ในโลกของแฟชั่นถ้าเราพูดถึงแบรนด์เสื้อผ้าฝั่งญี่ปุ่น สิ่งหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกคือคุณภาพและความพิถีพิถันในรายละเอียดต่างๆ มากมายอย่างคาดไม่ถึง และถ้าพูดถึงแบรนด์ญี่ปุ่นในโลกของสตรีทแฟชั่นที่มี craftsmanship ระดับสุดยอด หนึ่งในแบรนด์ที่ทุกคนรู้จักกันดีและให้การยอมรับอย่างไม่มีข้อสงสัยก็คือ VISVIM
VISVIM คือแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับว่ามี craftsmanship ในระดับที่เรียกว่า Artisan ทำให้สินค้าของ VISVIM นั้นเป็นเหมือนชิ้นงานศิลปะ ปัจจุบัน VISVIM ได้ก้าวข้ามความเป็นแบรนด์เสื้อผ้าไปสู่การนำเสนอไลฟ์สไตล์และปรัชญาการใช้ชีวิตที่ลึกซึ้งผ่านเสื้อผ้าต่างๆ ที่สรรค์สร้างขึ้นมาด้วยฝีมือของชายผู้ก่อตั้งที่ชื่อ Hiroki Nakamura
ฮิโรกิ นากามูระ เกิดที่เมืองโคฟูและเติบโตที่เมืองโตเกียว สมัยยังเป็นนักเรียนพ่อแม่ของนากามูระได้ส่งเสริมให้ตัวเขาได้ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศที่อลาสกา ซึ่งขณะที่อยู่ที่นั่นเขาใช้เวลาว่างระหว่างเรียนไปกับกิจกรรมเอาต์ดอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแคมป์ปิ้งหรือสโนว์บอร์ด แม้กระทั่งการนั่งเฝ้าดูพฤติกรรมของวาฬ ระหว่างที่อยู่ที่นั่นนากามูระได้เดินทางไปทั่วตอนเหนือฝั่งตะวันตกของอลาสกาและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชนเผ่าพื้นเมืองกลุ่มต่างๆ ซึ่งทำให้เขาซึมซับปรัชญาและวัฒนธรรมการใช้ชีวิตต่างๆ ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับชนเผ่าอินเดียพื้นเมืองมาตั้งแต่สมัยเด็กตอนได้ดูภาพยนตร์ตะวันตกมาแล้วก็ตาม แต่การใช้ชีวิตในอลาสกาช่วงนั้นได้ตอกย้ำความหลงใหลดังกล่าวให้ชัดเจนมากขึ้นไปอีก
หลังจากกลับมาญี่ปุ่น ด้วยความที่นากามูระชื่นชอบกีฬาสโนว์บอร์ดเป็นอย่างมาก ทำให้ตัวเขาเองมีโอกาสเข้าทำงานในแผนกออกแบบผลิตภัณฑ์ของบริษัท Burton Snowboards และทำงานที่นั่นถึง 8 ปี ซึ่งในระหว่างนั้น จากทุกๆ ทริปที่เขาได้ร่วมเดินทางไปหาประสบการณ์กับทางทีมของ Burton Snowboards ทั่วอเมริกา และด้วยความที่ตัวเขาเองหลงใหลในวัฒนธรรมแทบจะทุกอย่างของอเมริกัน โดยเฉพาะของวินเทจต่างๆ ที่มีคุณภาพคงทนยาวนานและเริ่มสะสมไม่ว่าจะเป็นยีนส์ Levi’s หรือรองเท้าบูตยี่ห้อ Red Wing Shoes รวมทั้งรองเท้า Moccasin (รองเท้าที่ทำจากหนังกวางหรือหนังสัตว์ต่างๆ ของชนพื้นเมืองอินเดีย) ได้ช่วยขัดเกลาและหล่อหลอมมุมมองที่มีต่อการออกแบบ
เขาเรียนรู้เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งเรื่องการเลือกใช้วัสดุประเภทต่างๆ ที่เหมาะสมกับการใช้งานนั้นๆ ประกอบกับการศึกษาถึงที่มาที่ไปของของสะสมวินเทจที่มีการเลือกใช้วัสดุคุณภาพดีและมีอายุการใช้งานที่ยืนยาว ซึ่งทั้งสองสิ่งหล่อหลอมให้นากามูระตัดสินใจเริ่มต้นสร้างแบรนด์ของตัวเองชื่อ VISVIM ในเวลาต่อมา
