้ของ Fred Rogers อาจดูเป็นประโยคธรรมดา แต่สำหรับเรา นี่คือประโยคที่บอกได้ชัดเจนว่าเฟร็ดหรือ ‘Mister Rogers’ เป็นใคร

ก่อนหน้านี้ชื่อของเขาและรายการ Mister Rogers’ Neighborhood ไม่ได้คุ้นหูเราเลยจนกระทั่งได้ดู A Beautiful Day in the Neighborhood หนังชีวประวัติของเฟร็ดที่ Tom Hanks แสดงนำ ความประทับใจพาให้เราเสิร์ชหาเรื่องราวเกี่ยวกับเขาเพิ่ม จนได้รู้จักสารคดี Won’t You Be My Neighbor? ที่หลายเสียงเล่าลือกันว่าเล่าถึงเฟร็ดได้ ‘จับใจ’ เท่าฉบับของแฮงก์สหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ และเมื่อหนังเข้าเน็ตฟลิกซ์ประเทศไทย เราก็ไม่พลาดที่จะกดดูทันที

เวลาชั่วโมงกว่าๆ จบลงด้วยคราบน้ำตาและความรู้สึกอบอุ่นใจ หากให้สรุปความน่าดู บอกเลยว่า Won’t You Be My Neighbor? เป็นสารคดีที่สนุกไม่แพ้หนัง หลายช่วงทำให้เรายิ้มกว้างและน้ำตาไหลได้ในเวลาเดียวกัน และแม้จะเคยรู้เรื่องราวของเฟร็ดมาแล้ว เรากลับไม่ได้เบื่อหรือรู้สึกว่ากำลังดูเรื่องซ้ำ เพราะสารคดีพาไปสำรวจชีวิตของเฟร็ดในมิติหลากหลายผ่านฟุตเทจเก่าๆ และคำบอกเล่าของคนใกล้ตัวถึงช่วงเวลาตั้งแต่ก่อนถ่ายทำรายการ Mister Rogers’ Neighborhood เทปแรกไปจนถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต

หากหนังที่ดีคือหนังที่ทำให้มุมมองบางอย่างของคนดูเปลี่ยนไป Won’t You Be My Neighbor? คงเป็นหนังที่ดีโดยไม่ต้องสงสัย

Fred Rogers

cmaassen.com

 

ชายผู้รักการฟังเสียงเด็ก

พิธีกรใจดี ตุ๊กตาหุ่นมือ เพลงสอนใจ และเด็กๆ

แม้รายการ Mister Rogers’ Neighborhood หรือ ละแวกบ้านของมิสเตอร์โรเจอร์ส จะมีองค์ประกอบที่ไม่ได้แตกต่างจากรายการเด็กทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้รายการนี้ไม่เหมือนใคร ร้อยทั้งร้อยก็ต้องบอกว่าคือมิสเตอร์โรเจอร์สนั่นแหละ

เฟร็ด โรเจอร์ส เกิดที่รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ในปี 1928 เขามีวัยเด็กที่ไม่ค่อยสดใสเพราะเป็นเด็กอ้วน ขี้อาย และมักตกเป็นเป้าการบูลลี่ของคนรอบข้าง เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน เฟร็ดมีส่วนร่วมในการพัฒนารายการเด็กหลายรายการ เริ่มจากงานหลังกล้องอย่างการทำหุ่นมือและแต่งเพลง ระหว่างนั้นก็ลงเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็ก ก่อนจะกลายเป็นคนหน้ากล้องและมีรายการของตัวเองในปี 1963 

อาจเพราะประสบการณ์วัยเยาว์ การงาน และการศึกษาที่ต่างหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนทำรายการทีวีสำหรับเด็ก พื้นที่ที่เขาจะทำให้เด็กทุกคนมั่นใจว่าเสียงของพวกเขาควรค่าแก่การรับฟัง

“เด็กๆ มีความรู้สึกลึกซึ้งไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ไม่ต่างจากเราทุกคน การที่เราพยายามทำความเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นและตอบสนองต่อเด็กๆ ให้ดีขึ้นคือสิ่งที่ผมรู้สึกว่าเป็นงานที่สำคัญที่สุดในโลก” 

ในรายการของตัวเอง เฟร็ดสร้าง ‘ละแวกบ้าน’ ขึ้นมา เพราะคำว่าละแวกบ้านสื่อถึงความชิดใกล้ มันเป็นสถานที่ที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย เข้าอกเข้าใจ และในเวลาที่คุณรู้สึกกังวล หวาดกลัว คำคำนี้จะปลอบประโลมและดูแลคุณ เฟร็ดนิยามไว้อย่างนั้น

