บทกวีรูปแบบใหม่ อาการนอนไม่หลับ และการบำบัดด้วยศิลปะของตุล ไวฑูรเกียรติ

Highlights

  • บทสนทนากับ ตุล ไวฑูรเกียรติ เรื่องบทกวี อาการนอนไม่หลับ นิทรรศการใหม่ X The Xhibition และการบำบัดตัวเองด้วยศิลปะที่เขาทำตลอดมา

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้จำกัดความ ตุล ไวฑูรเกียรติ 

บทบาทหนึ่งที่คนจดจำเขาได้ดีคือการเป็นฟรอนต์แมนผมยาวของวงอพาร์ตเมนต์คุณป้า วงดนตรีร็อกแอนด์โรลที่โลดแล่นแผดเสียงเพลงรักลึกซึ้งและเพลงที่พูดถึงสังคมจากปลายปากกาของตุลมากว่า 18 ปี

แต่นอกจากการเป็นนักร้อง ตุลยังเป็นกวี เจ้าของหนังสือรวมบทกวีหลายเล่ม อย่าง หลบเวลา สิ่งที่อยู่นอกใจ และ นกเพลง เป็นดีเจและเจ้าของค่ายดนตรี Quay Records เป็นนักลงทุน เคยทำแม็กกาซีน และเป็นศิลปิน ในความหมายที่ไม่ใช่เพียงนักดนตรีและนักแต่งเพลง แต่ยังเคยจัดนิทรรศการมาแล้วหลายครั้งทั้งแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม ทั้งในแกลเลอรีอินดี้และในหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

ตุล ไวฑูรเกียรติ

งานแต่ละครั้งต่างทั้งขนาด เทคนิค และคอนเซปต์ แต่เพราะจิตวิญญาณกวีทำให้งานของเขามักเล่นกับถ้อยคำและการสื่อสาร เช่น จัดแสดงบทกวีในรูปแบบไฟนีออนดัด, ทำห้องสะท้อนเสียงที่ Gallery 304 ให้คนเข้ามานั่งพูดและฟังเสียงตัวเอง หรือสร้างห้องสมุดย่อมๆ ขึ้นมาในนิทรรศการตรรกะสังสรรค์ของ bacc เพื่อให้คนได้มาแลกเปลี่ยนหนังสือที่ชอบกับเขา 

ล่าสุด ตุลบอกกับเราว่ากำลังจะมีนิทรรศการใหม่ในชื่อ X The Xhibition ที่เขาแต่งบทกวีขึ้นมา 27 บทจากเหตุการณ์รักไม่สมหวัง (หรือที่เขาเรียกว่าความซวย) และยื่นให้ โต๋–นุติ์ นิ่มสมบุญ เพื่อนสนิทและเจ้าของสตูดิโอกราฟิกดีไซน์ Slowmotion นำไปร่วมกับทีมแปลงเป็นงานศิลปะไม่จำกัดเทคนิค รวมถึงชักชวนศิลปินอีกหลายคน เช่น วง Zweed n’ Roll, ศิลปินกราฟฟิตี้ NEV3R และแบรนด์ Sretsis มาแจม โดยจะจัดแสดงที่แกลเลอรี WOOF PACK BANGKOK ในวันที่ 1-16 กุมภาพันธ์นี้

เรานัดคุยกันที่ Slowmotion ที่นั่น ตุลหยิบงานศิลปะที่เสร็จแล้วหลายชิ้นมาให้ดูอย่างไม่หวง ทั้งเซรามิกรูปกระดาษขยำขยี้ดูเปราะบาง โปสเตอร์ลวงตาที่แอบซ่อนบทกวีเอาไว้ จนถึงอะนิเมชั่นตลกร้ายเรื่องเจ้าหญิงนิทรา ทั้งหมดนี้ เขาบอกว่าเป็นไปเพื่อ “บำบัดอาการนอนไม่หลับ” ของตัวเอง