VISVIM ก่อตั้งขึ้นในปี 2001 ซึ่งชื่อ VISVIM นั้น ตัวนากามูระเลือกใช้ตัวอักษร V ขึ้นต้น เพราะความชอบในรูปทรงของตัวอักษร ก่อนที่จะเลือกคำศัพท์ 2 คำประกอบไปด้วย VIS และ VIM จากพจนานุกรมภาษาละติน ซึ่งทั้งสองคำมีความหมายถึง ‘พลัง’
VISVIM เริ่มต้นจากการเป็นแบรนด์รองเท้า โดยนากามูระออกแบบรองเท้าที่มีชื่อรุ่นว่า FBT ซึ่งต่อมากลายเป็นรองเท้าที่ทำให้ทุกคนรู้จักแบรนด์ของเขา โดยชื่อ FBT นั้นนากามูระได้แรงบันดาลใจในการตั้งชื่อมาจากคำแนะนำของ Hiroshi Fujiwara ที่แนะนำให้เขารู้จักวงนิวเวฟของอังกฤษที่ชื่อ Fun Boy Three ซึ่งหนึ่งในนักร้องของวงที่ชื่อ Terry Hall ใส่รองเท้า Moccasin ในปกอัลบั้ม The Best of Fun Boy Three เจ้าตัวจึงนำตัวอักษรแรกของวงมาใช้ตั้งชื่อรองเท้า FBT โดยรองเท้าคู่นี้เป็นรองเท้า hybrid sneaker ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรองเท้า Moccasin ของชนเผ่าอินเดียนที่เจ้าตัวชื่นชอบและสะสม แต่เปลี่ยนพื้นหนังไปเป็นพื้นรองเท้ากีฬาที่ทำมาจากโฟม EVA Phylon พร้อมกับส่วนซัพพอร์ตข้อเท้าและพื้นรองด้านในแบบรองเท้ากีฬา ด้วยคอนเซปต์ง่ายๆ ที่ยังคงรักษาและความเคารพต่อแบบฉบับดั้งเดิม แต่ดีไซน์ให้มีความโมเดิร์นด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันที่สามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน และนั่นทำให้รองเท้ารุ่น FBT กลายเป็นรองเท้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดของแบรนด์มาถึงปัจจุบัน
หลังจากประสบความสำเร็จกับรองเท้า นากามูระเริ่มแตกไลน์สินค้าไปยังเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายในปี 2005 โดยในช่วงเริ่มต้นเจ้าตัวได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากชุดยูนิฟอร์มของทหารรูปแบบต่างๆ แต่มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ถูกดีไซน์ในแบบของ technical wear จากประสบการณ์การทำงานสมัยที่เจ้าตัวยังทำอยู่ที่ Burton Snowboards และอัพเดตวัสดุประเภทใหม่ๆ อย่างเช่น การเลือกใช้เทคโนโลยีผ้ากันน้ำอย่าง Gore-Tex กับบรรดาเสื้อแจ็กเก็ตรุ่นต่างๆ หรือการเลือกใช้ Ballistic Nylon จาก Cordura (แบรนด์ที่ผลิตผ้าไนลอนถักที่มีความคงทนแข็งแรงและนิยมใช้ในการผลิตอุปกรณ์ต่างๆ ทางการทหารและอื่นๆ) การควบรวมความคลาสสิกในสไตล์อเมริกันวินเทจเข้ากับวัสดุและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เสื้อผ้าและแอสเซสเซอรีของ VISVIM นั้นกลายเป็นแบรนด์ modern utility wear ที่น่าสนใจและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
VISVIM นั้นยังถูกจัดอยู่ในหมวดของแบรนด์สตรีทแวร์ แต่แนวทางของแบรนด์นั้นก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไปในแนวทางที่วางเอาไว้ จนกระทั่งในช่วงปลายปี 2000 ที่นากามูระวางคอนเซปต์ของแบรนด์ไปเป็น ‘Future Vintage’ โดยยังคงให้ความเคารพต่อต้นฉบับในอดีต แต่เลือกใช้วัสดุสมัยใหม่ผสมผสานในการออกแบบ
