ทุกวันนี้เราเห็นสีขาวเป็นสัญลักษณ์ของความสะอาด ความบริสุทธิ์ และการปล่อยวาง แต่ในประวัติศาสตร์สีขาวไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่เข้าใจ เพราะผ่านกาลเวลายาวนานหลายร้อยปีและผ่านการใช้สีในศิลปะ สถาปัตยกรรม หรือแม้แต่วรรณกรรม สีขาวถูกใช้เพื่อบ่งบอกและแบ่งแยกสถานะ เป็นสัญลักษณ์ของความตื่นรู้ เป็นเครื่องหมายของยุคแห่งปัญญา ไปจนถึงใช้สื่ออุดมการณ์ทางการเมือง
ความดำมืดของสีขาวหลบเร้นอยู่ในการใช้สีเพื่อแบ่งแยก ควบคุม และเป็นสัญลักษณ์ของการตีกรอบเพื่อครอบงำ
แยกอดีตจากความจริง เมื่อสีขาวถูกใช้เพื่อย้อมประวัติศาสตร์
ปี 1938 มีการทำความสะอาดรูปปั้นครั้งใหญ่ใน British Museum สารคาร์โบรันดัมถูกนำมาใช้เพื่อขัดผิวของรูปปั้นให้มีสีขาวสะอาด หนึ่งในนั้นคือรูปปั้นแสนล้ำค่าจากวิหารพาร์เธนอนในประเทศกรีซ ผู้ที่ริเริ่มไอเดียการขัดสีฉวีวรรณครั้งนี้มีชื่อว่า Joseph Duveen ขุนนางอังกฤษและนักสะสมของเก่าแสนมั่งคั่ง ผู้บริจาคเงินจำนวนมากให้พิพิธภัณฑ์โดยมีเงื่อนไขว่าต้องขัดรูปปั้นทั้งหมดให้เป็นสีขาว (กว่านี้)
ทำไมน่ะเหรอ? ดูวีนเชื่อว่ารูปปั้นทั้งหมดในพิพิธภัณฑ์ไม่ได้มีสีที่ถูกต้อง และทุกสิ่งที่ก่อสร้างในยุคกรีกโรมันจำเป็นต้องมีสีขาวสะอาดเช่นเดียวกับหินอ่อน ความเชื่อของดูวีนฟังดูแปลกประหลาดและไม่เข้าท่า แต่มันมีที่มาย้อนกลับไปหลายศตวรรษ
ย้อนกลับไปในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 13-16) บรรดาศิลปินจำนวนมากเริ่มศึกษาศิลปะคลาสสิกจากอารยธรรมกรีก-โรมัน และเริ่มสร้างสรรค์งานใหม่โดยอ้างอิงหลักฐานยุคก่อนที่มองเห็นด้วยตา ไม่น่าแปลกใจที่ศิลปินยุคนั้นเข้าใจกันไปเองว่างานศิลปะแบบกรีก-โรมันไม่นิยมการลงสี เนื่องจากสีสันที่เคยถูกทาทับไว้ได้หลุดลอกไปตามกาลเวลา (ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยากับยุคกรีก-โรมันทิ้งช่วงเวลาห่างกันร่วมพันปี)
Johann Joachim Winckelmann เป็นอีกหนึ่งคนที่ต้องรับผิดชอบความเข้าใจผิดครั้งใหญ่นี้ เขาเป็นนักประวัติศาสตร์ศิลปะที่มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 18 และเขียนหนังสือหลายเล่มซึ่งต่อมากลายเป็นตำราสำหรับผู้นิยมศิลปะยุคคลาสสิก วิงเคิลมันน์เคยทำงานในกรุงโรม เขาถูกใจรูปปั้น Apollo Belvedere เป็นพิเศษ และได้กล่าวว่างานชิ้นนี้เป็นศิลปะที่สวยงามที่สุดเพราะมันสะท้อนความสวยงามของมนุษย์ผ่านภาพลักษณ์ของอพอลโล–เทพแห่งดวงอาทิตย์
