‘คุณพ่อเล่นเบส ลูกคนเล็กร้องนำ พี่คนโตดีดกีต้าร์ เพื่อนบ้านตีกลอง’
นี่เป็นคำจำกัดความที่ตรงไปตรงมาที่สุดของวงดนตรีอารมณ์อบอุ่นนามว่า Whatfalse ที่ประกอบเข้ากันด้วยสายใยแห่งครอบครัวและความผูกพัน
Whatfalse (วอทฟอลซ์) มีสมาชิก 4 คนด้วยกัน คุณพ่อหรั่ง–สุรางค์ จิตรศาลา (เบส) มาร์ค–สุรวัฒน์ จิตรศาลา (ร้องนำ, กีต้าร์, คีย์บอร์ด) ม่อน–สุรนารถ จิตรศาลา (กีต้าร์) และต้น–พิพัฒน์ ศิริอินทร์ (กลอง)
จุดเริ่มต้นของวงมาจากมาร์คในวัยเด็กที่บอกรักเสียงดนตรีผ่านการเล่นเปียโนตั้งแต่อายุ 7 ขวบ จนเกิดความหลงใหลในเสน่ห์ของบทเพลงจากศิลปินรุ่นราวคราวเดียวกับคุณพ่อ อย่าง วงชาตรี วงดิ อิมพอสสิเบิ้ล ทำให้เขาอยากจะมีเพลงแบบนั้นเป็นของตัวเองบ้าง จึงเริ่มทำเพลงคนเดียวเรื่อยมา จนรวมกันเป็นวง Whatfalse อย่างทุกวันนี้
นอกจากแนวเพลงที่เสริมความโดดเด่นให้กับวงแล้ว สิ่งที่ทำให้ Whatfalse มีความพิเศษกว่าวงดนตรีทั่วๆ ไปก็คงจะเป็นมือเบสข้าราชการบำนาญวัย 72 ปี อย่างคุณพ่อหรั่ง ผู้เรียกเสียงเพลงแห่งยุคนั้นมาให้กับวงอย่างไม่เคอะเขิน
“การที่พ่อเข้ามาร่วมวง ทำให้มันได้ความเป็นยุคนั้นเลยครับ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากเลยเพราะพ่อคือหนุ่มยุคนั้น เขารู้ดีกว่าเราด้วยซ้ำ” มาร์คกล่าว
เนื้อเพลงของพวกเขาเหมือนกำลังบอกเราให้มองความสุขและโศกอย่างเข้าอกเข้าใจอยู่เสมอ ฟังเสียงของความสุขทุกขนาดที่กำลังกระซิบเรียกและตกผลึกบางอย่างจากความเศร้าที่บางครั้งก็จำเป็น
Whatfalse หมายถึง ไม่มีอะไรผิด
ถ้าไม่เคยมีใครมองว่าความสุขที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ผิด ก็คงไม่ผิดหากความทุกข์จะเกิดขึ้นมาเหมือนกัน
Whatfalse หมายถึง ไม่มีอะไรผิด
เช่นกันกับการพูดคุยกับพวกเขาต่อไปนี้
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คุณอาจพบว่า “ความสุขไม่ยากนัก…ความรักไม่ยากเย็น”
Whatfalse เริ่มขึ้นมาได้อย่างไร
มาร์ค : จริงๆ ต้องย้อนไปสมัย ม.1 ตอนนั้นได้ฟังเพลง Imagine ของ John Lennon แล้วรู้สึกว่ามันกากๆ แต่พอโตขึ้นเราถึงรู้ว่ามันมีเสน่ห์ เขาตั้งใจให้เป็นแบบนั้น แล้วเราก็ชอบตั้งแต่นั้นมาจนเรียนมหาวิทยาลัย มันทำให้เราอยากมีเพลงแบบนั้นบ้าง เลยเริ่มจากทำเพลงคนเดียวก่อน ปัจจุบันก็รวมกันได้มากขึ้น