นากามูระให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร GQ ในปี 2013 ว่า ตัวเขาเองเลือกจะมีของเพียงชิ้นเดียวที่สามารถใช้งานได้ยาวนานจนสุดอายุขัยของมันมากกว่าเน้นเรื่องจำนวน ตัวเขาเองพยายามทดลองและค้นหาวัตถุดิบที่มีเทคนิคในการผลิตในแบบต้นฉบับดั้งเดิมแท้ๆ และเลือกผลิตด้วยงานฝีมือจากช่างทำมือระดับสูงมากกว่าจากโรงงานอุตสาหกรรม นั่นจึงเป็นคำตอบว่าทำไมสินค้าของ VISVIM จึงมีราคาสูงมาก
สิ่งที่เขาคิดและพยายามทำคือ แทนที่จะซื้อเสื้อแจ็กเก็ต 5 ตัว ทำไมไม่ซื้อแจ็กเก็ตเพียงตัวเดียวแต่สามารถใช้งานไปได้ตลอด เขาต้องการสร้างสรรค์สินค้าที่ไร้กาลเวลาและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานจนวันหนึ่งมันจะกลายเป็นของวินเทจในอนาคตนั่นเอง นั่นจึงเป็นที่มาของคอนเซปต์ Future Vintage
ตัวอย่างที่พอจะเห็นภาพได้ชัดคือ Denim Line ชื่อ Social Sculpture ที่เปิดตัวในปี 2005 ซึ่งเป็นยีนส์เดนิมที่ถักขึ้นมาจากด้ายย้อมพิเศษที่เห็นได้ในยีนส์ยุคเก่าโดยเฉพาะในช่วงยุค 30s-40s แต่ทรงกางเกงเป็นแบบปัจจุบันที่มีทั้งเนื้อผ้าดิบในสไตล์ญี่ปุ่นหรือผ้าฟอกด้วยมือ หรือไลน์รองเท้า FOLK Series ในปี 2008 ที่เลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติและมีโครงสร้างรองเท้าในสไตล์มินิมอล ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากการที่เจ้าตัวเดินทางไปเยือนเมือง Lapland ประเทศฟินแลนด์ และพบกับรองเท้าทำมือของชนเผ่า Sami ที่ผลิตจากหนังของกวางเรนเดียร์และมีความนุ่มสบายเป็นอย่างมาก นากามูระจึงนำวัสดุและดีไซน์ดังกล่าวมาตีความใหม่ในไลน์รองเท้าซีรีส์นี้
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่นากามูระให้ความสำคัญเป็นอย่างมากก็คือ รองเท้าของ VISVIM จะต้องใส่สบายจนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่ถุงเท้าก็ได้ ความพิเศษอีกหนึ่งอย่างของ VISVIM ที่กลายเป็นคาแร็กเตอร์ที่สำคัญของแบรนด์ก็คือ การย้อมสีต่างๆ ด้วยสีที่มาจากธรรมชาติแท้ๆ นากามูระเลือกใช้วิธีการย้อมสีแบบโบราณดั้งเดิมที่สกัดมาจากต้นไม้ ยกตัวอย่างเช่น การย้อมผ้าด้วยดินโคลนซึ่งในสมัยโบราณนิยมใช้ย้อมผ้ากิโมโน และนำมาใช้ในการทำเสื้อแจ็กเก็ตเพื่อทำให้เกิดเอฟเฟกต์หลังจากที่สวมใส่ไประยะเวลาหนึ่ง หรือการเลือกใช้สีแดงที่ได้มาจากแมลงเต่าทอง รวมไปถึงการย้อมสีครามน้ำเงินด้วยกรรมวิธีแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมีความไม่สม่ำเสมอและมีเฉดสีที่แตกต่างกันออกไปแทบทุกครั้ง ซึ่งนากามูระให้เหตุผลว่า กรรมวิธีดังกล่าวนั้นไม่สามารถที่จะคาดเดาถึงผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบได้ แต่นั่นแหละที่มันสร้างคาแร็กเตอร์พิเศษให้กับแบรนด์ของเขา
การใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ ของนากามูระยังลงลึกมากขึ้นไปอีก เช่น การเลือกใช้ฝ้ายคอตตอนจากอียิปต์ (Egytian Giza Cotton) ที่ว่ากันว่ามีคุณภาพคงทนและดีที่สุดในโลกในการผลิตเสื้อยืด หรือการเลือกใช้ Sea Island Cotton ที่ถือได้ว่าเป็นฝ้ายคอตตอนคุณภาพสูงที่สุดและหายากที่สุดในโลก (นากามูระใช้เวลากว่า 5 ปีในการยื่นเรื่องขออนุญาตจากคณะกรรมการคุ้มครอง ก่อนจะได้รับอนุญาตให้ใช้คอตตอนดังกล่าวกับเสื้อผ้าของ VISVIM ซึ่งคอตตอนชนิดนี้ถูกผูกขาดและสงวนเอาไว้เฉพาะผู้ผลิตเสื้อเชิ้ตและเสื้อโปโลชั้นสูงจากย่าน Jerymyn Street ในอังกฤษเท่านั้น) หรือการผลิตเสื้อสเวตเตอร์ถักที่ใช้ด้ายย้อมครามในแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมและส่งต่อไปถักขึ้นรูปทรงทีละตัวจากฝีมือของช่างฝรั่งเศส ด้วยความต้องการที่จะสร้างสรรค์สินค้าต่างๆ ด้วยกรรมวิธีแบบธรรมชาติดั้งเดิมที่มีคุณภาพดีที่สุด
การใส่ใจในรายละเอียดของนากามูระไม่ได้มีเฉพาะแค่สินค้าต่างๆ ของ VISVIM เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงส่วนของ retail experience ที่เป็นร้านบูทีกของแบรนด์ที่ชื่อ F.I.L. (Free International Laboratory) ด้วยคอนเซปต์ที่ต้องการให้ร้านของเขาเป็นเหมือนแกลเลอรีแสดงงานศิลปะมากกว่าแค่หน้าร้านขายสินค้าทั่วๆ ไป โดยเขาเปิดสาขาแรกในปี 2005 ที่ย่านชิบูย่าด้วยการตกแต่งร้านในสไตล์มินิมอล โทนสีขาว และเลือกใช้แสงธรรมชาติเป็นหลัก แทนที่จะโชว์สินค้าของแบรนด์ทั้งหมด นากามูระจำกัดรูปแบบการจัดวางสินค้าในปริมาณจำกัดและวางสินค้าเหมือนผลงานศิลปะเพื่อให้สินค้าแต่ละชิ้นมีความโดดเด่นมากที่สุด
VISVIM ขยายสาขาไปยังเมืองต่างๆ ในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเซนได, คานาซาวะ, ฮิโรชิม่า, เกียวโต และ นาโกย่า เป็นต้น ด้วยโลเคชั่นร้านที่ไม่ได้อยู่ในย่านช้อปปิ้งที่สำคัญใดๆ แต่เลือกที่จะให้ความสำคัญไปกับประสบการณ์ของลูกค้าที่ตั้งใจเดินทางมาซื้อของถึงที่ร้านมากกว่า ความพิเศษอีกอย่างก็คือ สินค้าของร้านในแต่ละสาขาก็มีความแตกต่าง ในปี 2014 นากามูระเปิด VISVIM Flagship Store ขึ้นที่โอโมเตะซันโดะ ด้วยความต้องการที่จะให้เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นและเป็นการขยายตลาดให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น โดยสินค้าที่วางขายใน flagship store จะแตกต่างจาก F.I.L. Boutiques สาขาอื่นๆ ที่เป็นสินค้าประเภท main line ซึ่งเข้าถึงได้ง่ายแต่ยังคงความเป็น VISVIM เอาไว้เหมือนเดิม
