Whitney สารคดีที่เล่าเรื่องวิทนีย์ ฮุสตันผ่านปากคนที่เข้าใจและรักเธอที่สุด

Whitney สารคดีที่เล่าเรื่องวิทนีย์ ฮุสตันผ่านปากคนที่เข้าใจและรักเธอที่สุด

Highlights

  • Whitney คือสารคดีว่าด้วยชีวิตของวิทนีย์ ฮุสตัน เจ้าของฉายา 'เดอะ วอยซ์' ซึ่งประกอบด้วยบทสัมภาษณ์ผู้คนที่ข้องเกี่ยวกับนักร้องในตำนานมากถึง 70 คน และเต็มไปด้วยภาพและฟุตเทจเบื้องหลังที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
  • เรื่องราวทั้งหมดในสารคดีถูกถ่ายทอดผ่านสายตาอันเป็นกลางของเควิน แม็กโดนัลด์ ผู้กำกับสารคดีรางวัลออสการ์เรื่อง One Day in September (1999)
  • แม้ว่าต้นไอเดียของสารคดี Whitney จะไม่ใช่คนในครอบครัวของนักร้องเจ้าของเพลงฮิตนับสิบ แต่ก็เป็นคนที่อยากทำความเข้าใจเธออย่างที่เธอเป็นจริงๆ อย่างลิซ่า เอิร์สปาเมอร์ โปรดิวเซอร์รายการ The Oprah Winfrey Show และสารคดี Running from Crazy (2013)
  • ลิซ่าได้รับความร่วมมือจากคนใกล้ตัววิทนีย์แทบทุกคน เช่น แพต ฮุสตัน พี่สะใภ้ของวิทนีย์ ไคล์ฟ เดวิส อดีตประธานค่ายเพลงอริสตา เรกคอร์ดส์ ผู้เซ็นสัญญากับวิทนีย์ในวัย 19 ปี และ เอมิลี 'ซิสซี่' ฮุสตัน แม่ผู้เป็นอดีตนักร้องในเกิร์ลกรุ๊ปและช่วยลูกสาวฝึกซ้อมร้องเพลงมาแต่ไหนแต่ไร สารคดีเรื่อง Whitney จึงทรงพลังไม่แพ้เสียงร้องของวิทนีย์ที่สะกดใครต่อใครไว้ในภวังค์

เสียงร้องแห่งยุคสมัย

เสียงเพลงที่สะกดโลกทั้งใบ

เรื่องราวที่ยังเล่าขาน

ตำนานที่ไม่มีวันตาย

วิทนีย์ ฮุสตัน สร้างประวัติศาสตร์แห่งวงการดนตรีที่ยังไม่มีนักร้องหญิงคนใดทำลายได้ ด้วยสถิติยอดขายอัลบั้มกว่า 200 ล้านชุดทั่วโลก เธอเป็นศิลปินเพียงคนเดียวที่ครองอันดับหนึ่งของยอดขายซิงเกิลบนชาร์ตสหรัฐอเมริกาต่อเนื่องถึง 7 ครั้ง และเธอยังนำแสดงในภาพยนตร์ระดับบล็อกบัสเตอร์อีกหลายเรื่อง ก่อนที่อาชีพอันแสนรุ่งโรจน์จะนำทางเธอสู่ด้านมืดอื้อฉาวและทำให้เธอต้องจบชีวิตลงในวัยเพียง 48 ปี

Whitney ผลงานกำกับของเควิน แม็กโดนัลด์ (ผู้ชนะรางวัลออสการ์สารคดียอดเยี่ยม One Day in September (1999), รางวัลบาฟตา ภาพยนตร์อังกฤษยอดเยี่ยม Touching the Void (2003) และ The Last King of Scotland (2006)) พาเราเดินทางเข้าสู่ชีวิตของวิทนีย์ ฮุสตัน ในมุมชิดใกล้และเป็นส่วนตัวแบบที่เราไม่เคยได้รับรู้จากข่าวแทบลอยด์ทั้งหลาย โดยบอกเล่าผ่านฟุตเทจเก่าที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน, ผลงานเดโม่ลับ, ภาพบันทึกการแสดงหาดูยาก, เสียงและบทสัมภาษณ์ของผู้คนซึ่งรู้จักตัวตนของเธอดียิ่งกว่าใคร เพื่อเปิดเผยคลี่คลายทุกความลับเบื้องหลังนักร้องหญิงสุดยิ่งใหญ่เจ้าของฉายา ‘เดอะ วอยซ์’ ผู้เคยยินยอมกล้ำกลืนความเจ็บปวดของตัวเธอเอง เพื่อมอบเสียงเพลงกล่อมเกลาหัวใจของพวกเรานับล้านคนทั่วโลก