ต้น : เราโตมาด้วยกันครับ ผมรู้จักกับครอบครัวนี้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม มีอะไรก็เรียกใช้
ม่อน : ผมกับมาร์คเป็นพี่น้องกันอยู่แล้ว พอรู้ว่าเขาอยากทำเพลงก็เลยมาช่วย เราเรียนด้านดนตรีมาเหมือนกัน เรื่องทำเพลงผมก็พอทำได้บ้าง ส่วนเบสก็มาลงตัวที่พ่อนี่แหละครับ
มาร์ค : ผมเห็นแกเกษียณมาแล้วเบื่อๆ แกชอบนอน คงเป็นธรรมดาทั่วไปของคนสูงอายุน่ะครับ ผมเลยอยากหาอะไรให้แกทำบ้าง
คุณพ่อหรั่ง : เห็นลูกเล่นดนตรีเลยรู้สึกว่าช่วยอะไรได้ก็ช่วย เมื่อก่อนผมก็เป็นนักดนตรี ตอนนั้นเล่นไวโอลิน ผมไม่ค่อยถนัดเบส พอมาเล่นกับลูก บางครั้งต้องเขียนเป็นตัวโน้ตถึงจะเล่นได้ แบบโบราณๆ เหมือนถั่วงอก (ยิ้ม)
มาร์ค : (หัวเราะ)
มีกระบวนการทำเพลงอย่างไร
ม่อน : มาร์คจะเป็นคนดีไซน์ทุกอย่าง ส่วนผมเป็นคนปรับ แล้วจะมาจบที่พวกเราว่าจะเล่นแบบไหนถึงเป็น Whatfalse
คุณพ่อหรั่ง : ผมเลยต้องมาแกะเล่น ไอ้เราคนแก่มันก็ช้า แต่ทุกวันนี้อะไรมันเข้าที่ขึ้น เพราะว่าชักรู้ใจลูก รู้ทางเพลงแล้ว
ขัดแย้งกับคุณพ่อเรื่องการทำเพลงบ้างไหม
มาร์ค : เคยทะเลาะกันเหมือนกัน เพราะว่าเราใจร้อน เราไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เราเป็นวัยรุ่นน่ะ แล้วบางอย่างมันง่ายมากแต่พ่อเล่นไม่ได้สักที เราเลยยัวะ เสียงดัง แล้วก็ทะเลาะกัน
คุณพ่อหรั่ง : (หัวเราะ) อันนี้เรื่องจริงเลย
มาร์ค : บางคำพ่อเข้าใจแบบนี้ เราเข้าใจแบบนี้ พ่อไม่ฟังเรา เราก็ไม่ฟังพ่อ แต่สุดท้ายก็ต้องขอโทษเขา
เนื้อเพลงส่วนใหญ่แต่งขึ้นมาจากอะไร
มาร์ค : ส่วนใหญ่แต่งเพลงจากเรื่องของคนรอบข้าง จากรายการโทรทัศน์ที่ชอบดูหรือคอลัมน์ที่ชอบอ่าน เวลาเจอคำคม ผมจะชอบจดแล้วเอามาขยายความเป็นเนื้อเพลง
คุณพ่อหรั่ง : แม่เขาจะเป็นคนคอยบอกว่าเพลงนี้ยังไม่ดี ยังไม่โดน เพราะแม่เขาชอบเขียนกลอน เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนพอสมควรเลย อย่างเนื้อเพลงประจำโรงเรียนแถวนี้แม่ก็เขียน
เหมือนคุณแม่เป็นสมาชิกแฝงอีกคนหนึ่งเลย
มาร์ค : ใช่ครับ หลักๆ ครอบครัวฟังก่อน
คุณพ่อหรั่ง : บางทีเขาก็ถามน้าว่าเพลงนี้เป็นยังไง เรียกคนนู้นคนนี้มาฟัง
เพลงที่ดังที่สุดอย่างเพลง โดยปราศจากฉัน มีที่มาที่ไปอย่างไร