ไม่เฉพาะแค่ไลน์รองเท้าและเสื้อผ้าผู้ชายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในปี 2013 VISVIM เปิดตัว WMV ที่เป็นไลน์เสื้อผ้าของผู้หญิงที่นากามูระออกแบบร่วมกับภรรยา Kelsi ด้วยไอเดียที่ต่อยอดมาจากการเห็นคู่รักเดินเข้ามาซื้อสินค้า และเลือกซื้อสินค้าไซส์เล็กของ VISVIM ไปใส่ ซึ่งไลน์ของ WMV จะไม่สนใจเทรนด์แฟชั่นใดๆ แต่จะเน้นไปที่ไอเทมหลักสำคัญๆ ในแต่ละซีซั่นเท่านั้น ทั้งเสื้อผ้าและรองเท้าสำหรับผู้หญิง ซึ่งก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงเช่นกัน สำหรับผู้หญิงที่ชื่นชอบสไตล์ของ VISVIM ณ ปัจจุบันไลน์ของ WMV นั้นมีสาขามากมายทั่วญี่ปุ่น และยังมี flagship store นอกประเทศที่สหรัฐอเมริกาที่เมืองแซนตาเฟและนิวเม็กซิโกอีกด้วย
นอกจากนั้นนากามูระเองยังสร้าง Indigo Camping Trailer หรือเรียกย่อๆ ว่า I.C.T. ที่เป็น brand showcase เคลื่อนที่ ซึ่งจะตระเวนไปยังโลเคชั่นพิเศษๆ เท่านั้น ด้วยคอนเซปต์ที่เป็นการนำเอารถบ้านเคลื่อนที่มาปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นทั้งร้านค้าสไตล์ flea market ที่ขายของวินเทจ และ pop-up store เคลื่อนที่ขนาดย่อมที่มีสินค้าพิเศษของ VISVIM ที่วางขายจำนวนจำกัดเพียงแค่ที่นี่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และยังรวมไปถึงเป็น trunk show ที่เอาไว้นำเสนอคอลเลกชั่นเสื้อผ้าฤดูกาลล่วงหน้าก่อนวางขายจริง ให้ได้สัมผัสและเลือกสั่งจองล่วงหน้า (ส่วนใหญ่จะเป็นพวก buyer จากร้านค้าต่างๆ ที่มีสินค้าของ VISVIM วางขายหรือลูกค้าระดับ VIP เท่านั้น) ด้วยความพิเศษดังกล่าว ทำให้ของจาก I.C.T. มีความเอกซ์คลูซีฟและพิเศษที่สุดเลยก็ว่าได้
และเมื่อย้อนกลับไปยุคเริ่มต้นของ VISVIM ที่ยังวางตัวเองอยู่ในหมวดของสตรีทแวร์นั้น นากามูระเองก็มีโปรเจกต์ collaboration ร่วมกับแบรนด์อื่นๆ มากมาย ซึ่งตัวเขาเองมีความพิถีพิถันในการเลือกแบรนด์ที่จะทำงานด้วยมากเป็นพิเศษ ผลลัพธ์ที่ได้จึงมีความพิเศษและถือเป็นไอเทมที่แฟนของแบรนด์มีความต้องการเป็นอย่างมาก และแม้ภายหลังจะมีการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์จากสตรีทแวร์ไปแล้วก็ตาม แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังมีงาน collaboration เด่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น
VISVIM X Number (N)ine (ปี 2008) : collaboration ยุคแรกของแบรนด์ที่ผลิตเสื้อแจ็กเก็ตรุ่น Nomad ที่ใช้เนื้อผ้า Gore-Tex และถือเป็นไอเทมหายากที่นักสะสมต้องการมีไว้ครอบครองมากที่สุดชิ้นหนึ่ง
VISVIM X Comme des Garçons (ปี 2008) : collaboration พิเศษที่ทำร่วมกันเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 150 ปีของห้างสรรพสินค้า Isetan โดยเป็นคอลเลกชั่นเสื้อผ้าจาก Comme des Garçons และรองเท้ารุ่น FBT จาก VISVIM ที่พิมพ์ลาย ‘Marketing Machine’ ทั้งคู่