วิทนีย์ ฮุสตัน ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีโดยซิสซี ฮุสตัน แม่ผู้เป็นนักร้อง วิทนีย์สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คนเป็นครั้งแรกตอนอายุ 11 เมื่อเธอขับร้องเพลงพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในโบสถ์นิวโฮปแบปติส เมืองนวร์ก ในช่วงขวบปีแรก เธอในฐานะเด็กสาวผู้เปี่ยมพรสวรรค์อาศัยอยู่กับแม่และครอบครัว ก่อนที่พ่อผู้อารมณ์ร้ายจะย้ายพวกเธอไปอยู่ในย่านชุมชนแถบอีสต์ออเรนจ์ และหลังจากพ่อแม่ของเธอแยกทางกัน วิทนีย์ก็ออกจากบ้าน มุ่งหน้าสู่การเป็นนางแบบในเมืองนิวยอร์ก และได้รับการจับตามองจากไคล์ฟ เดวิส ประธานค่ายเพลงอริสตา เรกคอร์ดส์ (Arista Records) ที่ตกตะลึงกับเสน่ห์เฉพาะตัวและเสียงอันทรงพลัง จนตัดสินใจเซ็นสัญญากับเด็กสาววัย 19 คนนี้พร้อมให้เธอออกอัลบั้มแรกในวัยเพียง 22 ปี

วิทนีย์ประสบความสำเร็จล้นหลามในปี 1985 ด้วยซิงเกิล Saving All My Love for You จากนั้นก็สร้างสถิติในการสร้างซิงเกิลฮิตต่อกันอีก 6 เพลง คว้ารางวัลแกรมมี่มาได้ 4 สาขา และแสดงหนังบล็อกบัสเตอร์ปี 1992 เรื่อง The Bodyguard ที่มีเพลงบัลลาร์ดฮิตตลอดกาลของเธออย่าง I Will Always Love You ประกอบด้วย

ตลอดอาชีพการเป็นนักร้อง เธอออกเพลง 7 อัลบั้ม กับอีก 2 อัลบั้มซาวนด์แทร็กหนัง อัลบั้มของเธอขายได้กว่า 200 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก ในปี 2001 เธอเซ็นสัญญาที่มีมูลค่าสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาลเกินคาดถึงสำหรับหลายคน ทั้งยังมีเพลงฮิตอีกมากมายตามออกมา ทั้งเพลงป๊อป I Wanna Dance With Somebody (Who Loves Me) เพลงที่มีกลิ่นอายบัลลาร์ด The Greatest Love of All และเพลงอาร์แอนด์บี I’m Your Baby Tonight

ทว่าอาชีพที่งดงามของเธอก็นำปัญหามายังชีวิตส่วนตัว ไม่กี่ปีถัดจากนั้น เธอแต่งงานและหย่าร้างกับบ็อบบี้ บราวน์ นักร้องอาร์แอนด์บี มีปัญหากับการใช้ยาเสพติด บาดหมางกับพ่อแท้ๆ เข้าบำบัด ออกรายการเรียลลิตี้ทางโทรทัศน์ และไม่ประสบความสำเร็จเลยกับการพยายามกลับมาออกทัวร์อีกครั้ง ก่อนจะเสียชีวิตลงในห้องน้ำโรงแรมเบเวอร์ลีฮิลล์ รอบกายเต็มไปด้วยยาและของจิปาถะในวัยเพียง 48 ปี

แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่แฟนเพลงของเธอก็ยังขบปัญหาไม่แตกว่า เหตุใดหญิงสาวผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์เช่นนั้นจึงดูราวกับลงมือทำลายอนาคตอันงดงามของตนเองได้

