คุณเชื่อในโชคชะตาไหม ไม่ใช่โชคชะตากับผู้คนหรอกนะ ฉันหมายถึงโชคชะตากับหนังสือบางเล่ม ที่ชีวิตนี้จะต้องได้อ่านมันในเวลาที่สมควร
ตอน UNTAMED ยังไม่มีฉบับภาษาไทย ฉันที่กำลังวิตกกับชีวิตเข้าร้านหนังสือในห้างกลางเมืองเพื่อหาหนังสือสักเล่มที่จะช่วยได้ คว้าหนังสือจิตวิทยาภาษาอังกฤษมาประมาณ 3 เล่ม ตอนจังหวะจะเดินไปจ่ายเงิน ปกสีจัดจ้านและตัวอักษร UNTAMED ฉบับภาษาอังกฤษก็สบตาเข้าอย่างจัง แต่หยิบมาพลิกดูได้หน่อยก็ตัดสินไปก่อนว่ามันคงเป็น best seller เนื้อหาคลีเช่อีกเล่ม วันนั้นร้านหนังสือจึงไม่ได้เงินค่าหนังสือเล่มที่ 4 จากฉัน
หลายเดือนผ่านไป ในขณะที่ชีวิตการเรียนและการงานกำลังอยู่ในขาขึ้น โอกาสใหม่ๆ ตบเท้าเข้ามา ฉันมั่นใจว่าตัวเองเดินอยู่ในทางที่ใช่ แต่ร่างกายและจิตใจที่แกว่งไกวทำให้ต้องเทียวเข้าเทียวออกโรงพยาบาล มุมหนึ่งชีวิตกำลังสดสว่างอย่างไม่เคยเป็น แต่ข้างในยังมีมุมมืดที่ต้องการการดูแล ยังมีตัวฉันที่กังวล กลัว และเหนื่อยล้า นอกจากประคองตัวเองแล้วก็ต้องประคองจิตใจคนใกล้ตัวไปด้วย มันเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกอย่างชัดเจนว่าฉันต้องการการเปลี่ยนแปลง ฉันไม่อยากเหนื่อยกับตัวเองแบบนี้แล้ว ต้องทำยังไงถึงจะมีชีวิตที่จิตใจยังเป็นอิสระและมีพลังได้ท่ามกลางปัญหาที่เราไม่อาจควบคุม และสภาพแวดล้อมในสังคมที่บั่นทอนใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
จังหวะที่พลังกายพลังใจใกล้จะหมด ‘อีกนิดมันอาจเป็นเส้นด้ายที่ขาดผึงก็ได้’ ฉันคิดอย่างนั้นแล้วตัดสินใจชวนคนรักลงใต้โดยไม่มีกำหนดกลับ พอแล้วกรุงเทพฯ ก่อนที่พวกเราจะตายเอาจริงๆ
ในห้างใหญ่แห่งเดียวในตัวเมืองสุราษฎร์ฯ UNTAMED ฉบับภาษาไทยเล่มสุดท้ายของร้านวางอยู่ตรงนั้น สภาพค่อนข้างยับเยิน เหมือนหนังสือมือสองที่เจ้าของอ่านอย่างไม่ใส่ใจ
‘เหมือนฉันเลย’ ฉันคิดแค่นั้นแล้วหยิบไปจ่ายเงิน
เมื่อทุกอย่างกำลังสั่นคลอน สัญญาณที่ถูกต้องจะมาถึง ข้อความจากหนังสือคือหนึ่งในนั้น
หนทางรอดคือกลับไปเป็นมังกร
‘นี่คือเรื่องราวการแหกกรงขัง กลับคืนสู่ผืนป่าบริสุทธิ์ของใจตัวเอง’ ฉันนั่งอ่านข้อความปกหลังของหนังสืออยู่ใต้ต้นมะขาม เรากำลังอยู่กลางป่าเขาในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ข้าวปลาอาหารได้ครอบครัวเพื่อนที่มีน้ำใจเลี้ยงดูปูเสื่อ เรากินอาหารจากป่า อยู่ห่างจากตึกสูง โรคระบาด กลับสู่อ้อมกอดของธรรมชาติ ได้อยู่ใกล้ผู้หลักผู้ใหญ่ในชุมชนที่ยังมีความเชื่อเข้มข้นเรื่องจิตวิญญาณ
UNTAMED เป็นหนังสือเล่มล่าสุดในรอบหลายเดือนที่ฉันอ่านแล้วไม่อยากหยุดพัก หลายข้อความกระทบใจ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนมีไฟร้อนๆ เกิดในอก อะไรบางอย่างกำลังบอกใบ้ให้ฉันเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต เพราะตัวตนที่ผ่านมาตลอด 30 ปีอาจใช้ไม่ได้กับสิ่งที่จะพบเจอในวันข้างหน้าที่จะท้าทายกว่านี้ แต่สิ่งที่ต้องเรียกคืนมาก่อนคือจิตวิญญาณที่จะเป็นตัวเองอย่างไม่ครั่นคร้ามหรือกลัวเกรง