VISVIM X A.F.F.A (ปี 2008) : AFFA (Anarchy Forever Forever Anarchy) เป็นโปรเจกต์แบรนด์พิเศษที่ก่อตั้งโดย Hiroshi Fujiwara จาก Fragment Design และ Jun Takahashi จาก Undercover ในยุค Urahara (ย่อมาจาก Ura-Harajuku ที่มีความหมายว่า The Hidden Harajuku กล่าวถึงย่านพื้นที่ระหว่างฮาราจูกุและอาโอยามะที่ถือเป็นย่านแฟชั่นที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Japanese Streetwear ในช่วงยุค 90s แบรนด์สตรีทแวร์ญี่ปุ่นชื่อดังมากมายในปัจจุบันล้วนเริ่มต้นจากย่านดังกล่าวนี้ทั้งนั้น เช่น A BATHING APE, Undercover, Neighborhood, Wtaps และ Hysteric Glamour เป็นต้น) ด้วยซีรีส์รองเท้าบูตและรองเท้าผ้าใบหลากหลายรุ่น
VISIVM X Supreme (ปี 2009) : ถือเป็น collaboration ที่เซอร์ไพรส์ใครหลายๆ คนในเวลานั้นมาก เพราะสไตล์ที่แตกต่างกันสุดขั้วของทั้งสองแบรนด์ คอลเลกชั่นที่ออกมาประกอบไปด้วยรองเท้าบูต เสื้อผ้า และไอเทมอื่นๆ ที่รวมความเชี่ยวชาญในเรื่องเทคนิคและการสรรหาวัตถุดิบของ VISVIM บวกเข้ากับไลฟ์สไตล์ความเป็นนิวยอร์กของ Supreme ทำให้คอลเลกชั่นนี้กลายเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่แฟนทั้งสองแบรนด์ต้องการมีไว้ครอบครองมากที่สุดอันหนึ่ง
VISVIM ได้รับความนิยมและมีแฟนของแบรนด์ที่เหนียวแน่นมากมายไปทั่วโลก รวมไปถึงเซเลบริตี้ชื่อดังมากมาย แฟนพันธุ์แท้ของ VISVIM ที่หลายๆ คนทราบกันดีก็คือ Eric Clapton ซึ่งรู้จัก VISVIM ผ่านทางการแนะนำของ Hiroshi Fujiwara และกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ของแบรนด์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อีกคนที่หลายๆ คนรู้จักกันดีคือ John Mayer ที่ถือเป็นนักสะสมที่มีคอลเลกชั่นของ VISVIM มากที่สุดในโลก และกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของนากามูระ (ไอเทมบางอย่างมีเพียงแค่ 2 ชิ้นในโลก นั่นคือมีเฉพาะนากามูระและเมเยอร์เท่านั้น) โดยนากามูระเองเคยช่วยทำสไตล์ลิสต์ให้กับเมเยอร์ในอัลบั้ม Paradise Valley มาแล้วด้วย คนอื่นๆ ที่น่าสนใจก็เช่น Kanye West ที่ใส่รองเท้ารุ่น FBT และทำให้รองเท้ารุ่นดังกล่าวเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นในตลาดฝั่งตะวันตก นอกจากนั้นก็ยังรวมไปถึง Drake และ Frank Ocean เป็นต้น
VISVIM เริ่มต้นจาก footwear brand ผ่านกาลเวลาและประสบการณ์ของผู้ชายที่ชื่อฮิโรกิ นากามูระ จาก streetwear brand เติบโตจนกลายมาเป็น cult brand ในระดับ Artisan Hi-End ที่ทุกคนให้การยอมรับ ด้วยจุดมุ่งหมายที่นากามูระเคยกล่าวเอาไว้ว่า ประสบการณ์และสิ่งต่างๆ ที่เขาได้เรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมาหล่อหลอมตัวเขาให้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ที่ดีที่สุดภายใต้คอนเซปต์ future vintage ด้วยความต้องการที่อยากให้ VISVIM นั้นกลายเป็นวินเทจคลาสสิกที่มีคุณค่าในอนาคตต่อไป