เพื่อจะค้นหาคำตอบ คนทำหนังรางวัลออสการ์ เควิน แม็กโดนัลด์ นำฟุตเทจหายากต่างๆ เข้ามารวมกันกับบทสัมภาษณ์ใหม่ๆ ที่เขาเข้าไปพูดคุยกับครอบครัวฮุสตัน เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงาน ทั้งยังรวบรวมการแสดงสดอันน่าอัศจรรย์ใจของเธอ โดยเฉพาะการขับร้องเพลง The Star-Spangled Banner (เพลงชาติสหรัฐฯ) ก่อนเริ่มงานซูเปอร์โบว์ลในปี 1991 และผลที่ได้คือบทบันทึกความรุ่งโรจน์และแตกสลายของซูเปอร์สตาร์ ที่วิทนีย์ ฮุสตันมีครบทั้งหมด


เบื้องหลังภาพยนตร์

ลิซ่า เอิร์สปาเมอร์ (โปรดิวเซอร์รายการ The Oprah Winfrey Show และสารคดี Running from Crazy) อยากทำสารคดีเกี่ยวกับวิทนีย์ ฮุสตัน ตอนที่รู้เรื่องราวของนักร้องสาวและครอบครัวของเธอจากเพื่อนร่วมงานสมัยที่ทำรายการ The Oprah Winfrey Show ซึ่งวิทนีย์เคยมาเป็นแขกรับเชิญในปี 2009 และลิซ่าเป็นผู้ดูแลส่วนที่เธอให้สัมภาษณ์กับรายการ

“ฉันสะเทือนใจไม่น้อยที่ได้รู้ว่าผู้คนมองเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเพราะพฤติกรรมการเสพยาของเธอ” ลิซ่าเล่า “มันง่ายจริงๆ ที่เราจะตัดสินใครสักคนแค่ว่า ‘พวกเขาทิ้งขว้างพรสวรรค์ที่พระเจ้าทรงมอบให้’ ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่คนส่วนมากพูดถึงวิทนีย์” และเป็นความรู้สึกนี้เองที่ทำให้ลิซ่าทำสารคดีเพื่อจะเข้าใจหญิงสาวผู้นี้อย่างลึกซึ้งภายใต้ภาพลักษณ์ย่ำแย่ที่สื่อมอบให้เธอ โดยเฉพาะการก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดและเหตุผลเบื้องหลังที่ชื่อเสียงของเธอตกต่ำลง

ปี 2015 หลังช่วยโอปราห์ทำสถานี OWN (The Oprah Winfrey Network) และสามปีหลังจากการตายของวิทนีย์ ฮุสตัน ลิซ่าเดินตามความตั้งใจโดยติดต่อไปยัง นิโคล เดวิด ตัวแทนของวิทนีย์ และแพต ฮุสตัน พี่สะใภ้ของวิทนีย์ “ฉันตรงดิ่งไปหานิโคลกับแพตเพราะรู้สึกว่าน่าจะเล่าเรื่องนี้ได้ดีและได้รู้จักวิทนีย์กว่าที่เคย รวมทั้งเพื่อจะช่วยให้ผู้คนมองเธออย่างเข้าอกเข้าใจและลึกซึ้งขึ้นด้วย” ลิซ่าอธิบาย

แพต ฮุสตัน ตกลงร่วมงานกับลิซ่า โดยแบ่งปันข้อมูลอันแสนเป็นส่วนตัวผ่านมุมมองของคนในครอบครัว ซึ่งที่ผ่านมาเธอแทบไม่เคยให้สัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับวิทนีย์ หญิงสาวที่ทุกคนในบ้านเรียกว่า ‘นิปปี้’ อย่างรักใคร่มาก่อนเลย “เพื่อจะเล่าเรื่อง คุณต้องรู้เรื่องทั้งหมดก่อน” เธอบอก “ฉันเชื่อหมดหัวใจว่า หากผู้คนอยากรู้เรื่องราวของวิทนีย์ มันก็ควรถูกบอกเล่าโดยคนที่รู้จักเธอ ตั้งแต่วันที่เธอเกิด จนถึงวันที่เธอตาย ซึ่งก็คือครอบครัวของเธอ” (แพตเป็นพี่สะใภ้ของวิทนีย์ เธอแต่งงานกับ เกรย์ พี่ชายของวิทนีย์ และเริ่มเป็นผู้จัดการให้นักร้องสาวในปี 2001 และปัจจุบันเธอมีหน้าที่จัดการทรัพย์สินและมรดกทางดนตรีที่วิทนีย์ทิ้งไว้)

