Solitude is Bliss : เขียนเพลงผ่านความรู้สึกที่คุกรุ่นไปด้วยความสัมพันธ์ของมนุษย์

ย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อน เราคือหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบเพลงของพวกเขา ตั้งแต่ซิงเกิลแรกของวงดนตรีที่แทบไม่มีคนรู้จักและมีชื่อออกเสียงยากอย่าง Solitude is Bliss ถูกปล่อยบนแชนเนลยูทูบ มีรูปปกเป็นชายเปล่าเปลือยโชว์ตูด (ต้องใช้คำว่าตูดจริงๆ เพราะภาพนี้ทำให้หลายคนเรียกวงดนตรีน้องใหม่นี้ว่า วงตูด)

บทเพลงแจ้งเกิดชื่อ 04.00 A.M. ที่มาพร้อมภาพชายเปลือย ใส่รองเท้าวิ่งทะยานไปข้างหน้า เนื้อหาและดนตรีดูเหมือนจะบดขยี้ความร้าวรานของมนุษย์ผู้ล้มเหลวในความสัมพันธ์ให้แหลกกันไปข้าง แต่เมื่อเพลงจบลง มันกลับเป็นเรื่องเล่าความสัมพันธ์ที่ซื่อตรงที่สุด จริงใจที่สุด และบริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะรู้สึกได้ คล้ายกับน้ำตาที่ไหลไปเมื่อครู่ได้หยุดลงและปรากฏเป็นรอยยิ้มที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจในความสัมพันธ์ที่ไม่กล่าวโทษสิ่งใดในบทเพลงเมื่อครู่

เรากลับไปไล่เรียงฟังผลงานเพลงของพวกเขาทั้งสองอัลบั้มคือ Montage และ Her Social Anxiety จนถึงซิงเกิลล่าสุด Lost in Jane และย้อนกลับมาตั้งคำถาม ก่อนจะชักชวนพวกเขามากะเทาะแนวคิดในการเขียนเพลงที่มีความหลากหลายของเรื่องเล่า ตั้งแต่ในเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ ชนชั้น ยันเรื่องการเมือง ว่าสิ่งใดกันที่ทำงานกับความรู้สึกของพวกเขา จนสะท้อนออกมาผ่านบทเพลงที่เต็มไปด้วยร่องรอยของสัญญะที่ต้องใช้ความกล้าหาญในการเล่าเรื่องไม่น้อย

วันนี้เราพูดได้อย่างเต็มปากว่า Solitude is Bliss วงดนตรีจากเมืองเชียงใหม่ที่ไม่ต้องการจำกัดแนวเพลงของชายหนุ่มทั้ง 5 เฟนเดอร์-ธนพล จูมคำมูล, เบียร์-เศรษฐกิจ สิทธิ, โด่ง-จอมยุทธ์ วงษ์โต, ปอนด์-ทรงพล แก้ววงศ์วาร และ แฟรงค์-ศรัณย์ ดลพิพัฒน์พงศ์ ได้เติบโตไปในแบบที่ควรจะเป็น พวกเขาคือมนุษย์ตัวเล็กๆ ในสังคมที่อยากส่งเสียงของหนุ่มสาวไปสู่ผู้คน สู่ความไม่เป็นเหตุเป็นผลและความผิดเพี้ยนนานาประการในประเทศนี้ ผ่านบทเพลงที่จะก้องดังในโสตประสาทของผู้ที่มีความเชื่อและความหวัง

กว่าจะมารวมตัวกันทำเพลง

ความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่าย พวกเขาต้องเผชิญความกลัวและต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสร้างตัวตนและผลงานจากสิ่งที่เชื่อ แล้วอะไรยึดเหนี่ยวพวกเขาไว้ในเส้นทางดนตรีที่เริ่มจากศูนย์

“มันเหมือนเป็นเรื่องมหัศจรรย์ แต่ก็มีความ make sense อยู่ หลายคนบอกว่าพวกเราโชคดีที่มีเพื่อนร่วมวงเก่งทุกคน แต่พอคิดไปคิดมา มันเกิดจากทุกคนชัดเจนในตัวเองก่อน ถ้าเราชอบแล้วชัดในตัวเอง ทำมันจริงจัง อย่างไรคนที่จริงจังเหมือนเราก็จะเห็นเหมือนกัน เหมือนผีเห็นผี จักรวาลในหมู่ผี ทุกคนอยากมีงาน อยากมีอัลบั้มของตัวเอง บางคนลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำตรงนี้ บางคนเลือกที่จะไม่เรียนต่อ ทุกอย่างมีค่าเสียโอกาสหมด พวกเราเรียกมันว่าความกล้า กล้าที่จะตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง”