คืนก่อนหน้าที่นัดกันเรานอนไม่ค่อยหลับ

แต่หลังจากที่คุยกัน ครั้งหน้าที่นอนไม่หลับ เราน่าจะพอมีวิธีจัดการ

ตุล ไวฑูรเกียรติ

คุณนอนหลับหรือยังช่วงนี้

หลับโอเคครับ อาจจะตื่นเร็วบ้างแต่หลับได้

คุณเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่ได้ฟังอัลบั้มคู่ เจ้าหญิงแห่งดอกไม้ เจ้าชายแห่งทะเล ของพราย ปฐมพรสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกา ช่วงที่เริ่มสนใจงานศิลปะคือช่วงเดียวกันไหม

ตั้งแต่ตอนอยู่มหาวิทยาลัยผมก็ชอบไปเดินตามแกลเลอรีต่างๆ มีเพื่อนเป็นศิลปินบ้าง พอจบกลับมาใหม่ๆ ก็ได้มาทำงานกับ VER Magazine เป็นแม็กกาซีนที่ลงทุนโดยพี่ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช ตอนนั้นผมรับผิดชอบในส่วนการอีดิตเสียงทั้งหมดก็เลยได้เจอกับคนในวงการศิลปะเยอะ และเมื่อก่อนจะไปแฮงเอาต์อยู่ที่ About Cafe ตรงซอยนานาซึ่งเป็นที่รวมตัวของคนในแวดวงศิลปะ ทำให้เราได้แลกเปลี่ยนความคิดบ่อยๆ ได้แสดงผลงานศิลปะบ้างทั้งแบบที่เป็นกรุ๊ปโชว์และแบบเดี่ยวๆ

มีงานศิลปะอื่นๆ ที่มีอิทธิพลกับงานศิลปะของคุณเหมือน เจ้าหญิงแห่งดอกไม้ เจ้าชายแห่งทะเล ไหม

ผมคิดว่าตอนทำงานที่ VER นี่แหละที่มีอิมแพกต์กับผม ชีวิตช่วงนั้นทำให้ผมได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในแวดวงศิลปะมากมาย ได้รับรู้ศิลปะในมุมมองใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ว่าศิลปะจะต้องเป็นงานศิลปะแบบเดิมอยู่แต่ในแกลเลอรีหรือมิวเซียมอย่างเดียว แต่อยู่บนถนนได้ สามารถผสมผสานกับชีวิตประจำวันจนผมเริ่มไม่ตั้งคำถามว่าอะไรคือศิลปะ เพราะกรอบมันถูกทำลายไปหมดแล้ว ผมคิดว่าศิลปะในสมัยปัจจุบันคืออะไรก็ได้ รอบๆ ตัวเราคือสิ่งที่สามารถนำเสนอได้หมด มันอยู่ในชีวิตประจำวัน อาจเป็นของที่เรียบง่ายที่สุด อาจเป็นแค่บทสนทนา อาจเป็นแค่ความฝัน ถามว่าอะไรล่ะที่ไม่ใช่ศิลปะอันนี้ยากกว่า

แสดงว่าก่อนหน้านี้เคยมองศิลปะอีกแบบ

อีกแบบแน่นอน เมื่อก่อนพูดถึงศิลปะเราก็จะคิดว่ามันต้องสวย แต่ตอนนี้ถามว่าความงามมันคือประเด็นไหม ไม่ใช่ บางครั้งมันอาจเป็นแค่คำถามก็ได้ ศิลปะในความคิดเมื่อก่อนต้องบอกเล่าแต่ตอนนี้มันไม่ต้องบอกเล่าก็ได้ มันทำให้เราสงสัยเพิ่มขึ้นก็ได้ ศิลปะดูไม่รู้เรื่องก็ได้ ทำให้เราสงสัย งงงวยก็เป็นไปได้

ตุล ไวฑูรเกียรติ

ที่ผ่านมางานศิลปะบำบัดคุณได้มากแค่ไหน

มากนะ เอาแค่ตัวผมเองผมกล้าบอกเลยว่าถ้าผมไม่ได้รู้จักการเขียน ไม่ได้รู้จักเสียงดนตรี สุขภาพจิตอาจพังพินาศไปแล้ว