ส่วนนิโคลนั้นตัดสินใจเข้าร่วมโปรเจกต์หนังสารคดีนี้ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง เพราะอยากเล่าเรื่องราวอันเป็นส่วนตัวของวิทนีย์อย่างซื่อตรงที่สุด “ฉันลังเลมานานที่จะทำสารคดีหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับวิทนีย์ เพราะฉันรู้สึกว่าเธอทำเช่นนั้นมาตลอดแล้วตอนยังมีชีวิตอยู่ ฉันไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องของเธอดูสวยงามฟุ้งฝัน ฉันแค่อยากบอกเล่าเรื่องเธอในแบบที่เธอเป็นจริงๆ และไม่อยากให้เธอต้องตกอยู่ในสื่อซุบซิบอะไรอีกต่อไป”

หญิงสาวทั้งสามมุ่งตรงมายังลอสแอนเจลิส ลิซ่าติดต่อคนทำสารคดีฝีมือเยี่ยม โจนาธาน ชินน์ และ ไซมอน ชินน์ “เพราะเรารักหนังสารคดีของพวกเขา ฉันเป็นแฟนของหนังเรื่อง Searching for Sugar Man (2012) (ไซมอน ชินน์ เป็นโปรดิวเซอร์) จึงชวนพวกเขามาโปรดิวซ์ Whitney ด้วยกัน”

ไซมอน ชินน์ ผู้เป็นเจ้าของรางวัลออสการ์สองตัวจาก Man on Wire (2008) และ Searching for Sugar Man ตกลงรับคำชวนโดยมีข้อติดขัดเพียงข้อเดียวคือ “ผมสงสัยว่าคนในครอบครัวของวิทนีย์จะอยากบอกเรื่องราวทั้งหมดอย่างไม่ปิดบังต่อพวกเราจริงๆ ไหม” อย่างไรก็ดี ความสงสัยนี้หมดไปในเวลาต่อมา “แต่เมื่อผมได้คุยกับแพต ฮุสตัน เธอชัดเจนว่าอยากเล่าทุกอย่างโดยซื่อตรงที่สุด และอยากให้เราถ่ายทอดเรื่องเหล่านี้อย่างซื่อสัตย์เช่นกัน หากมันไม่เป็นเช่นนั้น เธอและครอบครัวคงไม่สะดวกใจที่จะมีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้”

โจนาธาน ชินน์ ญาติของไซมอนที่อาศัยอยู่ในลอสแอนเจลิสผู้เคยโปรดิวซ์หนังรางวัลเอ็มมี่สาขาสารคดียอดเยี่ยมเรื่อง LA 92 (2017) โดดเข้าร่วมโปรเจกต์นี้เป็นคนต่อมา “ตอนที่ได้รับอีเมลจากลิซ่า ผมคิดแค่ว่า หนังสารคดีก็เคยทำสำเร็จมาแล้ว สารคดีเพลงก็เคยทำสำเร็จมาแล้วเหมือนกัน นี่จึงน่าจะเป็นช่วงเวลาเหมาะที่สุดสำหรับการทำหนังคุณภาพเพื่อบอกเล่าเรื่องของวิทนีย์ โดยได้รับความร่วมมือจากครอบครัวของเธอ ไม่ใช่จากหนังสือพิมพ์แทบลอยด์”

โจนาธานกับไซมอนเดินทางไปพบไคล์ฟ เดวิส โปรดิวเซอร์ดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นผู้กรุยทางอาชีพนักร้องให้วิทนีย์สมัยที่เขาเป็นประธานค่ายเพลงอริสตา เรกคอร์ดส์ (ปัจจุบันเขาเป็นผู้บริหารงานด้านครีเอทีฟที่โซนี่มิวสิก และช่วยครอบครัวฮุสตันดูแลลิขสิทธิ์เพลงของวิทนีย์) “การไปพบไคลฟ์เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเรา เพราะเราอยากให้เขาได้เห็นกับตาตัวเองว่า เราได้รวมเอาทีมงานเบอร์ต้นๆ ของโลกมาเล่าเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารักมากเหลือเกิน” ลิซ่าบอก ซึ่งการเผยให้คนดูได้เห็นถึงพรสวรรค์อันล้ำค่าของวิทนีย์ผ่านการแสดงสดของเธอนั้นเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับหนังอย่างยิ่ง โจนาธานเสริมว่า “ไคล์ฟจะทำให้สารคดีวิทนีย์ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้ด้วยความสัมพันธ์ที่เขามีต่อเธอ ไม่น้อยไปกว่าเสียงของคนในครอบครัวของเธอเลย”