Apollo Belvedere นำเสนอภาพเทพอพอลโลในวัยเยาว์ ผมของเขาปลิวไสว แต่ที่ถูกใจวิงเคิลมันน์มากที่สุดคือผิวพรรณขาวผ่องของเทพเจ้า เขาเชื่อว่าสีขาวคือสัญลักษณ์ของความเจริญทางปัญญาของชาวกรีก-โรมัน มันนำเสนอความสง่างาม ความบริสุทธิ์ ความเรียบง่าย และความมีอารยะ งานเขียนของเขาจุดประกายให้สีขาวกลายเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงยุคปัจจุบันเข้ากับความรุ่งเรืองแบบอารยธรรมในอดีต และแนวคิด White Utopia ของเขาก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้สิ่งก่อสร้างที่ทำเลียนแบบสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิกต้องมีสีขาวสะอาดในเวลาต่อมา
แนวคิด ‘ยิ่งขาวยิ่งสวย’ ของวิงเคิลมันน์ทำให้เขาปฏิเสธหลักฐานสำคัญร่วมสมัยที่แย้งว่าศิลปะยุคคลาสสิกอาจไม่ได้มีสีขาวบริสุทธิ์อย่างที่เข้าใจ ในศตวรรษที่ 18 เมืองปอมเปอีถูกค้นพบขึ้นทางตอนใต้ของอิตาลี เมืองนี้ถูกฝังอยู่ใต้เถ้าลาวาจากการระเบิดของภูเขาไฟวิสุเวียสจึงถูกเก็บรักษาในสภาพเกือบสมบูรณ์ หากมองกันด้วยตา งานศิลปะที่พบในเมืองปอมเปอีเต็มไปด้วยสีสัน มีหลักฐานกระทั่งภาพวาดของศิลปินที่กำลังใช้พู่กันลงสีงานประติมากรรมต่างๆ วาดไว้บนผนัง เราจึงตีความกันได้ว่าชาวโรมันไม่ได้ทิ้งรูปปั้นไว้ขาวๆ เปล่าๆ อย่างที่คิด หากพวกเขาลงสีตกแต่งพวกมันให้มีสีหน้าและท่าทางใกล้เคียงกับบุคคลในชีวิตจริงมากที่สุด
น่าสนใจว่าบรรดารูปปั้นที่ถูกพบแบบลงสีแล้วถูกปฏิเสธจากวิงเคิลมันน์และนักประวัติศาสตร์ศิลปะร่วมสมัย พวกเขากล่าวว่างานศิลปะที่มีสีเป็นศิลปะที่ถูกทำขึ้นก่อนหน้ายุคกรีก-โรมันเลยยังไม่พัฒนาจนมีสีขาวสะอาดต่างหาก
ข้อมูลที่ค้นพบไม่เพียงถูกวิงเคิลมันน์และพรรคพวกปัดตก หลักฐานบางอย่างยังถูกทำลายเพื่อให้ได้ภาพลักษณ์ขาวสะอาดอย่างที่ต้องการ เช่น รูปปั้น Augustus of Prima Porta ที่ทุกวันนี้เราเห็นว่าเป็นสีขาว แต่หลักฐานแรกเริ่มกล่าวว่ารูปปั้นนั้นมีสีแดง สีเหลือง และสีม่วง เราไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับรูปปั้นหลังถูกค้นพบในศตวรรษที่ 19 เป็นไปได้ว่าสีที่ติดมาอาจจางลงหลังพบเข้ากับความชื้นในอากาศ หรือไม่แน่ว่ารูปปั้นอาจถูกขัดขาวด้วยความเชื่อใน White Utopia เช่นเดียวกับโบราณวัตถุจำนวนมากของ British Museum
แยกคนขาวจากคนดำ วรรณกรรมที่ฉาวโฉ่ที่สุดในยุคล่าอาณานิคม