คุณเริ่มใช้ศิลปะบำบัดตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่

ช่วง 18-19 เป็นช่วงที่ผมทุกข์ทรมานจากอาการนอนไม่หลับมากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ผมตั้งคำถามกับชีวิต เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเป็นวัยรุ่น ผมต้องตัดสินใจว่าผมจะไปทางไหนต่อในชีวิต แน่นอนเรามีดนตรีที่เป็นความใฝ่ฝันแต่เราไม่มีสกิล ผมเป็นคนร้องเพลงไม่เพราะ สมัยนั้นแค่ตัดสินใจว่าจะมาเป็นนักร้อง ทำเป็นอาชีพ เขาเรียกว่าไม่บ้าก็โง่ ร้องเพลงก็ไม่ได้เรื่อง เขียนเพลงเอาไปให้ใครฟังคนก็บอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง แต่เราก็คิดว่าเราจะเป็นให้ได้ ดังนั้นความสับสนในใจมันมีเสมอ

สองเรากังวลว่าคุณพ่อคุณแม่เราจะรับได้ไหม เขาจะเป็นห่วงเราไหม แล้วหน้าที่ของลูกของเราคืออะไร เราควรเรียนหนังสือให้จบหรือเราจะไปทาง sex, drugs, rock ‘n’ roll ดี ซึ่งเราก็เป็นเนิร์ด เรียนให้มันจบๆ ให้มันดี แต่ระหว่างที่พยายามเรียน เป็นลูกที่ดี ลึกๆ แล้วเราก็อยากจะไปอีกทาง เราก็ไม่เชื่อในเรื่องของการศึกษาทั้งๆ ที่เป็นคนเรียนหนังสือได้โอเค

หน้าที่ของบุตร หน้าที่ของนักเรียนที่ดี หน้าที่ของศิลปินที่อยากจะทำมันทำให้เกิดความขัดแย้งในใจจนนอนไม่หลับ พอนอนไม่หลับเราก็เขียนระบายออกมา ผมก็ไม่เคยคิดหรอกว่าสิ่งที่ผมเขียนในกระดาษตอนกลางคืนมันจะกลายเป็นบทกวีให้คนได้อ่าน

ตอนนั้นได้คิดไหมว่ามันคือกวี

ไม่คิด มันคือการบำบัด ผมต้องทำไม่งั้นนอนไม่หลับ ถ้าใครอ่าน หลบเวลา หนังสือเล่มแรกของผมที่ได้ตีพิมพ์จะเห็นถึงความโกรธเกรี้ยวในอารมณ์ของวัยรุ่นมากที่สุด นั่นแหละคือช่วงเวลานั้น เป็นตุล ไวฑูรเกียรติ ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นศิลปิน 

ปีที่แล้วคุณเขียนบทกวี 27 บทภายใน 1 อาทิตย์สำหรับทำนิทรรศการ เทียบกับที่ผ่านมา บทกวีจำนวนนี้คือความเศร้าที่หนักหนาไหม

ไม่หนักหนานะ ไม่ใช่ว่าเรามีประสบการณ์เยอะแล้วเราจะไม่ทุกข์นะ แต่ ณ​ วันนี้ อายุขนาดนี้ เรารู้ว่าเรามีสกิลในการบำบัดตัวเอง มีวิธีจัดการอารมณ์ที่เกิดขึ้น รู้ว่าเกิดขึ้นแล้วเราจะหยิบมันไปวางไว้ตรงไหน รู้ว่าหน้าที่เราคือยังต้องบำรุงร่างกาย เรายังต้องไปออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง เราต้องจัดการชีวิตหน้าที่การงานของเราต่อไป และเมื่อความทุกข์เข้ามาหน้าที่ของศิลปินคือต้องเปลี่ยนมันเป็นงานศิลปะให้ได้ ผมมองว่าความเศร้าเป็นโบนัสชีวิตของศิลปินนะเพราะถ้าไม่มีมันก็ไม่เกิดงาน