 

ผู้กำกับรางวัลออสการ์

เมื่อทีมโปรดิวเซอร์พร้อม ขั้นต่อมาก็คือการหาตัวผู้กำกับที่คู่ควร

นิโคล เดวิด แนะนำคนทำหนังชาวสกอตต์แลนด์ เควิน แม็กโดนัลด์ เจ้าของสารคดีรางวัลออสการ์เรื่อง One Day in September (1999) และยังเคยกำกับ Marley สารคดีปี 2012 ที่เล่าเรื่องบ็อบ มาร์เลย์ อีกด้วย แน่นอนว่าเขากลายเป็นตัวเลือกที่ทีมโปรดิวเซอร์สนใจ และเมื่อข้อเสนอนี้ถูกส่งถึงมือเควิน เขาก็สนใจแพ้กัน

“แรกทีเดียวตอนได้ยิน ผมแอบสงสัยนะว่า น่าจะมีหนังที่เล่าเรื่องของวิทนีย์ได้อย่างดีไปไม่น้อยแล้ว ผมคงไม่สามารถจะทำอะไรได้ดีไปกว่าที่เคยมีคนทำไว้อีก แต่พอได้คุยกับนิโคล เดวิด ผมก็รู้สึกสนใจโปรเจกต์นี้ขึ้นมาทันที เพราะผมเจอโปรดิวเซอร์หนังมาเยอะ แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกครับที่จะรักซับเจกต์ในหนังตัวเองมากขนาดนี้ นิโคลนั้นชัดเจนว่าเธอรักวิทนีย์ เธอต้องการจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวผู้งดงามและแสนอัศจรรย์คนนี้อย่างแท้จริง”

นิโคลเองก็ประทับใจเควินมากๆ เช่นกัน “เควินไม่ได้พยายามทำตัวประจบประแจงเราเพื่อจะมากำกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งนี่แหละที่สำคัญสำหรับฉันมาก เขาไม่ได้หลงใหลในวิทนีย์ ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเธอ ไม่ได้เป็นแฟนเพลงเธอด้วยซ้ำ เขาคือผู้กำกับที่เก่งกาจและฉันรู้ว่าเขาจะเล่าเรื่องจริงผ่านสิ่งที่เขาเห็นได้แน่นอน”

นิโคลส่งบทความในนิตยสารเดอะนิวยอร์กเกอร์ (ที่เธอรับต่อมาจากไคล์ฟ เดวิส อีกที) ไปเป็นแรงบันดาลใจให้เควิน มันคือบทความที่เขียนถึงวิทนีย์ตอนเธอร้องเพลง The Star-Spangled Banner ในงานซูเปอร์โบว์ล ปี 1991 “ซิงค์ แอนเดอร์สัน ผู้เขียนบทความนี้ บอกว่านั่นเป็นการแสดงที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของยุคสมัย การตีความและขับร้องของวิทนีย์ได้ทำให้บทเพลงนี้สร้างความหมายใหม่ในเรื่องของเชื้อชาติขึ้นมา” เควินอธิบาย “มันสะท้อนให้เราได้เห็นว่า นักร้องหญิงคนนี้ยังมีเรื่องลึกลับน่าค้นหาอีกมากมายอยู่ในใจ ซึ่งนี่ล่ะครับคือเหตุผลที่ทำให้ผมอยากเข้ามากำกับหนังเรื่องนี้”

ด้วยความเชื่อมั่นว่าเขาจะนำเสนอมุมมองที่สดใหม่จากเรื่องราวของวิทนีย์ได้ เควินเสนอความเห็นว่า “เหมือนตอนทำหนัง Bob Marley เรื่องเหล่านี้มันเปราะบาง เมื่อคุณต้องทำงานร่วมกับคนที่จะมาเล่าเรื่อง คุณต้องทำให้เขาอยู่ฝั่งเดียวกับคุณให้ได้ ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้แพตและคนในครอบครัวฮุสตันมาร่วมในทีม พวกเขาไว้วางใจผมให้เข้าไปสำรวจความเปราะบางนั้น ในขณะที่ก็ให้อิสระผมอย่างเต็มที่ในการเล่าเรื่อง

“ดังนั้น Whitney จะไม่ไช่แบบที่คุณนึกไว้แน่ๆ ผมไม่ได้ทำหนังเพื่อจะสรรเสริญใคร ผมเพียงเล่าเรื่องราวที่คิดว่าน่าสนใจเท่านั้น”