Glennon Doyle ผู้เขียน เป็นผู้หญิงวัยเลขสี่ เป็นนักเขียน เป็นแม่ของลูกๆ เป็นภรรยาของภรรยา เป็นคนที่เชื่อและไว้วางใจตัวเอง แต่ย้อนถอยหลังกลับไป เธอคือวัยรุ่นที่โดนโรคบูลิเมียกัดกินทั้งร่างกายและจิตใจ คือหญิงสาวที่มีชีวิตอยู่ได้โดยมีเหล้ายาเป็นเพื่อนถึงขนาดมีอาการเสพติด ในวันที่เธอรวบรวมพลังทั้งชีวิตและพลิกตัวเองเป็นแม่ที่ดี เป็นหญิงสาวที่ดี เป็นภรรยาที่ดีของสามี เป็นคริสต์ศาสนิกชนที่ดี และเป็นนักเขียนชื่อดังผู้บอกเล่าเรื่องราวการกอบกู้ความสัมพันธ์ในครอบครัว ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แล้วพล็อตก็หักมุมแบบพลิกคว่ำ สามีของเธอ (ในขณะนั้น) นอกใจ ส่วนเธอเองก็ตกหลุมรักผู้หญิงอีกคน
เรื่องที่ ‘ไม่น่าเกิดขึ้น’ และ ‘ไม่ควรเกิดขึ้น’ กำลังเกิดขึ้น ภาพชีวิตสวยงามที่สร้างมากับมือกำลังพังทลายลง แล้วจะเอายังไงต่อจากนี้?
สำหรับฉัน UNTAMED คือการบอกเล่าถึงเส้นทางการเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ที่ชีวิตสั่นคลอนเหมือนแผ่นดินไหวของเกล็นนอน แต่บังเอิญว่ามันไปไกลกว่านั้น เพื่อที่จะปลดแอกและมอบอิสรภาพให้ตัวเองตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ เพื่อกลับมาซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เกล็นนอนเอาสิ่งที่เคยเรียนรู้มาทั้งชีวิตในฐานะ ‘ผู้หญิงคนหนึ่ง’ มาตั้งคำถามและสังคายนามันใหม่
เธอไม่ได้แค่หาทางออกให้ความทุกข์ของตัวเอง แต่มองย้อนไปถึงชุดความคิดความเชื่อของสังคมที่เป็นเหมือน ‘กรงขัง’ ให้เราต่างใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความกลัวจนไม่กล้าเป็นตัวเอง เธอบอกเล่าถึงกรงขังชนิดต่างๆ ที่แวดล้อมเราอยู่ เช่น มายาคติเรื่องความงามของร่างกาย บทบาททางเพศและการเหยียดเพศ คำสั่งสอนในการเป็นแม่ที่ดี ความเชื่อทางศาสนาบางประการที่ปลูกสร้างให้เรามองผู้คนในสังคมอย่างตัดสินและมีลำดับขั้น ไล่ไปจนถึงค่านิยมเกี่ยวกับคนผิวขาวที่นำมาสู่ความขัดแย้งและการปฏิบัติต่อมนุษย์อย่างไม่เป็นธรรม
มีกรงขังมากมายที่พยายามหลอมให้เรากลายเป็น ‘เด็กดี’ ผู้เชื่อฟัง และเชื่อตามๆ กันไป ไม่ใช่ชีตาห์ สิงโต หรือมังกรน่าเกรงขาม ที่ตระหนักถึงพลังมากมายในตัวเองและพร้อมใช้มันเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ที่เธอเล่าถึงแทรกซึมอยู่ในบริบทสังคมของหลายถิ่นที่ รวมถึงที่นี่ ฉันจึงเชื่อมโยงกับแทบทุกสิ่งที่เธอบอกเล่ามา