สีขาวได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเมื่อประเทศในยุโรปเข้าสู่ยุคล่าอาณานิคมเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อควีนวิกตอเรีย ราชินีแห่งอังกฤษในศตวรรษที่ 19 ริเริ่มแฟชั่นชุดแต่งงานสีขาวและทำให้มันกลายเป็นที่นิยมของชนชั้นสูง สีขาวในความหมายของควีนวิกตอเรียหมายถึงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของหญิงสาวที่กำลังก้าวเข้าสู่ประตูวิวาห์ ทั้งยังแสดงว่าครอบครัวของเจ้าสาวมีฐานะจึงสามารถซื้อชุดแต่งงานที่อาจเปื้อนง่ายให้ลูกสาวได้ ส่วนการใส่สีขาวในชีวิตประจำวันก็ย้ำเตือนสถานะความเป็นชนชั้นสูงผู้ไม่ต้องหยิบจับงานอะไรที่อาจทำให้ชุดสกปรก หรือแม้จะสกปรกก็มีคนดูแลรักษาชุดให้ นั่นเป็นเหตุผลที่เกิดคำว่า White Collar ที่สื่อถึงบุคคลที่ทำงานนั่งโต๊ะหรือมีตำแหน่งในสังคมค่อนไปทางสูงนั่นเอง
นอกจากการแสดงถึงฐานะ สีขาวยังแฝงไว้ด้วยนัยยะด้านชาติพันธุ์และการกดขี่ ในปี 1899 ภาระคนขาว หรือ The White Man’s Burden ของ Rudyard Kipling คือหนึ่งในบทกวีที่ทรงอิทธิพล สะเทือนความคิดคนในสังคม และกลายเป็นนโยบายรัฐที่สร้างความเสียหายให้ชนพื้นเมืองจำนวนมาก
“จงรับภาระของคนขาว
ส่งคนที่ดีที่สุดในเผ่าพันธุ์ออกไป
จงไป ส่งบุตรของคุณออกไป
เพื่อสนองความต้องการของผู้ถูกจับ
คอยบริการในบังเหียนที่แสนหนักอึ้ง
ผู้คนที่กระวนกระวายและป่าเถื่อน
บรรดาผู้คนแสนเศร้าสร้อยที่เพิ่งจับได้
ครึ่งปีศาจครึ่งเด็ก”
(สำนวนแปลโดย สุรเดช โชติอุดมพันธ์)
คิปลิงซึ่งเป็นคนอังกฤษเขียนบทกวี The White Man’s Burden หรือชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า The White Man’s Burden: The United States and the Philippine Islands. เพื่อให้คนอเมริกันรวมถึงภรรยาชาวอเมริกันของเขาอ่าน ส่วนคำว่า ‘ครึ่งปีศาจครึ่งเด็ก’ ที่ปรากฏในกวีนั้นหมายถึงชาวพื้นเมืองฟิลิปปินส์ซึ่งกำลังต่อสู้ทวงคืนอิสรภาพจากสหรัฐอเมริกา
ผลงานของคิปลิงถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ The Time (London) ในเช้าวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1899 ตามมาด้วย หนังสือพิมพ์ The New York Sun ในเช้าวันต่อมา กวีบทนี้ถูกนำไปอ่านในที่ประชุมอภิปรายวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯ เพื่อขอเสียงสนับสนุนในการเดินหน้าใช้กำลังควบคุมฟิลิปปินส์ ส่วนในอังกฤษ กวีของคิปลิงถูกตีความว่าชาวอังกฤษนั้นเป็นผู้รับภาระจากพระเจ้าให้ขยายอาณาจักรของพระองค์บนโลก เป็นการกระทำเพื่อนำ ‘ความซิวิไลซ์’ ไปสู่ประเทศต่างๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประชาชนของประเทศนั้นๆ ในท้ายสุด