กรกฎาคมปี 2016 หรือราว 2 เดือนหลังตัดสินใจรับหน้าที่ผู้กำกับ เควิน แม็กโดนัลด์ ก็เริ่มสัมภาษณ์ผู้คน

“ผมอยากจะลองดูลาดเลาก่อน” เขาอธิบาย และลงเอยด้วยการถ่ายทำบันทึกบทสัมภาษณ์ของคนกว่า 70 คนที่เคยเกี่ยวข้องกับวิทนีย์ทั้งในชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงาน “โดยปกติเราจะใส่คนที่ถูกสัมภาษณ์ลงไปในหนังไม่เกิน 15 หรือ 20 คนหรอก แต่เพราะวิทนีย์ให้สัมภาษณ์เรื่องตัวเองไว้น้อยมากๆ เราเลยต้องรวบรวมเรื่องเหล่านี้จากหลากหลายผู้คน”

ในบรรดาผู้ให้สัมภาษณ์ สองคนที่สำคัญยิ่งคือ เอลเลน ไวต์ หรือ ‘ป้าเบ’ ซึ่งเป็นผู้ดูแลบ็อบบี้ คริสตินา ลูกสาวของวิทนีย์กับบ๊อบบี บราวน์ และแมรี่ โจนส์ ผู้ช่วยที่ร่วมงานกับวิทนีย์มายาวนาน ทั้งคู่ให้ข้อมูลแสนล้ำค่าแก่หนัง “แมรี่คือใจความสำคัญเลย” เควินเล่า “เธอสามัญธรรมดาและมีบุคลิกที่ซื่อตรงมาก จนคุณเชื่อในทุกสิ่งที่เธอพูด ผมว่าสำหรับคนดู เธอคือคนที่จะอธิบายเรื่องราวอันยุ่งเหยิงทั้งหลายให้เราเข้าใจชัด”

หนังยังสัมภาษณ์คนสำคัญในแวดวงดนตรีอย่าง เคนเนท ‘เบบี้เฟซ’ เอ็ดมันด์ส กับ แอนโตนิโอ ‘แอล เอ’ เรด และริกกี้ ไมเนอร์ คนดูแลและควบคุมเพลงในคอนเสิร์ต ซึ่งเล่าเบื้องหลังการขึ้นร้องเพลง The Star-Spangled Banner ของวิทนีย์ ตลอดจนเรื่องคนรักเก่า บอดี้การ์ด ผู้จัดการ และเหล่าผู้คนจากวงการเพลงที่รำลึกชีวิตของวิทนีย์ในแบบที่พวกเขารู้จัก

แต่บทสัมภาษณ์ที่เปล่งประกายที่สุดนั้นมาจากเรื่องเล่าของคนในครอบครัวฮุสตันเอง ไมเคิลกับแกรี่ พี่ชายของวิทนีย์เปิดใจเล่าความทรงจำวัยเด็กและปัญหาการใช้ยาที่รายล้อมวิทนีย์อยู่ตลอดเวลา เควินเล่าว่า “ผมสัมภาษณ์ไมเคิลกับแกรี่ 3 ครั้ง บางครั้งก็ให้ความรู้สึกเหมือนเข้าไปฟังการบำบัดอะไรสักอย่าง เราขุดเรื่องราวให้ลึกลงไปเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นอย่างที่แกรี่บอกนั่นแหละครับว่า ‘ครอบครัวนี้มีความลับซ่อนอยู่'”

แพต ฮุสตัน เล่าถึงความหม่นเศร้าของวิทนีย์ “การต้องมาเปิดเผยถึงความลับที่วิทนีย์เคยพูดกับฉันนั้นเป็นสิ่งที่ชวนเจ็บปวดจริงๆ แต่ฉันยอมเพราะนึกถึงคนรุ่นหลังที่อาจกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นกับวิทนีย์ไม่ใช่เรื่องเฉพาะที่เกิดขึ้นแค่กับเธอ มันอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้”

อีกหนึ่งบุคคลสำคัญของหนัง หนีไม่พ้นเอมิลี ‘ซิสซี่’ ฮุสตัน แม่ของวิทนีย์ซึ่งโตมาในครอบครัวนักดนตรี เธอเป็นสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ป The Sweet Inspirations และเคยร้องคอรัสให้นักร้องชื่อดังมากมาย เช่น เอลวิส เพรสลีย์, วาน มอร์ริสัน และอารีทา แฟรงคลิน