นึกเอาง่ายๆ แค่ว่า เราโตมาแล้วถูกสั่งสอนให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ ห้ามเถียง จะตัดผมแบบไหน แต่งตัวยังไงก็ยังถูกควบคุมกำหนด เราถูกสอนว่าอะไรถูกอะไรผิดอย่างบิดเบี้ยว จินตนาการถูกตัดขาด เพื่อจะใช้ชีวิตในบ้านเมืองที่มีความฉิบหายเกิดขึ้นไม่เว้นวัน เราต้องทำตัวให้ไร้หัวใจ ใครที่รู้สึกอะไรมากๆ จะถูกตีตราว่าเป็นคนเปราะบางและอ่อนแอ ฉันเข้าใจดีทีเดียว
ฉันเริ่มเปลี่ยนไปเชื่อฟังคำแนะนำจากคนอื่นแทนที่จะไว้ใจการหยั่งรู้ของตัวเอง จนกระทั่งฉันเชื่อไปเองว่าจินตนาการของฉันมันน่าขำและความต้องการของฉันเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว จนกระทั่งฉันละทิ้งตัวตนและยอมถูกขังในกรงที่สร้างจากความคาดหวังของคนอื่น ข้อกำหนดทางวัฒนธรรม และความภักดีต่อสิ่งที่สถาบันใดๆ ได้กำหนดไว้ ฉันสูญเสียตัวฉันเอง เมื่อฉันหัดที่จะเอาใจคนอื่น (หน้า 52)
ฉันสูญเสียตัวฉันเอง เมื่อฉันหัดที่จะเอาใจคนอื่น–ประโยคนี้ฮุก ‘เด็กดี’ อย่างฉันเข้าอย่างจัง ฉันที่กลัวความผิดพลาด กลัวการตัดสิน ฉันที่เคยถูกทำให้เชื่อว่าเป็นคนอ่อนแอที่จะเอาตัวไม่รอด ฉันที่กลัวคนไม่รักจนเลือกที่จะไม่ทำอะไรอย่างใจนึก ทั้งที่ข้างในมีไฟเต้นเร่า ทั้งไฟที่มาจากความโกรธและไฟจากความปรารถนาที่จะทำสิ่งต่างๆ
การไม่ยอมตรงไปตรงมากับตัวเองแต่กลับยอมอยู่ใต้กรอบ คือที่มาของความวิตกกังวลที่เล่นงานฉันเละเทะอยู่หลายครั้งตลอดช่วงชีวิต มันเหมือนข้างในตัวคุณแบ่งออกเป็นสองฝ่ายที่ตบตีกันไม่จบสิ้น ทำให้เป็นทุกข์กับตัวเองจนไม่เหลือแรงไปต่อสู้กับอะไรข้างนอก
หากผีเสื้อนับพันกระพือปีก
เกล็นนอนเป็นผู้หญิงเหมือนฉัน เราต่างเป็นเพศที่ถูกฝึกให้เชื่อง ให้เก็บความต้องการภายในไว้ให้ลึกที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้น เสียงที่เธอตะโกนถามจึงยิ่งดังขึ้นเป็น 5 เท่า 10 เท่า
เราจะเป็นใคร ถ้าเราไม่ถูกกล่อมเกลาให้เชื่องด้วยชุดความคิดความเชื่อเหล่านี้
เราจะทำอะไรได้แค่ไหน ถ้าเรากลับมาหาสิ่งที่จริงแท้ ดิบเถื่อน และมีพลังบริสุทธิ์ในตัวเราเอง
อ่านไปแล้วรู้สึกเหมือนเห็นเธอกำลังโชว์เลาะตะเข็บของชุดกระโปรงสวยๆ ที่โดนบังคับให้สวมใส่ แทนที่จะยอมเป็นตุ๊กตาไว้ประดับ เป็น ‘คนดี’ ที่ไม่มีปากมีเสียง สยบยอมต่อระบบชายเป็นใหญ่ที่ใช้กุมอำนาจในสังคม เธอประกาศว่าต่อจากนี้อิสรภาพจะเป็นของเธอ ฉีกกระชากชุดเก่าๆ ทิ้ง เดินดุ่มเข้าอาณาจักรอิสระที่อนุญาตให้ทุกคนได้ใช้สัญชาตญาณที่แท้จริงของตัวเอง
ฉันจะเป็นตัวฉันเองต่อจากนี้ และจะกล้าลงมือทำในสิ่งที่เชื่อ ต่อให้ใครไม่เห็นด้วย หรือต่อให้ชีวิตและจิตใจจะต้องผ่านความท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า นี่คือการต่อสู้ที่ฉันจะไม่ยอมจำนน เพราะฉันเกิดใหม่ได้นับครั้งไม่ถ้วน ฉันมีพระเจ้าอยู่ในตัวฉันเอง–เนื้อหาใน UNTAMED ตอกย้ำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา และบอกให้เราโยน ‘กฎของพระเจ้า’ ในสังคมทิ้งไปเสีย