คำว่าหน้าที่ศิลปินคือหน้าที่ต่อใคร ตัวศิลปินเองหรือคนที่เสพงาน

อาจเป็นหน้าที่เล็กๆ ต่อตัวผมเอง เพราะผมคิดว่าเราไม่ควรปล่อยให้ความทุกข์ทำร้ายเราได้ ความทุกข์มันมาแล้วก็ไป หน้าที่เราก็คือสังเกตอารมณ์ทั้งสุขและทุกข์ ทั้งสองอย่างมีคุณค่าเท่ากัน ความทุกข์มันมาแล้วก็ไป ความสุขก็เช่นกัน สำหรับผมความทุกข์คือสิ่งที่เราจะเปลี่ยนเป็นศิลปะได้ ทุกข์เมื่อไหร่ผมจะรีบเปลี่ยนมันให้เป็นงานศิลปะเพราะผมไม่ชอบเสพความทุกข์ ส่วนความสุขผมจะออกไปเสพมันเต็มที่ ผมไม่เอาเวลามาเขียนเพลงหรอกครับ ผมไปปาร์ตี้สนุกกว่า (หัวเราะ)

คุณไปปาร์ตี้แก้เศร้าบ้างไม่ได้เหรอ

ไม่ครับ ผมเกรงใจคนอื่น ไม่อยากทำให้คนอื่นกร่อย เวลาผมเศร้าผมอยู่คนเดียวบำบัดตัวเองดีกว่า หน้าที่ผมผมทำเอง แต่ถ้าผมออกไปหน้าที่ผมตรงนั้นคือสนุกกับทุกคนเต็มที่ พบผมได้ยามค่ำคืน (หัวเราะ)

สำหรับคุณ การเขียนบำบัดมหัศจรรย์ขนาดไหน

มันไม่เชิงว่าเขียนปุ๊บแล้วนอนหลับนะ (หัวเราะ) แต่มันทำให้เราได้เห็นความคิดของตัวเองผมจึงเชื่อว่าการที่เราได้ระบายความคิดเชิงลบออกมามันทำให้เราผ่อนคลายมากขึ้น กับบ้านเมืองเราก็เหมือนกัน สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกบางทีก็ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะถ้าเราไม่ได้พูดแสดงความคิดเห็น ภายในก็มีแต่แรงระเบิดอัดไว้ การเปิดโอกาสให้คนได้พูด ได้ระบาย อยู่ในบรรยากาศที่สามารถพูดกันได้ คิดอะไรสามารถใส่ลงไปในงานได้มันทำให้ทุกอย่างซอฟต์ลงหรือสลายอารมณ์บางอย่างไป

แปลว่านอกจากคุณค่าของศิลปะต่อปัจเจก คุณยังมองว่ามันมีคุณค่ากับสังคม

มันไม่ได้แปลว่าศิลปะจะมีค่ากับทุกคนนะ มันอาจมีค่ากับคนบางกลุ่ม แต่ทุกคนควรมีสิทธิเลือกเสพศิลปะที่เข้ากับรสนิยมของตัวเอง ศิลปะก็ควรมีที่ยืน เป็นทางเลือกให้คนเดินเข้ามาเสพ ไม่ชอบก็ไป ถ้าชอบก็โอเค

เป็นทางเลือกให้คนสื่อสารกัน

ใช่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสื่อสารกันด้วยวิธีไหน ที่สำคัญคือต้องให้ศิลปินได้มีเสรีภาพในการแสดงออก แล้วให้ผู้ชมได้มีอิสรภาพในการตัดสินใจว่าเขาชอบสิ่งไหนแล้วเลือกที่จะเสพในสิ่งที่ถูกรสนิยมเขา

สำหรับคุณกวีมีเสรีภาพในการแสดงออกแค่ไหน

มีมากเลย ในบทกวีเราจะเขียนอะไรก็ได้เพราะคนมันไม่รู้หรอกว่าเราเขียนอะไร ผมชอบมาก ความเป็นกวีมันคือสิ่งที่สุดยอดในการสื่อสารเลย คือเรื่องที่ผมเขียน ลึกๆ แล้วมันอาจสุ่มเสี่ยงมากก็ได้แต่ด้วยความที่มันเป็นบทกวีมันก็เหมือนภาพนามธรรมน่ะ คุณจะสื่อสารอะไรก็ได้มันไม่มีใครถูกจับเพราะภาพนามธรรมหรอก