ซิสซี่ผู้ไม่เคยไต่เต้าไปถึงการเป็นศิลปินเดี่ยวได้ดังที่หวัง ทุ่มเทการฝึกซ้อมให้วิทนีย์ในวัยเด็กเพื่อที่ลูกสาวจะได้กลายเป็นนักร้องดังในอนาคต และหากวันใดตัวเธอเองต้องออกทัวร์ เธอก็จะให้ญาติๆ ช่วยกันเลี้ยงวิทนีย์ “ตอนเด็กๆ วิทนีย์เข้าใจว่าเธอมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่แล้วเมื่อจอห์น พ่ออารมณ์ร้อนของเธอหย่าขาดกับแม่ วิทนีย์ก็ตระหนักได้ว่าแม่กับพ่อไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่อย่างใด ตราบชั่วชีวิตของเธอ วิทนีย์ฝันเฟื่องเสมอว่าพ่อแม่จะกลับมาอยู่ด้วยกันอีก ผมว่าการที่พ่อแม่ไม่กลับมาหากันนั้นส่งผลต่อวิทนีย์ราวกับโลกถล่มเลยทีเดียว” เควินเล่า

หนังถ่ายสัมภาษณ์ซิสซี่ในโบสถ์ที่นวร์ก ทว่าเธอค่อนข้างเงียบเชียบ “การต้องสูญเสียไปหมดทั้งลูกสาวและหลานสาวทำให้ซิสซี่ปวดร้าวมาก เธอไม่อยากมาเยือนที่นี่ด้วยซ้ำไป เราตัดสินใจว่าการได้สัมภาษณ์เธอที่โบสถ์นั้นเป็นการให้ภาพความเป็นซิสซี่ที่ชัดทีเดียว”

นอกจากนี้ สารคดียังประกอบด้วยบทสัมภาษณ์ บ็อบบี้ บราวน์ อดีตสามีผู้อื้อฉาวของวิทนีย์ “บ็อบบี้หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงความจริงตลอดเวลา ผมว่าเขาเปิดเผยชัดเจนเสมอนะว่าเขาเป็นคนแบบไหน แต่เขาไม่ใช่คนที่จะเปิดเผยเรื่องวิทนีย์แน่ๆ”

การสัมภาษณ์ส่วนใหญ่อยู่ในลอสแอนเจลิส แอตแลนตา และนิวยอร์ก แต่เควินและเนลสัน ฮูม ผู้กำกับภาพ (เคยกำกับภาพสารคดี Long Strange Trip ปี 2017) ถ่ายซับเจกต์ด้วยฉากหลังใกล้เคียงกัน “เราตัดสินใจว่าจะถ่ายทำทุกคนผ่านฉากหลังที่ดูเป็นกลางๆ เพื่อเราจะได้ไม่วอกแวกไปกับที่อยู่อาศัยของพวกเขาเวลาพวกเขาพูดกับกล้อง” เควินว่า” เราอยากให้การสัมภาษณ์มีแค่ผู้พูดและคนฟังซึ่งเป็นผู้ชมเท่านั้น”

งานภาพและเสียง

ขณะที่เควินหมกมุ่นจดจ่ออยู่กับการสัมภาษณ์นั้น โปรดิวเซอร์ แซม ดไวเยอร์ และทีมงาน ก็ได้รับภาพนิ่งนับพันภาพและวิดีโอเก่ามากมายจากแพต ฮุสตัน และบริษัทโปรดักชั่น ไวต์-นิป (Whit-Nip) “มีข้าวของเยอะแยะมากมายจริงๆ” แพตว่า” เราเก็บโน่นเก็บนี่ไว้ทุกครั้งที่ออกทัวร์ ทุกครั้งที่จัดคอนเสิร์ต ทุกครั้งที่มีสัมภาษณ์ ฉะนั้นสื่อบันทึกของเรามันจึงมหัศจรรย์มากๆ ไม่ว่าคนทำหนังต้องการอะไร เราก็สรรหามาให้ได้ทั้งนั้น”