บางหัวข้ออ่านแล้วอาจจะดูหนักหรือจริงจัง แต่ทุกเรื่องเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของเรา ทั้งในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่เรียนรู้จะเป็นตัวของตัวเอง มีความสัมพันธ์ที่มั่นคงทางใจ และเป็นพลเมืองคนหนึ่งในประเทศและโลกซึ่งกำลังผุพัง มีโรคระบาดและสงคราม จากการปฏิวัติภายในใจตัวเอง วันหนึ่งเกล็นนอนก็ลุกขึ้นมาลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เธอตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ทำงานเพื่อสังคม โดยที่ผู้นำในนั้นเป็นผู้หญิงทั้งหมด
เธอตอกย้ำความเชื่อที่ฉันมีอยู่แต่เดิมว่า ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวพันและเชื่อมโยงถึงกัน การเปลี่ยนแปลงในหัวใจของมนุษย์คนหนึ่งสามารถส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง หากเราไม่ถูกกดทับ ไม่ถูกกล่อมเกลาให้เชื่อง จนกลายเป็นแค่หมากตัวหนึ่งของ ‘ใคร’ บางคน
ดังนั้นก่อนเราจะไปกอบกู้โลกหรือทำอะไรก็ตาม เราต้องสงบสงครามในใจตัวเองก่อน
เมื่อเราไม่ตกอยู่ในกรง เมื่อนั้นเราจะได้ยินเสียงที่แท้จริงข้างในว่าหัวใจกำลังบอกอะไร ‘ภารกิจ’ ที่เราจะทำต่อจากนี้คืออะไร โดยที่มันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่จะเกิดภายนอกก็ได้ มันอาจเป็นการเรียนรู้ที่จะรักตัวเองให้เป็น เพื่อช่วยชีวิตใครสักคนซึ่งกำลังละทิ้งตัวเองอยู่เช่นกัน และเมื่อนั้นเราก็จะเข้าใจความหมายว่าทำไมเราจึงต้องผ่านประสบการณ์อย่างที่เราผ่าน ทำไมเส้นทางจึงมักยากและเจ็บปวด
ในทางจิตวิญญาณ ฉันได้เรียนรู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่า ‘การตื่น’ และสิ่งที่เกล็นนอนบอกเล่าก็มีมวลพลังงานนี้อยู่อย่างเข้มข้น
สำหรับฉัน องค์ประกอบหนึ่งในการ ‘ตื่น’ คือการเรียนรู้ธรรมชาติความเป็นมนุษย์อย่างเปิดใจ ละวางการตัดสิน หยุดใช้กฎทางสังคมต่างๆ กับหัวใจ และเยียวยาตัวเองให้เป็น
โศกเศร้า เกรี้ยวกราด อับอาย สุขสม มีความหวัง ซึมเศร้า วิตกกังวล คุณมีความรู้สึกต่างๆ นี้ได้ตามธรรมชาติเพราะคุณเป็นมนุษย์ ในทางจิตวิทยาเอง บ่อยครั้งสิ่งที่ชี้ทางออกให้ปัญหาไม่ใช่ความคิดที่มักถูกปรุงแต่งจนสับสนวุ่นวาย แต่เป็นความรู้สึกที่ตรงไปตรงมา
เริ่มและจบที่หัวใจ
‘จงรู้สึกให้มากเพราะคุณกำลังมีชีวิต มันเป็นทั้งเข็มทิศและพระเจ้าในตัวคุณ’ นี่คือกุญแจดอกหนึ่งสู่อิสระที่เกล็นนอนบอกอยู่บ่อยครั้งตลอดทั้งเล่ม
แต่แน่นอนว่าเมื่อเราเปิดใจที่จะรู้สึก เมื่อเรากล้าจะดำดิ่งลงไปในจิตใจ เราจะเจอปมต่างๆ มากมาย เราจะโดนอารมณ์ที่เข้มข้นเล่นงาน และเราจะปวดร้าว อย่างที่ฉันเคยรู้สึกมาตลอดชีวิต บางช่วงยังรุนแรงจนเจ็บป่วย ฉันเคยคิดด้วยซ้ำว่าถ้าขอพรได้สักข้อ ฉันจะขอให้ตัวเองเป็นคนที่ไม่ต้องรู้สึกอะไรมากมาย แต่เมื่อถูลู่ถูกังผ่านช่วงชีวิตยากๆ มาได้ วันหนึ่งฉันก็รู้ว่าฉันมีทักษะนี้ไว้เพื่ออะไร