แล้วถ้าคนไม่เข้าใจงานของคุณล่ะ

ไม่เป็นไรครับ ดีแล้วที่เขาไม่เก็ต (หัวเราะ) เคยเห็นไหมคนที่ตั้งสเตตัสแล้วแชร์ว่า only me น่ะ งานของผมก็เหมือนกันคือมีผมคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจทั้งหมด นั่นแหละคือเสน่ห์ของบทกวี ที่คุณเห็นน่ะไม่เหมือนที่ผมเห็นหรอก

อย่างนั้นประโยชน์ของการนำบทกวีหรืองานศิลปะมาแชร์คืออะไรถ้าไม่มีใครเข้าใจมันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ผมว่าหน้าที่ของบทกวีคือเราเยียวยาตัวเองแล้วเราก็สื่อสารออกไป คนที่รับรู้จะรับรู้เรื่องเดียวกับผมหรือเปล่ามันไม่จำเป็นเลยเพราะว่าชีวิตของผมเกิดขึ้นแล้วและจบไปแล้ว หลังจากนี้คือการส่งต่อพลังงาน คนที่รับสารไปก็อาจจะจินตนาการเรื่องราวในเวอร์ชั่นของเขา และถ้ามันทำให้เขามีความสุขได้ก็โอเค

มีบางครั้งที่คนอ่านหรือคนที่ฟังเพลงของผมมาถามว่าความหมายของมันคืออะไร ผมก็ถามเขาว่าแล้วคุณคิดว่าอย่างไร เขาก็บอกว่าผมคิดอย่างนี้ ผมก็ถามว่าแล้วคุณมีความสุขกับมันไหม ถ้ามีความสุขผมก็ไม่อยากทำลายจินตนาการของคุณหรอก คุณแฮปปี้อยู่แล้วแต่ถ้าผมเล่าคุณอาจจะไม่แฮปปี้ก็ได้นะ

ศิลปะมันไม่ต้องเล่าเรื่องตรงเป๊ะร้อยเปอร์เซ็นต์ การที่เราได้ใช้จินตนาการของเราเองมันสร้างบางอย่าง ทุกคนต่างมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง เรื่องราวในความสัมพันธ์ก็เหมือนกัน เซตความจริงที่เกิดขึ้นของผมกับอีกฝั่งอาจเป็นคนละเรื่องกันเลยก็ได้นะ เรื่องราวที่ทำให้จบความสัมพันธ์ของผมกับอีกคนหนึ่ง แม้จะเกิดขึ้นในวันเดียวกันอาจจะไปเล่าต่อคนละเรื่องเลยก็ได้ การเมืองก็เหมือนกัน เวลาเรามองเหตุการณ์ทางการเมืองจากคนละฝ่าย เหตุการณ์ทางการเมืองเรื่องเดียวกันมันอาจจะเป็นคนละเรื่องที่คนเอาไปเล่าต่อได้หลายแบบ

นอกจากการทำงานของตัวเอง การเสพงานของคนอื่นบำบัดคุณไหม

การเสพงานเป็นความสุขนะ หลายอย่างก็บำบัดผมได้ ทั้งเสียงดนตรี หนัง ภาพยนตร์ บางเรื่องมันก็ทำให้เราได้เห็นตัวเอง บางครั้งบางงานก็สะท้อนตัวเราออกมาเป็นการบำบัดเหมือนกัน เช่น เราเห็นตัวเราในอดีตในวรรณกรรมบางเรื่อง ในเพลงบางเพลง ในภาพถ่ายหรืองานศิลปะอะไรก็แล้วแต่ เห็นว่าเราเคยทำแบบนี้ เคยเป็นคนแบบนี้ เราก็พร้อมเข้าใจและให้อภัยตัวเองมากขึ้น หัวเราะให้กับอดีตและความเจ็บปวดได้