ทุกตอนจะมีหัวข้อที่เฟร็ดอยากพูดถึงอย่างชัดเจน และมักจะเริ่มต้นด้วยการที่เฟร็ดร้องเพลงธีมของรายการ แขวนเสื้อแจ็กเก็ตในตู้เสื้อผ้า สวมสเวตเตอร์และเปลี่ยนรองเท้า ช่วงต่อจากนั้นจะปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แบบวาไรตี้ บางตอนเฟร็ดเล่นละครหุ่นมือ บางตอนสัมภาษณ์ผู้คนในอาชีพต่างๆ เกี่ยวกับงานของเขา บางตอนสาธิตการใช้สินค้าบางอย่าง และบางตอนก็เชิญเด็กๆ มาร้องเพลงร่วมกัน โดยมีจุดร่วมสำคัญคือการให้ข้อคิดบางอย่างกับเด็กๆ เสมอ

ตาที่มองเห็นความสำคัญ หูที่รับฟังเสียงเล็กๆ และหัวใจที่เปิดรับเรื่องเล่าของเด็ก คือปัจจัยที่ทำให้มิสเตอร์โรเจอร์สไม่เหมือนใคร และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ Morgan Neville ผู้กำกับสารคดีรางวัลออสการ์เรื่อง 20 Feet From Stardom อยากเล่าเรื่องของเขา

Neighbor

Netflix

 

บทเรียนลึกซึ้งจากละแวกบ้าน

มอร์แกนชอบดูรายการของเฟร็ดมาตั้งแต่เขายังเด็ก และเมื่อได้กลับมาดูอีกครั้งตอนโต เขารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นเพียงพิธีกรรายการเด็กคนหนึ่งเท่านั้น แต่คือครูคนแรกที่สอนบทเรียนสำคัญของชีวิตให้กับเด็กหลายคน ผ่านเครื่องมืออย่างการเล่านิทานและบทเพลง

เฟร็ดสอนเรื่องพื้นฐานเช่นการรับมือกับความผิดพลาด การควบคุมความรู้สึก การมองเห็นคุณค่าของตัวเอง (“เธอคือคนพิเศษ เพราะไม่มีใครบนโลกนี้ที่เหมือนเธอ ฉันชอบเธอแบบที่เธอเป็น” คือตัวอย่างคำติดปากของเขา) รวมทั้งเรื่องหนักหนาอย่างความตาย การหย่าร้าง หรือสงคราม 

“เขาสอนสิ่งที่ลึกซึ้ง ช่วยเด็กให้ก้าวผ่านความยากลำบากของชีวิต ช่วยหาทางเยียวยาแผลใจด้วยวิธีการง่ายดายแต่ลึกซึ้ง” มอร์แกนให้สัมภาษณ์กับ CBS 

Neighbor

Netflix

มอร์แกนคัดฟุตเทจเกี่ยวกับเฟร็ดกว่า 1,000 ชั่วโมงมาตัดต่อเข้ากับเทปสัมภาษณ์คนใกล้ตัวของเขา ในที่สุดก็ออกมาเป็นสารคดีความยาวราว 1 ชั่วโมงครึ่งที่พาไปสำรวจชีวิตของเฟร็ดในหลายบทบาท ทั้งเพื่อนร่วมงาน สามี พ่อ และชายผู้เป็นแรงบันดาลใจของเด็กๆ 

ที่น่าสนใจคือการได้เห็นเฟร็ดในมุมของการเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ นอกจากสีหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางใจเย็นและตั้งใจรับฟัง เราได้เห็นเฟร็ดที่พยายามจัดการกับความโกรธของตัวเองด้วยการกดเปียโน เฟร็ดในตอนที่ต้องต่อสู้กับคนใหญ่คนโตเมื่อรายการโดนตัดงบ กับอีกหลายซีนที่บอกเราว่าชีวิตของชายผู้มองโลกในแง่ดีคนนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป

ในสารคดียังฉายภาพให้เห็นคำวิจารณ์แง่ลบที่เฟร็ดโดนกระหน่ำในทำนองว่า โลกสวย หลอกลวง และที่ร้ายแรงที่สุดคือ ‘ชั่วช้า’ เพราะประโยคฮิตของเขาที่บอกว่า ‘ทุกคนคือคนพิเศษ’ กำลังทำลายเด็กที่เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่

“มิสเตอร์โรเจอร์สไม่เคยบอกว่าถ้าอยากเป็นคนพิเศษต้องทำงานหนัก พอเด็กพวกนี้โตขึ้นก็เลยคิดว่า เดี๋ยวนะ มิสเตอร์โรเจอร์โกหกฉัน เพราะเมื่อคุณบอกทุกคนว่าเป็นคนพิเศษ พวกเขาจะไม่ทำอะไรเลยเพื่อให้ได้ความพิเศษนั้นมา” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอย่างนั้น ในขณะที่บางคนก็ออกมาปกป้องว่า ในความหมายของเฟร็ด ทุกคนคือคนพิเศษจริงๆ เพราะคนพิเศษของเขาคือคนที่ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อแลกกับความรัก