อย่างน้อยที่สุดมันทำให้ฉันไม่เมินเฉยต่อความทุกข์ของผู้คนที่ได้พบ ทำให้ฉันเยียวยาและเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้ ทำให้ฉันมีตราชั่งที่เที่ยงตรง ที่ตั่งมั่นจะไม่เอาเปรียบหรือทำร้ายใคร ทำให้มองเห็นภาพสังคมที่ควรเป็นโดยที่ตาไม่มืดบอด และยังทำให้ชื่นชมความเป็นมนุษย์ที่ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งต่างๆ มากขึ้นหลายเท่า
ความปวดร้าวไม่ใช่ข้อบกพร่อง มันคือสถานที่นัดพบของพวกเรา (หน้า 92)
ขอบคุณเกล็นนอนที่เขียนไว้แบบนั้น
เกล็นนอนในฐานะนักเขียนเป็นคนช่างเปรียบเปรยและอุปมาจนคนอ่านเห็นภาพได้ชัด เธอมีจังหวะการเล่าเหมือนเล่นดนตรี มีเบา มีหนัก แวะเลาะเลียบไปตามเรื่องราวที่รับรู้และสัมผัสในชีวิตประจำวัน แต่คว้านเอาแก่นของมันออกมาขยี้และขยาย ไม่ปล่อยผ่าน บางบทก็สั้นมากจนคล้ายไม่มีอะไร แต่ดันปล่อยหมัดชนิดไม่ให้คนอ่านตั้งตัว
ฉันเพลินกับการอ่านถึงขนาดถือเอา UNTAMED ไปด้วยทุกที่ระหว่างเดินทางที่ใต้ พาตัวเองไปนั่งอ่านบนโขดใกล้น้ำตกบ้าง บ่อน้ำธรรมชาติที่คนมาเล่นน้ำบ้าง นอกจากเจอฝนตก ระหว่างทางก็เกิดลื่นตกน้ำจนเปียกไปทั้งตัว หนังสือในกระเป๋าที่เยินอยู่แล้วจึงเยินขึ้นไปอีก เป็นหนังสือที่น่าจะเยินที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ แต่ก่อนคนรักหนังสืออย่างฉันอาจร้องไห้ แต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกเสียดาย
อาจฟังดูไร้สาระ แต่สำหรับฉันมันคือสัญญาณเล็กๆ ที่จะหัดปล่อยให้อะไรมันเละๆ เทะๆ ไปตามธรรมชาติบ้าง ไม่ต้องสะอาด ไม่ต้องเนี้ยบ ไม่ต้องระมัดระวังจนหวาดระแวง ไม่ต้องคิดอะไร แค่ปล่อยมันเป็นไป สนุกไปกับมัน บ้าบอไปกับมัน หัวเราะใส่มันได้
เกล็นนอนเริ่มต้นเล่าเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กและความสัมพันธ์ใกล้ตัว การกล้าป่าวประกาศแก่ผู้คนมากมายว่าเธอกำลังกลายเป็นคนใหม่ที่ไม่อยู่ในกรอบเดิม แต่งงานกับผู้หญิง หรือเมื่อเธอเริ่มเคลื่อนไหวทางสังคม บางคนวิพากษ์วิจารณ์เธอ บางคนปฏิเสธเธอ แต่เธอรู้ดีว่าเธออยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง เกล็นนอนในหนังสือไม่ได้ดีเลิศเลอ เธอเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีด้านดี-ร้ายผสมปนเป แต่การแหกกรงขังสำเร็จทำให้เธอหยุดดูถูกตัวเอง มีพลังไปทำสิ่งสร้างสรรค์ และท้ายที่สุด–เพื่อจะมีความสุขอย่างเรียบง่ายกับตัวเองและครอบครัวโดยไม่ต้องมีอะไรตามหลอกหลอนอีก
ฉันเองยังอยู่ระหว่างทาง ยังคงต้องบ่มเพาะความกล้าอีกมาก แต่ก็จะพยายามต่อไปด้วยความเชื่อว่า หากเราไม่โกหกตัวเองและเริ่มต้นทำสิ่งที่เชื่อจากหัวใจใส่ลงไปในการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของทุกวัน
วันหนึ่งเราอาจพบว่า เราไม่ได้ตกอยู่ภายใต้กรงขังอีกต่อไป