เขียนเพลงที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ไปจนถึงเรื่องการเมือง

“Solitude is Bliss อยากเล่าเรื่องในแต่ละความสัมพันธ์ของมนุษย์ สังเกตว่าเราก็จะมีเพลง 2 พาร์ต คือเพลงที่พูดถึงเรื่องการเมืองกับอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน ความสัมพันธ์ที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกอย่างเดียวนะ เป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ด้วยกันมากกว่า เราเป็นแค่นักแคปเจอร์ นักบันทึกที่เอากล้องไปสโคปมุมนั้นมุมนี้ แล้วนำมาหยิบโยงให้เป็นเรื่องเป็นราวตามเซนส์ของเราเอง ไม่ว่าจะเรื่องความสัมพันธ์หลายๆ รูปแบบ ชนชั้น สังคม การเมืองที่พวกผมนำมาเล่า ทั้งหมดมันเป็นเน็ตเวิร์กที่เชื่อมกันและส่งแรงกระเพื่อมต่อกันตลอดเวลา”

แรงกระเพื่อมที่ทำให้ต้องออกมาเขียนเพลงที่พูดถึงเรื่องการเมือง

“อาชีพของเรามักเป็นด่านหน้าของสังคม เวลาเกิดเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจหรือสังคม อาชีพในหมวดหมู่ความบันเทิงก็จะโดนผลกระทบก่อนเลย มันเข้มข้นขึ้นจากการเกิดปฏิวัติเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พูดตรงๆ คือ นอกจากทำเพลงแล้ว พวกเรายังทำงานเป็นศิลปินกลางคืนกันทุกคน ช่วงนั้นงานก็ดรอป รายได้น้อยลง พอเพลงที่เราแต่งมันดัน impact กับหลายๆ คนที่เจอเหตุการณ์เดียวกัน เรื่องนี้เลยเป็นประเด็นที่ทำให้วงเราเป็นที่รู้จัก

“หลายๆ คนเลยมองว่าเราเป็นวงดนตรีการเมือง แต่ Solitude is Bliss ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการโจมตีทางการเมืองนะ เราเป็นสัญญะของตัวตนพวกเราเอง เรามีความรู้สึก อยากบ่น อยากเล่า โดยใช้วรรณศิลป์ของเพลงเป็นสื่อเท่านั้น

รู้สึกกับสิ่งไหนก็หยิบสิ่งนั้นมาเขียนเพลง


เฟนเดอร์ :
“ถ้ามองจากผิวๆ ก็จะเหมือนกับว่าพวกเราหยิบเอาปมปัญหาของสังคมมาเล่า แต่ความจริงแล้วมันเป็นปมของเราล้วนๆ เลยที่ขยายออกมาให้เป็นเนื้อความที่ universal อย่างเช่นเพลง กระดาษ ที่ผมแต่ง ตอนนั้นเกิดจากความไม่เข้าใจพี่สาว ตอนนั้นเราอายุยังน้อย ไม่เข้าใจเขา เราอยากด่าเขาแต่ไม่อยากด่าตรงๆ โต้งๆ แบบคนโง่หรือคนหัวฟัดหัวเหวี่ยง เราเลยพยายามเขียนให้เป็นวรรณศิลป์ ให้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ด่าให้มันเป็นเรื่องเป็นราวว่างั้นเถอะ (หัวเราะ)”

ความทุกข์ทางความคิดที่พวกเขาอยากเล่าให้ฟัง

“พวกเราคิดว่า จุดร่วมของยุคสมัยคือความไม่เท่ากันของคนแต่ละเจเนอเรชั่น เราอาจจะไม่ได้ take action มากเท่าคนยุคก่อน แต่เรารับข้อมูลเยอะกว่า เราเห็นความแตกต่างเยอะกว่า เพราะฉะนั้น ‘ความทุกข์ทางความคิด’ มันเลยเยอะ อาจจะเป็นทั้งข้อมูลเกี่ยวกับระบบนั่นระบบนี่ หรือว่าเรื่องรสนิยม อันนี้เลยเป็นส่วนหนึ่งที่บีบให้เราต้องทำอะไรสักอย่างให้ได้เป็นชิ้นเป็นอัน ต้องแสดงให้สังคมเห็นว่าเรามีเรื่องที่จะมาพูด

“มันมีทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้วที่บอกว่า เด็กรุ่นใหม่ไม่เอางานเอาการ ไม่อดทน เรื่องนี้ก็บ่น เรื่องนู้นก็บ่น ถ้าพูดตามตรง เราค่อนข้างจะอยู่ในแรงกดดันของคนรุ่นก่อน แต่ ณ เวลานี้ พวกเขาเริ่มจะมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับเด็กรุ่นใหม่ เราเลยอยากจะแสดงให้เห็นว่า ไอ้ที่เราบ่นมันมีเหตุมีผลของมันอยู่นะ”

ความเสี่ยงที่จะมีการงัดข้อกับความอยากที่จะเล่า

“ผลกระทบจากเรื่องที่เราเล่าออกไป ไม่ว่าจะเรื่องความสัมพันธ์หรือการเมือง เราปล่อยให้มันเป็น side effect แต่ส่วนตัวของพวกเราเอง เราเคยอินเรื่องการเมืองและคาดหวังว่าตัวเองจะมีส่วนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ในแง่งานเพลงอย่างเดียว แต่เราพยายามจะหาว่า เราจะยืนอยู่บนชีวิตที่ต้องทำงานแบบนี้และคาดหวังกับตัวตนของตัวเองในแบบไหนที่มันจะแฟร์ๆ กับความเปลี่ยนแปลงที่อยากจะเห็น

“การเล่าเรื่องของเราในบางเพลง แน่นอนมันมีความเสี่ยง แต่มันเกิดจากความรู้สึกที่ว่ามันไม่มีอะไรจะเสีย พูดก็เสีย ไม่พูดก็เสีย เพราะฉะนั้นพูดให้มันเกิดความเสี่ยงขึ้นมา มันก็ยังมีทางเลือกและมีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นมากกว่าไม่ทำอะไรเลย”

5 บทเพลงที่ทำงานกับความรู้สึกของชายหนุ่มทั้ง 5

01

04.00 A.M.

เธอกลับมาอีกครั้ง ในวันที่ฉันลืมแล้วทุกสิ่ง ที่เคยเกิดขึ้นกับเรา

เบียร์ : “ในฐานะที่ผมเขียนเพลงนี้ ผมไม่สามารถกลับไปทำแบบนั้นได้อีก มันเหมือนน้ำใสสะอาดที่ไม่มีไอเดียอะไรเลยเข้าไปเจือปน มันเกิดจากอารมณ์ในสภาวะตรงนั้นจริงๆ เกิดจากความธรรมชาติที่สุดของคำที่ออกมาจากความรู้สึก เป็นเพลงแรกและเพลงเดียวที่ผมทำให้มันเกิดขึ้นแบบนั้น อารมณ์ของเพลงค่อนข้างจะใกล้เคียงกับความเป็นมนุษย์ เป็นเพลงที่จะเศร้าสุดๆ ก็ไม่ใช่ จะโฟล์กเบาๆ ก็ไม่ใช่ จะใสและมีความหวังก็ไม่ใช่ มันก็เศร้าอยู่ดี เหมือนคนๆ หนึ่งที่กำลังอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างความคิดและความหวังในชีวิตของตัวเอง”


02

กระดาษ

จบเสียที บุคคลที่โลกรอ จบเสียที บุคคลที่เรารอ

เฟนเดอร์ : “ผมชอบเพลง กระดาษ เพราะแต่งออกมาจากความรู้สึกจริงๆ แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามันคือ the best นะ เราชอบในความเป็นมัน ชอบในความที่เนื้อเพลงมันไหลพรั่งพรูออกมาจากความคิด ความรู้สึกที่แท้จริง ณ ช่วงเวลานั้น”


03

Vintage Pic

ภาพที่ทำให้ฉันไม่รับไม่รู้ถึงวันเวลา ภาพที่ทำให้ฉันอ่อนวัยและลืมแม้กลิ่นสุรา

โด่ง : “เพลงนี้เคยทำผมน้ำตาไหล เล่นเองก็น้ำตาไหล ได้ยินซาวนด์แบบนี้แล้วมันร้องไห้ ทั้งอารมณ์เพลง เนื้อเพลงที่พูดถึงความถวิลหาวัยเด็ก วัยที่เรามองหาแต่ความสนุก ความตื่นเต้น เมื่อยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกนั้นมันยิ่งหายไปเรื่อยๆ มันเป็นความเหนื่อยล้าของการที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบของวัย มีภาระ มีความกดดันเยอะ เพลงนี้จึงทำให้เรารู้สึกอยากวาร์ปไปในบรรยากาศแบบนั้น บรรยากาศเมื่อก่อนที่กลับไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่น่าเศร้า”