ความรักในโลกนี้เป็นสิ่งที่มีล้นเหลือพอแบ่งปัน การแสดงความรักทำได้หลายวิธี และไม่ว่าใครก็สมควรจะได้รับความรัก เฟร็ดเน้นย้ำแบบนั้นเสมอ

Neighbor

Netflix

 

มิตรภาพที่ไม่มีข้อจำกัด

อีกสิ่งที่เราประทับใจนอกจากการเห็นสายสัมพันธ์ระหว่างเฟร็ดกับเด็กๆ คือมิตรภาพอันงดงามของเฟร็ดกับ François Clemmons ผู้รับบทเป็น Mister Clemmons นายตำรวจผิวดำในรายการ ในช่วงนั้นอเมริกายังมีกระแสเหยียดคนผิวดำ ร้ายแรงกระทั่งห้ามคนดำลงสระว่ายน้ำเดียวกับคนขาว แต่เฟร็ดไม่เห็นด้วยจึงทำการอารยะขัดขืนผ่านสิ่งที่เขาทำได้ นั่นคือการชวนมิสเตอร์เคลมมอนส์มาล้างเท้าในอ่างเดียวกันเพื่อแสดงจุดยืนกับผู้ชมว่าเขาให้ค่ามนุษย์ทุกคนเท่ากัน

Neighbor

wesa.fm

ไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่เฟร็ดยังเป็นเพื่อนกับลิงกอริลล่าชื่อ Koko ซึ่งถึงแม้จะโผล่มาแวบเดียวในสารคดี Won’t You Be My Neighbor? นั่นคือฉากที่เจ้าโคโค่เล่นกับเฟร็ดด้วยการพยายามถอดรองเท้าเขาออกแต่หลังจากโคโค่ตายในปี 2018 ก็มีคนเปิดเผยเรื่องเล่าว่าที่เจ้าลิงทำแบบนั้นเพราะมันเคยเห็นเฟร็ดถอดรองเท้าและผูกเชือกรองเท้าในเพลงธีมของรายการ เมื่อมันได้เจอเฟร็ดตัวจริง มันจึงพยายามทำอย่างในเพลงที่ดูทุกวัน

Neighbor

Weird Hollywood

 

หนึ่งนาทีที่มีค่ากับทุกคน

หากใครเคยดู A Beautiful Day in the Neighborhood คงรู้ว่านอกจากเด็กๆ แล้ว เฟร็ดยังชอบคุยกับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่มีบาดแผลในชีวิต เขาเชื่อว่าเมื่อคนเราเติบโตขึ้น ลักษณะภายนอกอาจเปลี่ยนไป แต่ข้างในใจไม่เปลี่ยน “ผมรู้ว่างานของผมยังไม่จบ” เขาว่าอย่างนั้น

143 คือจำนวนโปรดของเฟร็ด เพราะมันคือจำนวนตัวอักษรของคำว่า I(1) LOVE(4) YOU(3) credit: m.media-amazon.com

 

ซีนหนึ่งที่เราชอบมากๆ ในหนังฉบับทอม แฮงก์ส คือซีน ‘หนึ่งนาที’ ซึ่งอ้างอิงจากสิ่งที่เฟร็ดชอบทำอยู่บ่อยๆ หนึ่งนาทีที่ว่าคือการอยู่กับความเงียบแล้วนึกถึงเรื่องดีๆ ของคนที่เคยช่วยเหลือเรา ใครก็ได้สักคนที่อยากขอบคุณเขาที่ทำให้เราเป็นเราในปัจจุบัน

“ลองคิดถึงคนที่เคยช่วยคุณระหว่างทาง บางคนอาจอยู่ตรงนี้ บางคนอาจอยู่ไกล บางคนอาจอยู่บนสวรรค์” เฟร็ดอธิบาย “ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ลึกๆ คุณรู้ว่าพวกเขาอยากให้คุณได้รับสิ่งที่ดีที่สุด พวกเขาห่วงใยคุณเกินกว่าจะวัดค่าได้ และคอยให้กำลังใจคุณ ผมอยากให้คุณซื่อสัตย์ต่อตัวเอง แค่หนึ่งนาที ผมจะจับเวลา” 

แน่นอนว่าในสารคดีก็มีซีนนี้เช่นกัน และเราพูดอย่างไม่อายเลยว่าในฐานะคนที่ไม่ค่อยได้สำรวจความทรงจำของตัวเองเท่าไหร่ นั่นคือซีนที่ทำให้เราน้ำตาไหลพร้อมรอยยิ้ม

มีแหละ ช่วงที่เราอาจหลงลืมว่าตัวเองมีคุณค่าหรือเวลาที่ปล่อยให้พลังด้านลบควบคุมพื้นที่ความรู้สึก เฟร็ดเตือนความจำว่ายังมีคนที่หวังดีกับเราอยู่

ในยามที่เราไม่รักตัวเองเลย เวลาแค่หนึ่งนาทีอาจมีประโยชน์

 

อ้างอิง

cranberries

IMDB

CBS

AUTHOR