ในช่วงศตวรรษที่ 19 ถึงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 อังกฤษซึ่งเป็นผู้นำของแนวคิดนี้สามารถขยายเขตอำนาจจากเส้นเมดิเตอเรเนียนที่เมืองกรีนิช ข้ามไปยังแอฟริกา ปาเลสไตน์ อินเดีย ไปจนถึงออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอีกมากมาย จนทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดในยุคของควีนวิกตอเรียซึ่งดินแดนในปกครองของจักรวรรดิอังกฤษกว้างใหญ่ไพศาลจนแม้แต่อาณาจักรโรมันโบราณก็ไม่สามารถทาบรัศมีได้
คิปลิงเชื่อว่าเมื่ออังกฤษหมดรัศมีไป ประเทศที่ขึ้นมายิ่งใหญ่เป็นผู้นำโลกแทนที่จะต้องเป็นสหรัฐอเมริกาโดยมีอังกฤษเป็นพันธมิตร ซึ่งหากไม่ใช่พันธมิตรที่เป็นรองก็ต้องเป็นพันธมิตรที่เป็นมิตร ทั้งสองประเทศจะควบคุมโลกในฐานะเจ้านายผู้อารี
แนวคิดของคิปลิงพัฒนามาจากประสบการณ์ตรง เขาเกิดในประเทศอินเดียซึ่งตอนนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ คิปลิงมองว่าจักรวรรดิของคนขาวมีพันธกิจคือการมอบอารยธรรมให้กลุ่มคนล้าหลังที่มีสภาพไม่ต่างจาก ‘ครึ่งปีศาจครึ่งเด็ก’ การสร้างจักรวรรดินั้นจึงมาจากความหวังดี เป็นภารกิจที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของชาติใดชาติหนึ่ง และไม่ได้หวังคำขอบคุณจากชาวพื้นเมืองซึ่งไม่ตระหนักว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้อยู่ใต้การปกครองของคนขาว
ภารกิจของคนขาวในยุคที่บทกวีนี้ถูกเขียนอาจแทนความรู้สึกที่มีเกียรติของคนทั้งประเทศ หากปัจจุบันที่โลกกระแสหลักเชื่อในความหลากหลาย บทกวีของคิปลิงก็คือความอับอายดีๆ นี่เอง
แยกคนทั่วไปออกจากงานศิลป์ เมื่อศิลปินบูชาทุกสิ่งที่เป็นสีขาว
James Abbott McNeill Whistler ศิลปินผู้ประสบความสำเร็จในศตวรรษที่ 19 เจ้าของวาทกรรม ‘ศิลปะเพื่อความเป็นศิลปะ’ (Art for Art’s Sake) เป็นอีกหนึ่งคนที่นำสีขาวมาใช้เพื่อขีดเส้นแบ่งระหว่างโลกของคนธรรมดากับโลกของคนที่สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณงานศิลป์ ในปี 1862-1867 วิสต์เลอร์วาดภาพสตรีในชุดขาวจำนวนสามภาพโดยใช้ชื่อซีรีส์ว่า Symphony in White ภาพวาดของวิสต์เลอร์เป็นที่โด่งดังในวงสังคมชั้นสูง หลายคนคิดว่าศิลปินอาจนำแรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมที่กำลังโด่งดังของ Wilkie Collins เกี่ยวกับผู้หญิงปริศนาในชุดขาว เรื่อง The Woman in White
ยังไงก็ดี หลายคนมองภาพนี้แล้วบอกว่าไม่ใช่ ผู้หญิงในภาพไม่ใช่สตรีที่ได้รับคำบรรยายไว้ในวรรณกรรม ถ้าอย่างนั้นเธอเป็นใคร? ทำไมถึงสวมเสื้อผ้าสีขาว? เธอกำลังคิดอะไรอยู่? ผู้หญิงคนนี้แต่งงานหรือยัง? หรือกำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน? ชุดสีขาวกับดอกไม้ที่หล่นอยู่บนพื้นต้องการสื่อถึงอะไร? หรือศิลปินกำลังเปรียบเทียบเธอกับพระแม่มารี?