04

ใหม่ซ้ำเดิม

หากจะรักอะไรสักสิ่ง หากจะทิ้งอะไรสักอย่าง

ปอนด์ : “เราฟังตั้งแต่เวอร์ชั่นเดโมที่เฟนเดอร์เขียนเพลงและอัดไว้ตั้งแต่เป็นแค่เสียงกีตาร์โปร่ง แถมเฟนเดอร์เล่นสดเพลงนี้บ่อยมากก็เลยติดหู เพลงนี้ฟังท่อนไหนก็เข้าตัวเองเสียหมด เหมือนกับว่าทำไมชีวิตถึงต้องทำอะไรเหมือนเดิมซ้ำๆ อยู่ทุกวัน แม้จะพยายามทำเรื่องใหม่ แต่มันก็ยังไม่ใหม่ ยังคงวนลูปเดิมไปเรื่อยๆ”

เฟนเดอร์ : “เพลงนี้ผมเขียนโดยเริ่มจากประโยคเดียวก่อน ‘หากจะรักอะไรสักสิ่ง หากจะทิ้งอะไรสักอย่าง’ เราก็คิดเงื่อนไขต่อไปว่า แล้วถ้าหากจะรักอะไรสักสิ่ง จะทิ้งอะไรซักอย่าง เราจะทำอะไร มันเกิดมาจากอะไร สรุปว่าก็หาไม่เจอ ต่อมาเนื้อเพลงจะบอกว่า ‘หนึ่งวันผ่านไป’ อ้าว! ผ่านไปอีกวันมันก็ยังวนอยู่ที่เดิม สรุปคือมันเป็นเพลงลูป แต่เราก็อยากตบท้ายมันด้วยการคอนเฟิร์มว่า สิ่งที่มันเป็นลูป สุดท้ายมันก็เดินไปข้างหน้าอยู่ดี ถึงแม้ฟอร์มของชีวิตมันอาจจะวนลูปไปมา อย่างไรเสีย ชีวิตมันก็เดินไปข้างหน้าอยู่ดี แทนที่จะฝังอยู่กับความผิดพลาดหรือลูปที่ซ้ำเดิม เราก็เปลี่ยนมาโฟกัสกับลูปใหม่ๆ ที่มันเปลี่ยนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ แล้วเราจะสามารถคอนโทรลชีวิตได้ดีขึ้นด้วยการโฟกัสอยู่กับปัจจุบัน”


05

ย้ายรัง

ฉันจะมีเงินทองมากมายมากองเพื่อสิ่งใดกัน
ฉันจะมีเงินทองมากมายมากองเพื่อสิ่งใดกัน เขาบอกฉันต้องมีเงินทองมากพอที่จะย้ายรัง

เบียร์ : “ผมแต่งเพลงนี้โดยยืนพื้นจากเรื่องความจนก่อนเลย ซึ่งก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจนหรอกเพราะจนอยู่แล้ว (หัวเราะ) ตอนนั้นเป็นช่วงที่เกิดการรัฐประหารพอดี แล้วมีคนมาพูดกับแฟนเก่าเราว่า ‘ช่วงนี้ต้องเก็บเงินเยอะๆ นะ แล้วย้ายไปอยู่ต่างประเทศซะ’ เหมือนสัญญาณบอกเราว่าประเทศเริ่มจะไม่โอเคแล้วนะ ตอนนั้นเราเลยได้แรงบันดาลใจในการเขียนเพลงนี้ขึ้นมา โดยมองอนาคตผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองและพื้นฐานของสังคมที่เป็นอยู่ในขณะนั้น”

แฟรงค์ : “มีช่วงหนึ่งที่เราได้ไปใช้ชีวิตที่อเมริกา เพื่อนก็ดันแต่งเพลงนี้ขึ้นมาพอดี เราชอบเพลงนี้เพราะมันจริงดี จริงตรงที่เพลงนี้ทำให้เรารู้สึกว่า ยิ่งอยู่เมืองนอกนานเท่าไร เมืองไทยก็ยิ่งเส็งเคร็งมากขึ้นเท่านั้น แต่ก็รู้นะว่าเราไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงอะไรในประเทศนี้ได้สักเท่าไร และก็ไม่รู้อีกว่าต้องจมอยู่กับมันอีกนานแค่ไหน เพลง ย้ายรัง ทำให้เรารู้สึกถึงความจริงในข้อนี้ที่เราทุกคนกำลังเผชิญอยู่”

Facebook | Solitude is Bliss

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

นิติพงษ์ การดี

ช่างภาพเจ้าของเพจ Rename. ที่ลงงานปีละครั้ง และมีความคิดว่า ถ้าได้กินกาแฟในตอนเช้าหนึ่งแก้ว ถือว่าวันนั้นเป็นวันที่ดี