วิ่งเพื่อความฝันของ บอย-อริย์ธัช พลตาล นักร้องนำแห่งวง Lomosonic

หลายคนที่เคยไปดูคอนเสิร์ตเล่นสดของวง Lomosonic จะรู้ว่าคอนเสิร์ตของพวกเขานั้นมีพลังและเรียกความสนุกจากคนดูให้สุดเหวี่ยงไปกับพวกเขาได้ขนาดไหน ซึ่ง บอย-อริย์ธัช พลตาล นักร้องนำของวงนั้นถือเป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้การแสดงสดของวงขึ้นชื่อว่ามันถึงใจจริงๆ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าบอยมีเคล็ดลับในการแสดงสดง่ายๆ ด้วยการออกไปวิ่ง เขาวิ่งเพื่อเพิ่มพละกำลังในการแสดงสด เขาวิ่งเพื่อคงความแข็งแรงในการร้องเพลง และทั้งหมดทั้งมวลนี้ เขาวิ่งเพื่อจะได้ทำสิ่งที่เขารักไปนานๆ

ทำไมเขาถึงรักการวิ่งขนาดนี้ ลองอ่านเลย แล้วคุณจะลองออกไปวิ่งเพื่อสิ่งที่รักดูสักครั้ง

ทำไมคุณถึงหันมารักการวิ่ง
“ผมวิ่งมาตั้งแต่เด็ก เพราะตอนเด็กๆ ผมป่วยบ่อย แล้วที่เริ่มวิ่งจริงจัง มันก็เริ่มต้นจากงานแม่เมาะฮาล์ฟมาราธอนครั้งแรก ซึ่งเราก็ได้ลงวิ่งเป็นครั้งแรกด้วย ผมเป็นคนแม่เมาะ ที่หมู่บ้านก็เกณฑ์คน เกณฑ์เด็กๆ ไปวิ่ง พอโตขึ้นมาหน่อย เราก็เป็นคนชอบเล่นกีฬา เล่นฟุตบอล ก็เลยได้วิ่งออกกำลังกายมาโดยตลอด แล้วก็มีช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่เราหมกมุ่นซ้อมดนตรีเพราะเราอยากจะเป็นนักดนตรี มีช่วงที่ทำงานเยอะ ไปเล่นคอนเสิร์ตเยอะ มีช่วงที่เราปาร์ตี้สำมะเลเทเมาอยู่พอตัว จนเราหยุดคิดว่าเราควรจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ เพิ่มพลังเพื่อใช้ในการแสดงคอนเสิร์ต เพราะรู้สึกว่าร่างกายเราอ่อนแอมาก ร้องไม่กี่เพลงก็เหนื่อยแล้ว เลยรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ต้องตั้งใจที่จะออกกำลังกายเพื่อฟิตพลังตัวเองขึ้นมา ซึ่งเราก็เลือกที่จะกลับมาวิ่ง กลับมาเล่นกีฬาหลายๆ อย่าง”

“ตอนที่กลับมาวิ่งอีกครั้งก็ต้องค่อยๆ ฝึกซ้อมไปจากวิ่งน้อยๆ ก่อน แล้วก็มีตารางวิ่งที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เหมือนทฤษฎีไมโล* ที่ว่าต้องเริ่มฝึกซ้อมจากอ่อนๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นทฤษฏีการเพิ่มความหนักหน่วงทีละน้อยในการฝึก แต่จากคนที่เคยวิ่งไกลๆ วิ่งมากๆ มาก่อน เราก็หงุดหงิดใจเหมือนกันนะ มาเริ่มต้นใหม่ผมก็รู้สึกไม่ดีกับตัวเองหรอก แต่ก็ค่อยๆ พยายามฝึกเรื่อยๆ เอาชนะตัวเองให้ได้ เมื่อเราฝึกเยอะๆ ออกกำลังกายเยอะๆ เพดานของกำลังเราก็สูงขึ้น ร่างกายก็เก็บพลังไปใช้ในคอนเสิร์ตได้มาก และทำให้แสดงคอนเสิร์ตได้ดี”

(*ทฤษฎีไมโล คือทฤษฎีสำหรับการเตรียมตารางออกกำลังกายทุกประเภท โดยเริ่มจากการฝึกแบบน้อยๆ หรือว่าอ่อนๆ ไปก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นของตารางฝึกซ้อมขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายก็จะปรับสภาพและแข็งแรงขึ้นไปตามที่ต้องการ)

คุณเป็นสายวิ่งแบบไหน วิ่งเร็วหรือวิ่งเรื่อยๆ
“จริงๆ แล้วผมจะดูช่วงเวลาว่าผมจะใช้กล้ามเนื้อขาวหรือกล้ามเนื้อแดง กล้ามเนื้อแดงคือการวิ่งไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นกล้ามเนื้อขาวก็จะเป็นการวิ่งเร็วๆ นานๆ ถ้าหนึ่งสัปดาห์ของผมจะวิ่งทั้งสองแบบ คือวิ่งยาวบ้าง วิ่งไป 2 – 3 ชั่วโมงเลย ใช้เวลาวิ่งไปแล้วก็ฟังเพลงไป แต่จริงๆ เราก็ชอบเล่นฟุตบอลมาก เราก็ไปวิ่งตอนที่เล่นฟุตบอลด้วย ก็เลยต้องบาลานซ์ว่าจะออกกำลังกายแบบไหน เช่นว่า วันนี้ไปเตะฟุตบอล อีกวันไปวิ่ง อีกวันวิ่งนานๆ วันไหนจะต้องพักบ้าง ก็ไม่รู้ว่าการบ้าพลังมันเป็นคำที่ดีหรือไม่นะ แต่รู้สึกว่ามันคงต้องใช้ แล้วอยู่ในวงการนี้ ถ้าไม่ออกกำลังกายแล้วออกไปโชว์ ถ้ามันแย่ลงแล้วมันก็ยาก เด็กเดี๋ยวนี้เก่ง เราก็ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ คนในวงจะรู้เลยว่าผมจะกินอะไร ผมจะทำอะไร แต่ก่อนคนในวงจะงงๆ มากว่าเรารักการออกกำลังกายขนาดนั้นเลยเหรอ ทุก 4 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม จะติดต่อผมไม่ได้เลย แต่ตอนนี้ทุกคนในวงหรือทีมงานจะรู้ว่ามันเป็นหน้าที่ของเรา เรารู้สึกว่าเราต้องออกกำลังกายจริงๆ เพื่อการแสดงคอนเสิร์ตที่ดี เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย พรุ่งนี้ถ้านอนน้อย อยากจะปาร์ตี้กินเบียร์ มันก็ไม่ดี คอนเสิร์ตพรุ่งนี้ก็เจ๊ง ก็คงไม่มีคนอยากดู ไม่มีคนจ้าง เราก็คงเจ๊งไปด้วย”

คุณเป็นคนมีวินัยเรื่องการออกกำลังกายมากเลยใช่มั้ย
“ผมก็รู้สึกว่าเป็นคนมีวินัยนะ แต่ผมไม่ได้เครียดขนาดนั้น แต่ที่เรามีแบบแผน วางตารางชีวิตเพื่อออกกำลังกายนั้นมันเกิดจากการที่เรารู้ว่าเราอยากจะทำอะไร อยากจะเป็นอะไร พฤติกรรมทั้งหลายของผมก็จะปรับเปลี่ยนให้เราเป็นคนแบบนั้น ถ้าบอกว่า Lomosonic เป็นวงที่แสดงสดได้เป็นบ้าเป็นหลังหรือสุดยอด ก็คิดกลับไปว่าทำไมเราถึงสามารถแสดงดนตรีสดได้เป็นบ้าเป็นหลังขนาดนั้น เราต้องออกกำลังกายเพื่อให้เรามีกำลัง มีพลังเพื่อใช้บนเวที แต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เข้าสังคมเลยนะ จริงๆ ผมก็ดื่มนะแต่ก็ต้องเลิก เพราะสุดท้ายผมรักการร้องเพลงมากกว่า ผมรักการที่จะอยู่บนเวทีมากกว่า เมื่อเราเลือกสิ่งนี้ เราก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะต้องเป็นคนแบบนั้นให้ได้ ถ้าจะแตกแถวไปปาร์ตี้บ้าง ไปดื่มบ้างก็ขอให้มีวันว่างเยอะๆ ให้ผมได้จัดการชีวิตได้”

“มันไม่ใช่ว่าออกกำลังกายแล้วจะไปกร่างกับคนอื่นว่าเราดีกว่าคนอื่น จริงๆ คือทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ เราจะออกกำลังกาย เขาจะไม่ออกกำลังกายก็แล้วแต่ ผมไม่ได้บอกใครๆ ไปทั่วว่าเราออกกำลังกายทุกวันนะ แต่อย่างน้อยคือถ้ามีเด็กเห็นเราวิ่ง เห็นเราออกกำลังกายแล้วเด็กคนนั้นลุกขึ้นมาวิ่งบ้าง หรือไม่ติดยา ผมก็ดีใจนะ”

นอกเหนือจากเรื่องพละกำลังที่เราได้มาจากการวิ่ง ยังค้นพบอะไรอีกมั้ย
“เคยอ่าน เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง ของฮารูกิ มูราคามิ เขาเป็นนักเขียนที่ชอบวิ่งมาราธอน เวลาที่วิ่งเขาจะชอบคิดถึงเรื่องเก่าๆ ผมเองก็เหมือนกัน มันเป็นช่วงเวลาที่เราได้คิดเรื่องต่างๆ ตั้งแต่เรื่องงาน เรื่องปัญหา ส่วนใหญ่เวลาที่วิ่ง มันเป็นช่วงเวลาที่เราได้ทบทวนตัวเอง”

นักร้อง ศิลปิน มักไปทัวร์คอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัดบ่อยๆ หรือไม่ค่อยมีเวลาว่างเท่าไร คุณหาเวลาออกกำลังกายให้ตัวเองอย่างไร
“เวลาที่ผมไปทัวร์ต่างจังหวัด เราจะบังคับให้ตัวเองต้องไปวิ่งอยู่เสมอ สมมติว่ารถตู้วิ่งไปสกลนครหรืออุดร ผมจะให้เขาจอดดรอปผมลงก่อนสัก 15 – 20 กิโลเมตร ก่อนจะเข้าเมืองเพื่อที่จะได้วิ่ง ไม่งั้นอ้วนฉิบหายเลย เพราะเรามีของกิน มีเซเว่นตลอดเวลา ผมไม่อยากหาข้ออ้างให้ตัวเองว่าไม่มีเวลา เรารู้สึกว่าเราต้องทำ ต้องออกกำลังกาย คือถ้าเราไม่ทำ เราก็ไม่สามารถควบคุมคอนเสิร์ตได้ หรือมันทำให้การแสดงของเราดรอปลง เราก็คิดว่ามันไม่โอเค เพราะดนตรีเป็นสิ่งที่สามารถวัดผลกันได้ คุณจะเห็นเลยว่านักร้องเหนื่อยแค่ไหน หรือคุมคอนเสิร์ตไหวไหม ที่เราออกกำลังกายทุกวันนี้ก็เพื่อสิ่งนั้น ก็เพื่อเป็นนักร้องที่อยู่ไปได้นานๆ ก็เหมือนกับทุกอาชีพนะ คือถ้าคุณอยากทำข้าวผัดที่อร่อย คุณก็ต้องฝึกซ้อมเยอะๆ เพื่อให้เราเก่งในด้านนั้นๆ เราวิ่งเพื่อที่จะรักษาสิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เรารัก”

มีเคล็ดลับอะไรให้เหล่ารันเนอร์ที่อยากออกไปวิ่งต่างจังหวัดบ้างไหม
“ถ้าเจอหมาอย่าวิ่งหันหลัง หรือจะวิ่งใส่เลยก็ได้ ไม่งั้นมันจะวิ่งไล่กัด (ฮา) และอย่าวิ่งในถนนส่วนบุคคลนะ มันผิดกฎหมาย หลายคนอาจจะไม่รู้”

ภาพ ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

AUTHOR