สื่อหลายชิ้นเหล่านี้ไม่เคยปรากฏต่อสาธารณะมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเทปบันทึกนอกรอบ วิดีโอหาดูยาก เทปบันทึกเสียงตอนที่วิทนีย์พรรณนาถึงฝันร้ายของเธอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ฟุตเทจ 8 มม. อัดแน่นเต็มกระเป๋าจากเอลลิน ลาเวอร์ ช่างทำผมคนสนิทของวิทนีย์ซึ่งเคยใช้กล้องตัวน้อยของเธอถ่ายขณะทั้งคู่ออกเดินทางไปด้วยกันทั่วโลกมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย

แน่ล่ะ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นวัสดุเลอค่าสำหรับเควิน และเราก็จะได้เห็นมันเป็นครั้งแรกใน Whitney

เสียงที่ยังคงได้ยิน

สารคดี Whitney ยังเลือกสำรวจเบื้องลึกของหญิงสาวผู้สะเทือนโลกด้วยเสียงเพลง แม้ในโมงยามที่เธอต้องเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายในตัวเอง

“สิ่งที่ผมอยากให้คนดูได้รับกลับไปจากหนังเรื่องนี้มากที่สุดคือ เรากำลังเล่าเรื่องราวของครอบครัวอันแสนซับซ้อน และใครคนหนึ่งซึ่งเป็นปุถุชนธรรมดาที่ถูกวิเคราะห์ในฐานะดาวเด่นของหนังสือพิมพ์แทบลอยด์” เควินว่า “เรื่องตลกคือตอนที่ผมเริ่มลงมือทำหนังเรื่องนี้ ผมพบว่ามันชวนสิ้นหวังมากๆ เพราะผมหาเสียงของเธอไม่เจอ ผมหาตัวตนของเธอไม่พบ ผมอยากให้วิทนีย์พูดถึงเรื่องเชื้อชาติ พูดถึงอเมริกา แต่กลับไม่มีอะไรที่บอกถึงสิ่งเหล่านั้นได้เลย แต่เมื่อผมใช้เวลากับเธอมากขึ้นๆ ผมก็ค่อยๆ ตกหลุมรักเธอและเข้าใจได้ในที่สุดว่าวิทนีย์ ฮุสตันเป็นศิลปินยิ่งใหญ่ผู้ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองทำอะไรไปตามกระแสของยุคสมัย เธอเลือกแล้วที่จะใช้เสียงของเธอแสดงพลังและอารมณ์ความรู้สึกผ่านบทเพลง”

เรื่องราวของมรดกทางบทเพลงเหล่านี้ ถูกตอกย้ำผ่านความรวดร้าวซึ่งหมุนวนอยู่ในหัวใจของนักร้องสาวตลอดชีวิตช่วงปีท้ายๆ โปรดิวเซอร์ นิโคล เดวิด เล่าว่า “วิทนีย์แสร้งเข้มแข็ง แต่แท้จริงแสนเศร้าสร้อย โลกเชื่อว่าผู้หญิงอย่างเธอมีพร้อมทุกสิ่ง แต่เธอเองกลับไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น ฉันหวังว่าหนังเรื่องนี้จะช่วยให้คนเข้าใจว่าเหตุใดวิทนีย์จึงร้องเพลงเหล่านี้ได้อย่างงดงามเหลือเกิน มันไม่ใช่เพราะเธอมีเส้นเสียงทรงพลัง แต่เพราะเพลงอย่าง The Greatest Love นั้นเปี่ยมความหมายต่อเธอต่างหาก”

“วิทนีย์ไม่ได้เป็นแค่ไอคอนเท่านั้น” แพต ฮุสตันสรุป “Whitney เผยให้เห็นความเป็นมนุษย์ของเธอ สำหรับเราเธอคือ ‘นิปปี้’ เสมอ หากมีเรื่องราวใดที่แม่ พ่อ น้องชาย น้องสาวหรือลูกๆ ของคุณเคยผ่าน วิทนีย์ก็เคยผ่านมันมาแล้วเช่นกัน ฉันจึงหวังว่าสารคดีเรื่องนี้จะสามารถเข้าถึงคนที่อาจไม่ใช่แฟนเพลงของวิทนีย์ ฮุสตัน ได้เช่นกัน

“และในแง่หนึ่ง นี่คือพื้นที่ให้วิทนีย์ได้ส่งเสียงพูดต่อไป แม้จะในน้ำเสียงที่แตกต่างจากที่เคย แต่ยังคงแข็งแรง และยังมีคนได้ยิน”

AUTHOR