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ภาพวาดสตรีในชุดขาวเป็นกระแสไปไกล ในขณะที่ทุกคนต้องการคำตอบ วิสต์เลอร์กลับเงียบ ความเงียบของเขาทำให้ภาพที่ว่าถูกตีความไปมากกว่าเดิม
ความจริงแล้วภาพวาดของวิสต์เลอร์ต้องการสื่อถึงอะไร คำอธิบายหนึ่งในวงการศิลปะกล่าวว่าศิลปินอาจไม่ได้ต้องการกล่าวถึงชีวิตของผู้หญิงในภาพ ในทางกลับกันหัวข้อที่วิสต์เลอร์สนใจคือการนำสีขาวมาบอกเล่าผ่านเฉดสีต่างๆ บนผืนผ้าใบโดยใช้สตรีเป็นแค่ส่วนประกอบ
ความหลงใหลในสีขาวกลายเป็นสัญลักษณ์ของวิสต์เลอร์ เขาไปไหนมาไหนในชุดสีขาว สวมถุงเท้าขาว เลี้ยงหมาพันธุ์ปอมเมอเรเนียนสีขาว และยังมีผมขาวกระจุกใหญ่อยู่บนศีรษะ ที่น่าสนใจกว่านั้นคือวิสต์เลอร์เป็นศิลปินคนแรกๆ ที่แบ่งแยกสถานที่สำหรับจัดแสดงงานศิลปะออกจากอาคารทั่วไปโดยใช้พื้นที่สีขาว
ในปี 1883 วิสต์เลอร์เปิดนิทรรศการใหม่โดยใช้สีขาวเป็นธีมหลัก ห้องสำหรับจัดงานถูกทาด้วยสีขาว กรอบรูปทั้งหมดมีสีขาว ภาพวาดทั้งหมดอยู่ในโทนสีโมโนโทน เขาจัดวางผลงานให้อยู่ห่างกันมากเพื่อให้สถานที่จัดงานดูเหมือนว่างเปล่า วิสต์เลอร์สนุกกับการควบคุมพื้นที่ของเขามากถึงขนาดจัดให้สตาฟในงานทุกคนต้องสวมชุดสีเหลือง สั่งทำเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับห้องสีเหลืองเข้าชุดกัน และเมื่อเห็นสีเหลืองเดินไปเดินมาในห้องสีขาวเขาก็เลยเรียกบรรดาสตาฟของเขาว่ามนุษย์ไข่ลวก (the poached egg man)
แน่นอนว่าผู้เข้าชมงานศิลปะต้องรู้สึกแปลกแยกและอาจไม่สบายใจที่ต้องเดินไป-มาในห้องบรรยากาศแปลกประหลาด แต่นั่นคือสิ่งที่ศิลปินต้องการ เขาเปลี่ยนพื้นที่ธรรมดาให้เป็นงานศิลปะ แยกมันออกจากโลกแห่งความจริงเพื่อต้อนรับเฉพาะแขกพิเศษที่มีรสนิยมเข้าใจงานศิลป์เพียงเท่านั้น แนวคิดการจัดพื้นที่สำหรับงานศิลป์โดยใช้สีขาวกลายเป็นแรงบันดาลใจของอาร์ตแกลเลอรีในยุคต่อมา ต้องยอมรับว่าสีขาวสามารถสร้างบรรยากาศบันดาลใจ มันเป็นสีแห่งความว่างเปล่าจึงเปิดกว้างให้จินตนาการและความเป็นไปได้ แต่ในทางกลับกัน แม้สีขาวจะดูสะอาด สงบ สบายตา แต่ก็ตามมาด้วยความรู้สึกกดดันและเย็นชาด้วยเหมือนกัน
สีขาวกลายเป็นสีแห่งโลกศิลปะ มันกลายเป็นสีหลักของการสร้างงานศิลป์ในยุคต่อมา ศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงเวลาที่ผลงานศิลปะจำนวนมากถูกสร้างมาให้เป็นสีขาวโดยมีรูปลักษณ์และเรื่องราวที่น้อยคนจะเข้าใจ Marcel Duchamp ศิลปินชื่อดังถึงขั้นล้อเลียนวงการศิลปะนิยมสีขาวด้วยการนำ ‘โถส้วม’ สีขาวไปจัดแสดง สร้างความสับสนให้ผู้คนที่ไม่แน่ใจว่าสิ่งของตรงหน้าพยายามสื่ออะไร ดูว์ช็องเล่นตลกกับภาวะอัตวิสัยของศิลปินและการตัดสินใจให้อะไร ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ งานศิลปะ ในขณะที่จัดแสดงผลงานชิ้นนี้ก็มีข้อความน่าสนใจที่ศิลปินซ่อนไว้ คือการล้อเลียนประวัติศาสตร์แสนยิ่งใหญ่ในวงการศิลปะของสีขาว
แยกเขาออกจากเรา สีขาวในอุดมคติของฟาสซิสต์ยุคมุสโสลินี
“I found Rome a city of bricks and left it a city of marble.”