ความเข้าใจคือสิ่งที่คุณพยายามค้นหาผ่านงานศิลปะ

เป็นการยอมรับความจริงว่ามนุษย์ไม่ได้เพอร์เฟกต์ มันมีบาดแผล อ่อนแอ มันทุกข์ได้ สุขได้ พลาดได้ โง่ได้ เราเป็นมนุษย์ที่พร้อมจะย่ำอยู่ตรงนี้แหละ ผิดบ้าง ถูกบ้าง เสียใจ เติบโตเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ยังเป็นเด็กปะปนกันไป

งานศิลปะมันทำให้เรารู้ว่าชีวิตมีความแตกต่างหลากหลาย เวลาผมไปเสพงานศิลปะเราได้เห็นอีกด้านของชีวิตมนุษย์ เช่นกัน คนที่มาเสพงานของผมเขาก็จะได้เห็นอีกด้านของชีวิตมนุษย์ และการที่เราได้เห็นสิ่งที่แตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจเขาก็จะได้คิดเองว่าคนก็เป็นอย่างนี้แหละ คนเราคิดไม่เหมือนกัน แอ็กติ้งไม่เหมือนกัน เชื่อไม่เหมือนกัน

คุณบอกว่า X The Xhibition คือความท้าทาย เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่ามันท้าทายคุณยังไง

สมัยก่อนถ้าคุณต้องการเป็นเจ้าของบทกวีคุณต้องไปอ่านในหนังสืออย่างเดียว แต่ตอนนี้แทนที่เราจะพิมพ์บทกวีในหนังสือเรากลับจัดในห้องนิทรรศการ เราจะเรียกห้องนี้ว่าเป็นหนังสือป๊อปอัพก็ได้นะเพราะมันมีสามมิติ เรื่องราวทั้งหมดมันอยู่ในนั้น ถ้าใครอยากเป็นเจ้าของบทกวีก็ต้องช้อปปิ้งงานศิลปะ วิธีการเสพบทกวีก็ถูกท้าทายให้เปลี่ยนไปจากขนบเดิมๆ เพราะว่าบทกวีทั้ง 27 บทก็จะไม่ตีพิมพ์เป็นหนังสือ ถ้าอยากอ่านบทกวีทั้งหมดก็ต้องมาที่นี่เท่านั้น

การท้าทายขนบแบบนี้เท่ากับอยากให้บทกวีออกไปสู่วงกว้างขึ้นไหม

พอพูดอย่างนี้ท้าทายเลยนะ ไม่รู้กว้างหรือแคบ เพราะเวลาพิมพ์เป็นหนังสือ หนังสือมันอยู่ในทุกร้านหนังสือเลยนะ แต่งานนี้คุณต้องมาที่นี่ที่เดียวตกลงอันไหนกว้างอันไหนแคบ หรือถ้าคิดว่าคนที่มาดูงานเขาถ่ายรูปแล้วแชร์ นี่ก็กว้าง เป็นความท้าทายว่าตกลงผมกับโต๋พยายามทำบทกวีให้มันกว้างหรือแคบกันแน่ 

ดังนั้นมันก็เป็นการศึกษาท้าทายกรอบของสื่อแล้วว่าตกลงบทกวีที่ผมทำในหนังสือในแบบเดิมๆ กับผมทำแบบนี้อย่างไหนจะไปสู่คนได้มากกว่ากัน  เดี๋ยวเราจะรู้เองตอนจบว่ามันแคบหรือมันกว้างกว่า 

มีอะไรในงานที่จะบำบัดคนดูได้ไหม

ซื้องานศิลปะนี่บำบัดได้แน่นอน (หัวเราะ) ช้อปปิ้งเอาไปแปะไว้ที่บ้านนี่แหละมีความสุข แต่เอาจริงๆ นะผมว่าศิลปะมันเป็นเครื่องมือเยียวยาตัวเองได้แน่นอน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ผลิตหรือผู้เสพ