มาร์ค : เพลงนี้เขียนตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีสาม ช่วงนั้นรู้สึกว่าคนนู้นคนนี้หน้าตาดีกันเต็มไปหมดทำให้ใครก็อยากรู้จัก ส่วนคนหน้าตาอย่างเราและเพื่อนอีกหลายคนคงรู้สึกเคว้งคว้าง รู้สึกโชคร้าย โดนมองข้าม ผมเลยคิดวลีขึ้นมาในหัวว่า “เธอรักทุกอย่างแต่ไม่รักฉัน”
ม่อน : เพลงนี้มันม้ามืดมากเลยนะ ไม่คิดว่าหลายคนจะชอบ มีอยู่วันหนึ่ง ผมอยู่ที่ทำงานแล้วมีน้องที่ทำงานเปิดเพลงนี้ แล้วบอกว่า พี่รู้จักวงๆ นี้ไหม วงวอทเฟล…
มาร์ค : วอทเฟล (หัวเราะ)
ม่อน : เราก็ถามว่าทำไม น้องก็บอกว่าเพลงนี้กำลังดังเลย เพราะด้วย เรายิ้มในใจเลย
อัลบั้มที่ออกมา ทำไมถึงใช้ชื่อว่า เดิน (DERN)
มาร์ค : เดิน เป็นชื่อเพลงในอัลบั้ม เพลงนี้มันเหมือนชีวิตผม ผมว่าทุกอย่างต้องช้าๆ ช้าแต่ชัดน่ะครับ แล้วผมอยากให้เพลงเดินเป็นตัวแทนเพลงทั้งหมดในอัลบั้มด้วยและมันให้กำลังใจดีครับ
ทำไมถึงเลือกรูปนี้เป็นหน้าปกอัลบั้ม
มาร์ค : รถคันนี้มันเกิดพร้อมผมเลย มันส่งผมไปเรียนดนตรี เรียนนู่นเรียนนี่จนมีมันสมองในการคิดได้ มันเป็นรถแห่งความฝัน เลยอยากเหมือนเทิดทูนมันหน่อย บัดนี้มันก็ยังรับใช้เราอยู่นะ
คุณพ่อหรั่ง : ตอนนี้ก็ 26 ปีแล้ว
มาร์ค : ส่วนเด็กสองคนในปกก็เนี่ยครับ (ชี้นิ้วไปทางหน้าบ้าน) บ้านตรงข้ามเนี่ย (หัวเราะ) เลิกเรียนมาวิ่งเล่น เลยเรียกมาแล้วให้ตังค์สิบบาท
พอทำเพลงแบบยุคนั้น มีแฟนเพลงเป็นคุณลุงคุณป้ามาดูไหม
มาร์ค : ไม่มีมาดูครับ มีแต่มาคอมเมนต์บอกว่า ยายอายุมากแล้วยังฟังอยู่เลย อะไรอย่างนี้ แต่ไม่มีเคยเห็นไปโดดหน้าเวทีนะ (หัวเราะ) ไม่น่าจะไหวแล้ว
ม่อน : (หัวเราะ)
เริ่มต้นทำเพลงเพราะความชอบ ความอยากทำ แล้วพอมีคนมาชอบเยอะๆ มียอดวิวเยอะๆ รู้สึกอย่างไร
มาร์ค : เคยมีคนบอกว่ายอดวิวไม่ได้เป็นตัวบอกความสำเร็จ แต่มันก็มีความสุขในหัวใจที่มีคนฟังเราเยอะขนาดนี้
ม่อน : ผมรู้สึกดีตั้งแต่ยอดวิวหลักพันแล้ว แต่มาร์คจะมองว่าน้อย เราเคยพูดให้เขาฟังว่า ถ้าตอนเราเล่นแล้วมีคนมายืนดูเราเป็นพันๆ คน จะรู้สึกยังไง ก็อยากบอกกลายๆ ว่าอย่าไปซีเรียสกับยอดวิวมาก
คุณพ่อภูมิใจในวงของลูกไหม
คุณพ่อหรั่ง : ภูมิใจครับ ภูมิใจมากๆ ด้วย เราเองเล่นดนตรีมาตั้งนาน ไม่เคยมีไอเดียที่จะทำวงแบบนี้เลย สมัยนั้นแค่ไปเป็นแบ็กอัพให้ชาวบ้านเขา พาแม่เขาไปด้วยตามร้านอาหารตามโรงแรม ทำเพื่อลูกทั้งนั้นแหละ หวังหาเงินเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้า ตอนนั้นก็พอจะส่งลูกเรียนได้ แล้วพอสร้างฐานะมา ก็เคยบอกเขาไว้ว่า ถ้ารักจะเรียนดนตรี ต้องเอาจริง เคยทดสอบเขาด้วยนะ รอเวลาสามสี่ปีแล้วบอกว่าจะไม่ให้ไปเรียนดนตรีแล้ว โห เขาร้องไห้ทันทีเลย เราก็เลยซื้อเปียโนให้