คำกล่าวดังของจักรพรรดิออกัสตุสผู้ปกครองอาณาจักรโรมันราว 63 ปีก่อนคริสต์ศักราช กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้นำของอิตาลีหลายพันปีให้หลังอย่าง Benito Mussolini ในปี 1934 หลังมุสโสลินีขึ้นมามีอำนาจเบ็ดเสร็จเขามองตัวเองเป็นร่างทรงของระบบจักรพรรดิในศตวรรษที่ 20 และต้องการนำอิตาลีกลับไปสู่วันวานแห่งความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันอีกครั้ง เขาหลงใหลในภาพลักษณ์เมืองหินอ่อนสีขาวและเริ่มสร้างสิ่งก่อสร้างมากมายในกรุงโรมเพื่อเชิดชูศิลปะแบบโรมัน
หนึ่งในสิ่งก่อสร้างซึ่งเป็นที่จดจำมากที่สุดในยุคมุสโสลินีคือเสาโอเบลิสก์หินอ่อนสีขาวล้วนทำจากหินอ่อนไวต์คาร์ราร่าจากแถบทัสคานีของอิตาลี และสลักชื่อของเขาต่อท้ายด้วยคำว่า dyx หมายถึงผู้นำ หินอ่อนที่ว่านี้มีสีขาวบริสุทธิ์เพราะมีแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นส่วนผสมมากถึง 98 เปอร์เซ็นต์
อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจคือการสร้างสนามกีฬาหินอ่อนสีขาวเพื่อเชิดชูความสามารถด้านการกีฬาของอาณาจักรโรมัน ภายในติดตั้งรูปปั้นถึง 59 ชิ้นเพื่อสื่อถึงจังหวัดต่างๆ ของอิตาลี รูปปั้นนักกีฬาเหล่านี้คือประชากรอิตาลีที่มุสโสลินีคาดหวัง พวกเขากำยำ แข็งแกร่ง และที่สำคัญคือ ‘มีผิวสีขาว’ ดังที่มุสโสลินีกล่าวถึงคนอิตาลีในสุนทรพจน์เมื่อปี 1935
“อิตาลีเป็นชาติแห่งบทกวี ศิลปะ วีรบุรุษ นักบุญ นักคิด นักวิทยาศาสตร์ นักสำรวจ และผู้ค้นพบ”
สำหรับผู้นำผู้ทะเยอะทะยานจนบ้าคลั่ง อะไรล่ะที่จะสื่อถึงชนชาติยิ่งใหญ่อย่างอิตาลีที่สืบเชื้อสายมาจากอาณาจักรโรมันได้ดีไปกว่าหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์
มาถึงตรงนี้ คำว่า ‘บริสุทธิ์’ อาจไม่ใช่คำจำกัดความที่ดีที่สุดสำหรับสีขาว
สีขาวแปดเปื้อนไปด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองในยุคหนึ่ง ถูกยกขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของการตื่นรู้ทางปัญญา และเคยถูกมองว่าเป็นของชนชั้นสูงเท่านั้น มีไว้สำหรับผู้เข้าใจศิลปะจนถูกนำมาล้อเลียนเสียดสี สีขาวของมุสโสลินีสื่อถึงคนอิตาลีตามอุดมคติ เป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม แต่เหมือนๆ กันไปหมด แถมเต็มไปด้วยข้อจำกัดและออกจะน่าอึดอัดด้วยซ้ำไป
เราได้เห็นพัฒนาการและเรื่องราวของสีขาวผ่านประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน สีที่ดูเหมือนจะว่างเปล่าแต่แฝงด้วยสีดำหรือเรื่องเลวร้ายในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะการได้มาซึ่งสีที่ขาวที่สุดที่จำเป็นต้องกำจัดและกีดกันสิ่งใดก็ตามที่สร้างรอยด่างให้หมดไป สีขาวคือเรื่องราวและภาพสะท้อนของความเป็นมนุษย์ มันเห็นแก่ตัว แบ่งแยก และเต็มไปด้วยอคติ แต่ก็มีมิติที่น่าศึกษา ค้นหา และที่สำคัญที่สุดคือน่าจดจำ
อ้างอิง
ซัตเทอร์แลนด์, จอห์น. วรรณกรรม: ประวัติศาสตร์เรื่องเล่าแห่งจินตนาการ. กรุงเทพฯ: บุ๊คสเคป, 2561. (273-276)