คุณเขียนบทกวีมาหลายปี นำไปแสดงมาก็หลายที่ มีวิธีพัฒนาผลงานไหม

ตอบยากเหมือนกันนะ ส่วนใหญ่สิ่งที่ผมคิดคือเมื่อมีบทกวีแล้วเราจะให้ที่ทางมันอย่างไร มันควรเป็นหนังสือไหม หรือถ้าเราเอาไปแสดงเราจะแสดงยังไง แต่เมื่อบทกวีของผมมันเกิดจากอารมณ์ผมก็ไม่รู้จะพัฒนามันอย่างไร  (หัวเราะ) มันคือความซวยจะพัฒนายังไง รถชนคราวหน้าให้บุบน้อยลงเหรอ มันจะชนมันก็ชนน่ะ ที่เหลือก็เรียกประกัน ดังนั้น บทกวีมันเป็นเหมือนเบี้ยประกันที่ผมได้รับสินไหมทดแทน ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุเปรี้ยง ประกันก็จ่ายผมแล้ว นี่ครับ คุณตุล เอาไป 27 บท

ตุล ไวฑูรเกียรติ

ช่วงนี้มีอะไรที่จี๊ดจนอยากผลิตงานไหม

ช่วงนี้ไม่มีอะไรจี๊ด แฮปปี้ครับ พอเรามองอดีตก็ขอบคุณนะที่มันทำให้เราได้ก้าวไปข้างหน้าและมีความสุขแบบอื่นต่อได้เพราะว่าทุกๆ จุดจบของอะไรบางอย่างมันคือจุดเริ่มต้นของอะไรบางอย่างอยู่แล้ว เวลาเราพูดว่าบ๊ายบายมันแปลว่าเราจะเดินทางต่อไปแล้วนะ  ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องที่จะต้องมาคร่ำครวญอะไร คือเมื่อเกิดอาการซวยทางจิต อุบัติเหตุทางอารมณ์ หน้าที่ของเราคือเปลี่ยนมันเป็นความงาม ตอนนี้ผมจะนำความงามเหล่านี้มาร่วมมือกันกับเพื่อนเพื่อทำเป็นงานศิลปะไปอยู่ในห้องห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นความท้าทาย

คุณใช้บทกวีเพื่อการบำบัด เคยมีครั้งที่การบำบัดไม่ได้ผลไหม

มันยังใช้ได้อยู่นะสำหรับผม แต่เอาเข้าจริง ถ้ามีความสุขได้โดยไม่ต้องเขียนจะดีกว่า แต่ชีวิตเรามันไม่มีใครพ้นความซวยไปได้หรอก ในนิทรรศการนี้ก็มีบทที่พูดว่ากวีเหมือนคนถูกสาป เราต้องถูกสาปให้มีทุกข์ น้ำตากับเลือดของเราคือหมึก

สุดท้ายแล้วถ้าให้คุณเลือกระหว่างโดนสาปแต่มีผลงานกับมีความสุขแต่ผลิตงานไม่ได้อีกเลยคุณจะเลือกอะไร

ยังไงมีความสุขก็ดีกว่าอยู่แล้วครับ ผมเชื่อว่าอาชีพผมมาถึงจุดนี้แล้วผมมีงานให้ทำต่อได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเรื่องใหม่ๆ ถ้าถึงวันนั้นที่ผมแต่งเพลงใหม่ไม่ออกเลยผมก็จะไม่ฝืนนะ เพลงเก่าๆ ผมมีเกือบร้อยเพลงผมเอามาวนเล่นก็ได้ arrange ใหม่ก็ได้มันก็สนุกเหมือนกัน เป็นการสนุกโดยที่เราใช้ทรัพยากรเก่า เหมือนขยะรีไซเคิล ขยะทางอารมณ์เราก็รีไซเคิลได้ไม่ใช่ว่าต้องผลิตขยะใหม่เสมอไป

แต่ชีวิตคนเรามันไม่มีใครสุขตลอดหรอกครับ เดี๋ยวมันก็จะมีเรื่องซวยๆ เกิดขึ้นเสมอไม่ต้องห่วง ผมว่าคนเสพงาน แฟนเพลงบางครั้งก็เห็นแก่ตัวนะที่อยากให้มีเรื่องเหี้ยๆ เกิดกับผม (หัวเราะ) เอาเป็นว่าถ้าช่วงไหนผมไม่มีงานช่วงนั้นผมอาจจะแฮปปี้กว่าก็ได้

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน