“จริงๆ เรื่องนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะบอกเราเลย”
กิ๊ก–ญาณิฐา ลาเงินลาด เล่าให้เราฟังอย่างตรงไปตรงมา
‘เขา’ ที่เธอพูดถึงคือซาเวียร์–สามีชาวฝรั่งเศสที่เธอคบมาเกือบสิบปี และ ‘เรื่องนี้’ ที่เธอพูดถึงเกิดขึ้นในวันธรรมดาวันหนึ่งที่เธอกับซาเวียร์มาเที่ยวเมืองไทย
เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ที่จำได้คือระหว่างที่พวกเขาพักผ่อนในห้องพักของโรงแรมด้วยกัน หญิงสาวก็เหลือบไปเห็นหน้าจอแล็ปท็อปของสามีที่กำลังเปิดเว็บไซต์ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ อยู่
เธอถามด้วยความตกใจว่า “เป็นอะไร ทำไมต้องไปโรงพยาบาล เดี๋ยวเราพาไป”
ผู้เป็นสามีมีสีหน้าลำบากใจ เขาไม่ตอบออกมาตรงๆ สักทีจนเธอต้องคาดคั้น
ไม่รู้เลยว่าคำตอบของเขาจะไปไกลเกินกว่าสิ่งที่เธอกำลังกังวล
“ผมอยากแปลงเพศ”
ลูกทัวร์
คุณนิยามชีวิตที่สมบูรณ์ไว้แบบไหน ได้ทำสิ่งที่รัก ร่ำรวยเงินทอง หรือมีครอบครัวเล็กๆ ที่มีพ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้า ญาณิฐาก็ไม่ต่างจากผู้หญิงหลายคน เธอใฝ่ฝันอยากเป็นภรรยาของผู้ชายสักคนที่รักและดูแลเธอ มีลูกแล้วได้สร้างครอบครัวด้วยกัน
ย้อนกลับไปสิบปีก่อนตอนเจอกันครั้งแรก ญาณิฐาคือไกด์สาวอายุ 30 ต้นๆ ที่ทำหน้าที่นำเที่ยวแบบส่วนตัวให้ซาเวียร์ ชายวัยกลางคนชาวฝรั่งเศสที่มาเที่ยวเมืองไทยคนเดียว
“ปี 2011 เขามาเที่ยวเมืองไทยครั้งแรก เราก็เป็นไกด์พานางไปเที่ยวกรุงเทพฯ เป็นทัวร์ปั่นจักรยานที่บางกระเจ้า ก็มีโอกาสได้คุยกัน แลกเปลี่ยนทัศนคติหลายๆ อย่างด้วยกัน เราเห็นว่าเขามีทัศนคติที่คล้ายๆ กันก็เลยแลกเปลี่ยนอีเมลและสไกป์คุยกันตั้งแต่นั้น”
เมื่อสิบปีที่แล้ว ซาเวียร์คือผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบผู้หญิง และญาณิฐาคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ชอบผู้ชาย นอกจากการมองโลกที่คล้ายกัน อุปนิสัยที่ทำให้เธอประทับใจคือความอ่อนโยนในตัวชายหนุ่ม
“เขาเคยแต่งงานมาก่อน หย่ากับภรรยามาได้สิบปีและมีลูกแล้วสองคน ตอนไปเที่ยวด้วยกันแล้วเห็นอะไรเขาก็จะคิดถึงลูกเขาตลอดเวลา อันนี้ลูกน่าจะชอบก็ถ่ายรูป ครั้งหนึ่งเราพาเขาไปชมวัด แล้วเขาเห็นแมวที่ถูกเอามาปล่อยทิ้งในวัดก็สงสาร อยากเอาแมวไปให้ลูกเพราะสงสารแมว
“ระหว่างที่อยู่ด้วยกันเรารู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างเติมเต็มกันและกันได้ ตามประสาฝรั่ง เขาจะเคร่งเครียดกว่าคนไทย ส่วนเราเป็นคนยิ้มง่าย รีแลกซ์ หรืออย่างเรื่องวินัย เราชอบหาเงินมากแต่ไม่มีวินัยทางการเงิน แต่ซาเวียร์เป็นนักบัญชี เขาก็จะมาเติมเต็มให้เราได้ มันเลยคลิกกันง่าย”
3 เดือนอาจเป็นระยะเวลาที่หลายคนมองว่าสั้นเกินไปที่จะคิดลงหลักปักฐานกับใครสักคน แต่ด้วยช่วงวัยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาประมาณหนึ่ง ทั้งคู่คุยกันทุกวัน ได้เห็นตัวตนของกันจนทะลุปรุโปร่ง และนึกภาพอนาคตร่วมกันได้ ความสัมพันธ์ของซาเวียร์กับญาณิฐาจึงยกระดับขึ้นอีกขั้น
ชายหนุ่มกับหญิงสาวตกหลุมรักกันและตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน เหตุผลของพวกเขาเรียบง่ายเช่นนั้น และไม่จำเป็นต้องมีมากกว่านี้
คนรู้ใจ
หลังจากนั้นญาณิฐาตัดสินใจบินไปลองใช้ชีวิตที่ฝรั่งเศส บ้านเกิดของซาเวียร์ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว ด้วยเธออยากลองทดสอบความสัมพันธ์ดูว่าที่พวกเขาคิดว่าไปด้วยกันได้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า
ที่นั่นหญิงสาวต้องปรับตัวให้ตัวเองสามารถก้าวผ่านอุปสรรคที่หลากหลาย ทั้งกำแพงด้านภาษา สภาพอากาศ อาหาร และอุปนิสัยของคนต่างชาติที่ชอบพูดตรง รวมถึงการที่ลูกสาวของซาเวียร์ไม่ยอมรับในตัวเธอ
“ลูกสาวเขาไม่โอเค เพราะเขารู้สึกเหมือนจะโดนแย่งพ่อเขาไป เราก็กลับมาทบทวนอีกทีว่าถ้าเราเข้ามาแล้วลูกของเขาไม่โอเค เราควรจะอยู่ที่นั่นหรือเปล่า แต่ด้วยความเป็นฝรั่ง เขาเกิดมาพร้อมกับการเปิดรับคำอธิบาย พอเรากับซาเวียร์ได้คุยกับลูกสาวเขาว่าเรารักแฟนของเราเหมือนที่ลูกสาวเขาก็รักพ่อเขา ทุกคนต่างรักผู้ชายคนนี้ แล้วทำไมเราจะต้องขัดแย้งกันเพื่อให้เขาไม่สบายใจ ก็คุยกันได้”
เมื่อบอกตัวเองและคนรักว่าเธอสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ ซาเวียร์ก็ขอเธอแต่งงาน แต่ญาณิฐาบอกว่าการแต่งงานของพวกเขาไม่ได้มีซีนโรแมนติกเหมือนในหนังรักหรอก
“เพราะเราแก่เกินไปแล้วมั้ง” หญิงสาวหัวเราะ “เขาถามเราว่าเป็นภรรยาเขาได้ไหม อยู่ที่นี่ได้ไหม ถ้าอยู่ได้ก็แต่งงานกับเขาเถอะ เป็นการนั่งคุยธรรมดาไม่ได้มีโมเมนต์พิเศษอะไร และตอนขอเขาก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องแต่งเดี๋ยวนี้ ให้เรากลับบ้านไปทบทวนอีกทีว่ายังไง ไม่ได้เร่งรัด แล้วเขาจะขอคำตอบอีกทีว่ามันเป็นไปได้ไหมที่จะมาอยู่ที่นี่กับเขา”
แต่เมื่อเป้าหมายของทั้งคู่คือการดูแลกันและอยากสร้างครอบครัวด้วยกัน ญาณิฐาจึงไม่ขอประวิงเวลาและตอบตกลงกับซาเวียร์ทันที
สามี
ชีวิตคู่ของญาณิฐาและซาเวียร์ไม่ได้แตกต่างจากคู่รักทั่วไป เมื่อย้ายมาที่ฝรั่งเศสและจดทะเบียนเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกกฎหมาย ซาเวียร์คือหัวหน้าครอบครัวผู้เป็นฝ่ายออกไปทำงานนอกบ้าน หารายได้จุนเจือครอบครัว ส่วนญาณิฐารับบทแม่บ้านที่คอยเทคแคร์สามีเมื่อเขากลับมา มีการแบ่งบทบาทตามเพศเหมือนครอบครัวทั่วไป
พวกเขามีลูกด้วยกันสองคนชื่อภาคินกับแพรไพลิน และในช่วงที่ต้องเลี้ยงลูกอยู่บ้านนั้น ญาณิฐาก็ริเริ่มธุรกิจมูสสเปรย์กำจัดขนของตัวเองที่ขายทั้งในไทยและฝรั่งเศส ซึ่งเป็นธุรกิจที่กำลังมาแรงในช่วงนั้น
“เราเป็นคนไม่ชอบหลอกลวงผู้บริโภค อยากให้เห็นว่ามูสเรามันดีจริงๆ ก็เรียกซาเวียร์มารีวิวโชว์ ด้วยความเป็นฝรั่ง ขนของเขาก็จะเยอะเป็นพิเศษ เราก็ฉีดมูสแล้วลูบขนออกให้ลูกค้าเห็นว่ามันง่าย”
แต่ใครจะคิดว่าการรีวิวผลิตภัณฑ์กำจัดขนแบบเล่นๆ จะปลุกอีกตัวตนที่ถูกฝังอยู่ในตัวของซาเวียร์ขึ้นมา
“ก่อนหน้านี้ไม่มีสัญญาณอะไร เขาเพิ่งรู้ตัวจริงๆ ตอนที่ทดสอบมูส เขาบอกว่าเขารู้สึกสะอาด เกลี้ยงเกลา และรู้สึกดูดี เขาก็เอะใจว่าทำไมเขาชอบผิวหนังไม่มีขนของตัวเอง จากนั้นเขาเลยเริ่มไปปรึกษาจิตแพทย์ว่าทำไมเขารู้สึกแปลกๆ แบบนี้ พอขนมันเกลี้ยงเกลาแล้วเขารู้สึกอยากใส่กระโปรง เห็นคนใส่กระโปรงแล้วสวย จุดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเขาเลย
“แกมาเล่าให้ฟังทีหลังว่าจริงๆ แกคงเป็นคนข้ามเพศตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ด้วยความที่พ่อแม่เป็นครอบครัวคอนเซอร์เวทีฟ ให้ไปเตะฟุตบอล เล่นยูโด ทำกิจกรรมของผู้ชาย ทั้งที่จริงแล้วเขาชอบอ่านหนังสืออยู่บ้านมากกว่า
“ประกอบกับก่อนหน้านี้เขาไม่เคยชอบผู้ชายเลย ถ้าพูดกันตามหลักแล้วเขาเป็นเลสเบี้ยน ชอบผู้หญิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร มันเลยยิ่งยากสำหรับเขาในการค้นพบตัวเองเข้าไปใหญ่ เพราะทรานส์ที่ชอบผู้ชายอาจจะตื่นเต้นเวลาเห็นผู้ชาย แต่เขาไม่เคย เขาจะตื่นเต้นเฉพาะตอนเจอผู้หญิงเท่านั้น ก็เลยทึกทักกับตัวเองว่าไม่ได้เป็น LGBTQ+ หรอกมั้ง และไม่ได้ค้นหาตัวเองมาหลายสิบปีจนถึงตอนนี้”
หลังจากรื้อค้นตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแน่ใจ ซาเวียร์ก็แอบเทคฮอร์โมนแบบลับๆ เพื่อปลูกเมล็ดพันธุ์ของคนที่เขาอยากจะเป็นในร่างเดิม ขณะเดียวกันเขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกผิดของตัวเองที่ไม่ได้บอกความจริงให้ญาณิฐารู้ แต่จะให้ทำยังไงในเมื่อภาพหัวหน้าครอบครัวของเขายังค้ำคออยู่
การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องน่ากลัวเสมอ โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นสามีที่ภรรยารัก พ่อที่ลูกหวังพึ่ง ไหนจะตำแหน่งเจ้าของบริษัทบัญชีอันน่าเชื่อถือ
“แกมาเล่าให้ฟังทีหลังว่าถ้าบอกไปเขาก็กลัวเสียเราไป เพราะมันต้องใช้เวลาในการยอมรับตัวเอง ต่อสู้กับตัวเองมากพอสมควร การที่อยู่เฉยๆ คุณพ่อลูกสี่จะมาบอกว่าฉันเป็นทรานส์เจนเดอร์ มันยากมาก ประจวบกันตอนนั้นกิ๊กก็เริ่มท้องตัวเล็กคนที่สองแล้ว กิ๊กก็วุ่นวายกับการดูแลครรภ์ ก็ไม่ได้สังเกตว่าอะไรในตัวเขาเปลี่ยนไป”
อันที่จริงญาณิฐาสังเกตเห็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เธอคิดว่าเป็นเรื่องตลกมาตลอด “เราเห็นว่าเป็นเรื่องโจ๊กไง อุ๊ย ทำไมนมเธอตั้งเต้า เธอจะมีนมแข่งกับฉันเหรอ ทำไมผิวเธอสวยจัง เราก็สังเกตแต่ไม่ได้เอะใจอะไร”
เกือบ 2 ปีหลังจากค้นพบตัวเองกว่าซาเวียร์จะบอกความจริงให้ญาณิฐาได้รู้
มันเกิดขึ้นในวันธรรมดาวันหนึ่งที่เธอกับเขามาเที่ยวเมืองไทย เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ที่จำได้คือระหว่างที่พวกเขาพักผ่อนในห้องพักของโรงแรมด้วยกัน หญิงสาวก็เหลือบไปเห็นหน้าจอแล็ปท็อปของสามีที่กำลังเปิดเว็บไซต์ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ อยู่
“จริงๆ เรื่องนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะบอกเราเลย พอเราเห็นเขาเปิดเว็บไซต์โรงพยาบาลก็ถามว่าเป็นอะไร ทำไมต้องไปโรงพยาบาล เดี๋ยวเราพาไป ด้วยความหวังดีไง เราไม่อยากให้เขาไปคนเดียว”
ผู้เป็นสามีมีสีหน้าลำบากใจ เขาไม่ตอบออกมาตรงๆ สักทีจนเธอต้องคาดคั้น ไม่รู้เลยว่าคำตอบของเขาจะไปไกลเกินกว่าสิ่งที่เธอกำลังกังวล
“เขาบอกกิ๊กว่าผมอยากแปลงเพศ จริงๆ เขาเป็นคนข้ามเพศนะ เราก็ตกใจ ช็อก และเสียใจ แต่งงานกันมา 7-8 ปี พอมาเจอแบบนี้มันตั้งตัวไม่ทัน มันไม่มีสัญญาณบอก ทุกอย่างประดังประเดเข้ามา เราไม่คิดเลยว่าชีวิตเราจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จริงๆ เราไม่ได้ซีเรียสกับการที่เขาเป็นคนข้ามเพศนะ เขาจะเป็นอะไรก็ได้ แต่โมเมนต์นั้นเรามีลูก ลูกคนที่สองก็เพิ่งอายุได้ 4 เดือน
“เราช็อกแล้วร้องไห้ไปเลย จำได้รางๆ ว่าคืนนั้นเขาอธิบายให้เราฟังตั้งแต่สองทุ่มยันตีสอง แต่เราไม่รู้เรื่องเลย เข้าใจแล้วว่าคำว่าเสียใจจนหูดับเป็นยังไง
“แต่พอตั้งสติได้ อีกวันหนึ่งเราก็ขอให้เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เขาก็เท้าความมาตั้งแต่เริ่มทดลองสเปรย์กำจัดขน บอกว่าเขามั่นใจแล้วว่าเขาเป็นแบบนี้ ตอนนี้เขาอยากเป็นผู้หญิงเต็มตัว และบอกเราว่าถ้ากิ๊กไม่โอเค เขาจะยังคงเป็นผู้ชายเหมือนเดิม ไม่ผ่าตัดแปลงเพศ แค่กิ๊กบอกเท่านั้น”
วินาทีนั้นหญิงสาวรู้สึกเหมือนเดินมาถึงหนึ่งในทางแยกที่ใหญ่ที่สุดของชีวิต เธอตระหนักว่าเธอมีสิทธิที่จะตัดสินชะตาชีวิตของคนคนหนึ่ง–ผู้ชายคนหนึ่งที่เธอรัก สามีของเธอจะยังเป็นคนเดิมหรือเปลี่ยนไปตลอดกาล ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำตอบจากปากเธอ
สุดท้าย ญาณิฐาก็เลือกให้เขาได้เป็นตัวเอง
“กิ๊กมองว่าคนคนหนึ่งโชคดีแค่ไหนที่จะมีโอกาสได้ค้นพบตัวเอง มันมีตั้งหลายร้อยล้านคนในโลกที่ไม่รู้จักตัวเอง แต่เขามีโอกาสนั้น แล้วทำไมกิ๊กจะต้องไปขัดขวางเขา กิ๊กบอกเขาเลยว่าถ้าเธอค้นพบสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขแล้วเราจะไม่ห้าม เพราะมันไม่มีประโยชน์ที่จะห้าม เขาเป็นไปแล้ว มันห้ามไม่ได้แล้ว”
วันรุ่งขึ้น ญาณิฐาก็พาซาเวียร์ไปช้อปปิ้งส้นสูงและชุดเดรสทันที เธอได้พูดคุยเปิดอกกับเขาและได้รู้ว่าซาเวียร์วางแผนมาแปลงเพศที่เมืองไทยนานแล้ว เพราะหมอที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการแปลงเพศได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
เมื่อถึงวันที่ต้องแปลงเพศ ญาณิฐาก็พาลูกๆ ไปเฝ้าอยู่หน้าห้องผ่าตัดด้วยกัน ตลอดหลายชั่วโมงที่เธอภาวนาขอให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างปลอดภัย “เธอต้องไม่เป็นไร ต้องหายเร็วๆ คิดแค่นั้น” แล้วการผ่าตัดก็ผ่านไปได้ด้วยดีอย่างที่เธอหวัง
“พอออกมาพักฟื้น เขาเห็นหน้าเราเขาก็บอกว่าดีใจ เราก็ดีใจกับเขา บอกเขาว่าดีใจด้วยที่ได้เป็นผู้หญิงเต็มตัว”
วันนั้นสามีชื่อซาเวียร์ได้จากไปตลอดกาล แต่ ‘เอมม่า’ ภรรยาใหม่ได้ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรก
ภรรยา
แน่นอนว่าเมื่อมีภรรยาคนใหม่ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการแนะนำให้คนในครอบครัวรู้จัก
“กิ๊กเอาเขาไปแนะนำกับแม่ สิ่งที่แม่กิ๊กถามคือกิ๊กโอเคไหม ถ้ากิ๊กโอเค แม่โอเค ถ้ากิ๊กรับได้แล้วกิ๊กพร้อมสู้ต่อไปกับมัน พ่อแม่กิ๊กโอเค แล้วแม่กิ๊กก็คุยกับคุณเอมม่าว่าต่อไปนี้เขาไม่ได้เป็นลูกเขยแม่แล้ว แต่จะเป็นลูกสาวคนโตของแม่ ขอให้ดูแลกันให้ดี มาดามก็ซึ้ง น้ำตาเอ่อ ส่วนพ่อกิ๊กนางจะเป็นคนตลกโปกฮา ด้วยความที่เอมม่าเป็นคนปากเล็ก นางก็จะบอก อุ๊ย เอมม่า เธอน่ะต้องไปฉีกปากอีกให้โตๆ จะได้เซ็กซี่ นี่คือคุณพ่อดิฉัน” หญิงสาวหัวเราะ
“ส่วนที่บ้านเขา ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่เขาเสียหมดแล้วเหลือแต่ญาติๆ เขาก็มาอวยพรเอมม่าว่าขอให้มีความสุขกับชีวิตใหม่นะ แค่นี้เลย กิ๊กว่าเขารู้อยู่แล้วว่าลูกหลานเขาเป็น LGBTQ+ แต่ที่ผ่านมาปิดไว้ตลอด พอวันหนึ่งที่เขาได้ค้นพบตัวเองในวัยที่มีหน้าที่การงานทุกอย่างเพียบพร้อมแล้ว เขาก็คงดีใจด้วย
“กิ๊กว่าเรื่องนี้สำคัญมากนะ การถูกยอมรับโดยคนในครอบครัวมันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ วันไหนที่เขาดาวน์มาจากสังคมข้างนอก พอกลับมาเจอครอบครัวก็รู้สึกว่ายังมีคนสนับสนุนเขาอยู่ กิ๊กว่าครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตแล้วล่ะ ถ้าครอบครัวไม่เข้าใจสิ่งที่เราเป็นก็คงเรียกว่าครอบครัวไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเส้นทางการเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ของเอมม่านั้นโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป หลังจากเอมม่าได้เหยียบแผ่นดินฝรั่งเศสอีกครั้งในฐานะ ‘มาดาม’ (คำสุภาพที่คนฝรั่งเศสมักใช้เรียกผู้หญิงแต่งงานแล้ว) แก้ทะเบียนสมรสของเธอกับญาณิฐาให้เป็นภรรยากับภรรยา และเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อเป็น ‘นาง’ เสร็จสรรพ มาดามเอมม่าก็พบอุปสรรคสำคัญคือการเลือกปฏิบัติต่อคนข้ามเพศในที่ทำงาน
เอมม่าเป็นเจ้าของบริษัทบัญชีที่ทุกเดือนต้องไปนัดเจอลูกค้าเพื่อปิดงบกัน เธอจึงอีเมลไปบอกลูกค้าทุกรายของบริษัทว่าแปลงเพศแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาตกใจกับตัวตนใหม่ ปรากฏว่าลูกค้าหลายรายยกเลิกการใช้บริการโดยไม่ได้บอกเหตุผล
“เอาจริงๆ คนฝรั่งเศสโอเคกับ LGBTQ+ นะ แต่เมื่อใดที่เธอแปลงเพศแล้วเขาจะคิดว่าคนนี้ป่วย เธอไม่ได้แฮปปี้กับร่างกายของเธอ กิ๊กไม่ได้เหมารวมทั้งหมดนะ แต่จะมีหลายคนที่เป็นกลุ่มคอนเซอร์เวทีฟอยู่” เช่นเดียวกับเพื่อนของญาณิฐาหลายคนที่เมื่อรู้ว่าสามีของเธอแปลงเพศ เธอก็โดนเลิกคบโดยไม่มีเหตุผล
ไม่ได้มีแค่ปัญหานอกบ้าน แต่เอมม่าและญาณิฐาต้องเผชิญกับปัญหาในบ้านที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะแรงกดดันจากสังคมรอบข้างทำให้เธอครุ่นคิดกับตัวเองอีกครั้งว่าที่ยอมให้สามีได้เป็นตัวเองนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือเปล่า
“กิ๊กยังไม่มั่นใจในตัวเองว่าสิ่งที่ทำไปมันถูกต้องไหมสำหรับลูก มันจะมีโมเมนต์ที่คิดมากว่าถ้าลูกโตขึ้น ลูกจะมองยังไง เขาจะโดนล้อเลียนไหมว่าพ่อเป็นกะเทย แล้วก็กลับมาถามตัวเองว่าเรารับเรื่องนี้ได้เหรอถ้ามีคนถามว่าคนไหนเป็นพ่อของเด็ก เรากลัวสิ่งที่สังคมจะมองเรา”
เคยอึดอัดถึงขนาดคิดจะทิ้งเขาไหม เราโยนคำถาม
“เคย มากกว่าหนึ่งครั้งด้วย” เธอตอบทันที
“ตอนแรกๆ ที่เขาแปลงเพศมา เราขอหย่าทุก 2 เดือน ตอนนั้นเรายังสับสนในตัวเองอยู่มาก ถามตัวเองตลอดว่า เฮ้ย จริงเหรอ เราจะอยู่กับชีวิตแบบนี้เหรอ ทำไมฉันต้องมาเสียเวลารอเธอแต่งตัว ทำไมฉันต้องมาขับรถให้เธอ ทำไมฉันต้องมาขนน้ำเข้าบ้าน ทำไมฉันจะต้องมาออกงานและแนะนำเขาว่าเป็นภรรยาทั้งๆ ที่เขาเคยเป็นสามี เคยถึงขนาดตอนวันเกิดอายุ 40 ปีของเรา เราบอกเขาว่าเราอยากได้สามีคนเดิมกลับมาเพราะเรารู้สึกอับอายและเสียเปรียบ ทั้งๆ ที่จริงมันไม่ได้มีอะไรน่าอายหรือเสียเปรียบเลย สิ่งที่เราคิดเป็นเรื่องไร้สาระมาก มันเป็นปมที่ใช้เวลานานเกือบปีกว่าจะปลดล็อกตรงนี้ได้”
แล้วปลดล็อกความคิดนี้ได้ยังไง เราสงสัย
“เราแค่หยุดคิดว่าเราจะเอาอะไรจากเขา มองย้อนกลับไปเขาก็ไม่ได้เอาเปรียบเรานี่ ขับรถเราก็ขับได้ ยกน้ำเข้าบ้านก็สบาย ออกงานด้วยกันเป็นคู่ผู้หญิงก็น่ารักกระหนุงกระหนิงดี และเขาไม่ได้นอกใจหรือทำร้ายเรา จริงๆ เราไม่ได้โดนเอาเปรียบหรอก เราแค่คิดไปเอง พอเปลี่ยนความคิดทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป
“จริงๆ เอมม่าก็บอกเสมอว่าถ้าชีวิตคู่ถึงจุดหนึ่งที่มันไปด้วยกันไม่ได้ เราอยากไปมีคนใหม่ เขาก็โอเคนะ แต่ความรักที่เรามีให้กันมันมากกว่าทางชู้สาว มันคือคู่ชีวิตที่ไม่ได้มองแค่ว่าเขาเป็นเพศอะไร ไม่เกี่ยวเลยว่าใส่สูท ผูกไท หรือใส่เดรส เรามองข้ามสิ่งภายนอกพวกนี้ไปแล้ว
“มีคำถามที่เพื่อนถามกันมาเยอะคือเรื่องเซ็กซ์ ซึ่งยังเป็นปกตินะ ตั้งแต่ไปแปลงเพศมาเราก็ยังมีเหมือนเดิม หมอที่เมืองไทยเขาทำดีเพราะยังคงเส้นประสาทให้คุณเอมม่าสามารถมีอารมณ์ทางเพศได้ เราก็จัดการตามสิ่งที่เขาอยากให้ทำ มันไม่ใช่การมีเพศสัมพันธ์ที่ต้องเอาอวัยวะเพศสอดใส่เข้าไป แค่กอด จูบ ลูบไล้กับคนที่รัก มันก็พอแล้ว”
ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่เอมม่าได้ใช้ชีวิตใหม่ ญาณิฐาก็รู้สึกว่าเธอเติบโตขึ้นทั้งด้านความคิดและการใช้ชีวิตไปพร้อมกัน เธอเรียนรู้ที่จะเรียกคู่ชีวิตว่าภรรยาได้คล่องปากขึ้น ได้ตระเตรียมบทสนทนาที่อธิบายเรื่องเพศสภาพของเอมม่าให้ลูกๆ ฟังเมื่อพวกเขาเอ่ยปากถาม รวมไปถึงการได้ทำความเข้าใจกับความหมายและบทบาททางเพศในคำว่าครอบครัวใหม่อีกครั้ง
“ตั้งแต่เขาเป็นเอมม่า คำว่าหัวหน้าครอบครัวของเขาไม่ได้หายไป เขาทำดีกว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะเราไม่ได้แบ่งบทบาทกันเหมือนสมัยก่อนว่าพ่อหรือแม่ต้องทำอะไร งานบ้านบางครั้งกิ๊กว่างกิ๊กก็ทำ หรือเอมม่าว่างนางก็ทำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนางทำมากกว่าด้วย” เธอยอมรับพร้อมรอยยิ้ม
“สำหรับกิ๊ก คำว่าพ่อแม่มันคือคำว่าผู้ปกครองน่ะ มันไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเท่านั้น ผู้ปกครองคือเพศไหนก็ได้แต่คุณต้องเติมเต็มความรักให้ลูกได้ คำว่าครอบครัวสามารถมีหลายรูปแบบ นี่คือเหตุผลที่กิ๊กทำเพจ ‘ครอบครัวคู่รักข้ามเพศ Transgender couple family’ ขึ้นมา เพราะอยากนำเสนอมุมมองการใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งให้คนได้เห็น”
แม้เวลาล่วงเลยมาแล้วสิบปีหลังจากทั้งคู่พบกันครั้งแรก ญาณิฐาก็ยืนยันกับเราว่าคนที่เธอตื่นขึ้นมาเจอทุกเช้าเป็นคนเดียวกับที่เติมเต็มเธอได้ในวันแรกเสมอ
“เขายังซัพพอร์ตเราทุกเรื่อง เรายังแลกเปลี่ยนความรู้สึกดีให้กัน และยังมีเป้าหมายของการอยากสร้างครอบครัวด้วยกันเหมือนเดิม ถ้ามีคนมาปรึกษาเราว่าสามีอยากแปลงเพศต้องทำยังไง เราก็จะบอกให้ซัพพอร์ตเขานะ หลังจากนั้นจะอยู่ด้วยกันได้หรือไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ซัพพอร์ตเขาก่อน เพราะถ้าครอบครัวไม่ซัพพอร์ต เขาจะไม่มีใครเลย การซัพพอร์ตให้คนรักได้เป็นตัวของตัวเองไม่ใช่การเสียสละ แต่คือสิ่งที่ควรทำ”
แล้วจนถึงตอนนี้ การมีเอมม่าเข้ามาในชีวิตสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ตัวคุณยังไงบ้าง เราถามคำถามสุดท้าย
“เปลี่ยนเยอะ ตั้งแต่ตอนเขาเป็นผู้ชาย เขาทำให้กิ๊กมีวินัยมากขึ้น พอแปลงเพศเขาก็ทำให้กิ๊กได้มองโลกกว้างขึ้น เมื่อก่อนเราถูกตีกรอบด้วยความเป็นหญิงชาย แต่ตอนนี้การมองโลกของเราเปลี่ยนไปและเข้าใจคนอื่นมากขึ้น
“เราชอบพูดบ่อยๆ ว่า ‘เห็นเขามีความสุขแล้วเรามีความสุข’ มันฟังดูง่ายนะ แต่ในทางปฏิบัติเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ อธิบายเป็นคำพูดยาก
“การได้เห็นแววตาเขาที่ยิ้มด้วยความสุขมันเหมือนเห็นดอกไม้บานน่ะ”
ติดตามเรื่องราวของญาณิฐาและเอมม่าต่อได้ที่เพจครอบครัวคู่รักข้ามเพศ Transgender couple family