เป็นการทดสอบ
คุณพ่อหรั่ง : ใช่ๆ เพราะตอนนั้นเราไม่ใช่คนมีเงิน เป็นข้าราชการตัวเล็กๆ เงินเดือนไม่กี่ตังค์หรอกลูก ต้องส่งเขาเรียน ต้องซื้อของ แต่ตอนนี้มาถูกทางแล้วก็โอเค เราเคยนั่งคุยกับแม่เขาว่า เนี่ยลูกเราเก่งนะ อัดเพลงเอง ทำเองได้หมด สากกะเบือยันเรือรบเขาทำได้หมดแล้ว อยู่ในห้อง ขลุกอยู่คนเดียว แล้วพอทำเสร็จก็เรียกให้พ่อมาฟัง ก็เลยคิดนะว่า น้อยคนนะที่จะทำได้อย่างลูกเรา
ผมพูดให้เขาฟังอยู่เรื่อยๆ ว่าคนเรานั้นมีชีวิตอยู่เนี่ย ความตายไม่ได้ไกลตัว อยากทำอะไรที่รักที่ชอบก็รีบทำ ทำในสิ่งที่เราฝัน ทำไปเถอะลูก เราทำแล้วมีความสุขแค่นี้ก็พอแล้วลูก พ่อสนับสนุนอะไรได้ก็สนับสนุน พอมีรายได้อะไรพออยู่ได้ อยู่บ้านนอกด้วย รายจ่ายเลยไม่สูง อยู่กับพ่อกับแม่ ทุกวันนี้ก็มีความสุขกับดนตรีเพราะผมเลี้ยงลูกมาด้วยดนตรี
มาร์ค : ผมว่าความสุขน่าจะสำคัญที่สุดในยุคนี้นะ เพราะมันเป็นยุคที่ทุกอย่างเยอะ ทุกคนทันกันหมด ผมว่าถ้าไม่มีความสุข ก็เครียดตายเลย
ถ้าในอนาคต มีลูกแล้วลูกมีวงดนตรีจะเล่นกับลูกไหม
มาร์ค : เล่นแน่นอน ถ้าลูกให้เล่นนะครับ (ยิ้ม)
4 บทเพลงที่ Whatfalse อยากแนะนำให้ฟัง
ความสุขไม่ยากนัก ความรักไม่ยากเย็น
คุณพ่อหรั่ง : เราไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน จนลูกมาเขียนเพลงนี้ ความสุขมันไม่ได้อยู่กับเรานาน ความทุกข์ก็ไม่ได้อยู่กับเรานาน มันคือสัจธรรม เราคนแก่เราชอบแบบนี้
เมื่อไหร่
ม่อน : เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่น้องส่งมาให้ช่วยทำ ตอนนั้นผมอยู่กรุงเทพฯ เป็นเพลงที่เริ่มต้นความเป็น Whatfalse ด้วย
โดยปราศจากฉัน
มาร์ค : มีพี่ที่ผมเคารพรักคนหนึ่ง เขาทำงานในวงการเพลงเลย เขาบอกว่าฟังแล้วเขาไม่ได้รู้สึกหวือหวาหรอกนะ แต่รู้สึกว่ามันจะอยู่ได้นาน ถ้าย้อนกลับไปผมว่าผมทำไม่ได้แล้ว ช่วงเวลานั้นมันคือจังหวะที่ถูกต้อง มันลงตัวในแบบของมัน
คนใจขม
ต้น : มันตรงกับชีวิต เจอผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนสวย แต่พอคุยด้วยแล้วเหมือนไม่โดนใจอะครับ รู้สึกอินกับเพลงนี้ แล้วก็เป็นเพลงแรกที่ได้อัดกับวงด้วย