เคยมีช่วงชีวิตหนึ่งที่ฉันมีหนังสือของ Jimmy Liao และตัวละครในนั้นเป็นเพื่อนปลอบประโลมจิตใจ
หมีกากบาทผู้เจ็บปวดที่สุดตรงหัวใจ
หินสีฟ้าที่อยากกลับบ้านจนแตกสลาย
หญิง-ชายที่รอวันดวงตะวันส่องฉาย
แฟนหนังสือของคุณจิมมี่ต่างรู้ตรงกันว่า เสน่ห์ของเขาคือภาพวาดสีสวยสด ตรงกันข้ามกับเรื่องราวหม่นเศร้า หากจะมีรอยยิ้มก็คงเป็นยิ้มน้อยๆ เพียงนิดเดียวตรงมุมปาก
หนังสือของเขาจึงปลอบประโลมฉันในวันที่จิตใจเศร้าหมอง เรื่องราวในหนังสือบอกฉันว่าตัวฉันและความรู้สึกของฉันไม่โดดเดี่ยว ในขณะที่ภาพวาดสีสดเปี่ยมรายละเอียดก็ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของฉันกระจ่างขึ้นบ้าง
พอรู้ว่าจะมีหนังสือของคุณจิมมี่เล่มใหม่ แปลและจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ a book (เล่มใหม่ในที่นี้คือฉบับภาษาไทยเล่มใหม่ เพราะฉันที่ติดตามห่างๆ ก็ยังเห็นว่านักเขียนชาวไต้หวันมีผลงานอีกมากมายหลายเล่มที่สำนักพิมพ์ไทยไม่ได้เลือกมาแปล) แน่นอนว่าฉันตื่นเต้น หากเมื่อรู้ชื่อเรื่องและคอนเซปต์การเล่าเรื่องในนั้นก็ออกจะตกใจเพราะมันผิดคาดไปเสียหน่อย
To Read or Not to Read, That Is My Question หรือในชื่อไทยว่า หากโลกนี้ไม่มีหนังสือ บอกเล่าเรื่องราวของเด็กชายลูกเจ้าของร้านหนังสือ เมื่อรู้ว่าพ่อจำเป็นต้องปิดร้านเพราะคนมาซื้อหนังสือน้อยลง เขาจึงชวนเพื่อนๆ มาหารือกันว่า ‘ทำไมพวกเราถึงไม่รักการอ่านหนังสืออีกต่อไป’
เมื่อเพื่อนๆ มารวมตัวกันตามนัด เด็กชายจึงเปิดสไลด์รวมคำพูดดีๆ ที่พ่อของเขารวบรวมจากหนังสือให้ทุกคนดู นั่นคือจุดที่เนื้อหาหลักของ หากโลกนี้ไม่มีหนังสือ เริ่มต้น ในหนึ่งหน้าคู่จะมีโควตคำพูดว่าด้วยการอ่านหรือความสำคัญของหนังสือของนักคิด นักเขียน หรือกระทั่งนักแสดง จับคู่กับภาพวาดเปี่ยมจินตนาการอันเป็นเอกลักษณ์ของคุณจิมมี่
ที่ฉันบอกว่าผิดคาดนั้นไม่ใช่ว่า หากโลกนี้ไม่มีหนังสือ เป็นหนังสือที่ไม่ดี เพียงแต่ในฐานะคนที่ปวารณาตนเป็นแฟนคลับระดับที่เมื่อมีโอกาสก็ซื้อแม้กระทั่งฉบับภาษาจีนที่อ่านไม่ออก หลังจากไม่มีฉบับภาษาไทยให้อ่านมาเนิ่นนาน ฉันโหยหาเรื่องราวที่จะพาคนอ่านโลดแล่นไปในโลกแฟนตาซีสมจริงของเขา ว่าง่ายๆ คือฉันอยากอ่านฟิกชั่นนั่นแหละ พอเจอโควตจากคนมากหน้าหลายตา ต่อให้คุณจิมมี่เป็นคนคัดสรรเองกับมือก็ยังรู้สึกว่ายังคลายความคิดถึงได้ไม่มากนัก
กระนั้นเมื่อเปิดใจและพลิกอ่านต่อไปเรื่อยๆ ฉันก็พบกลิ่นอายของจิมมี่ซ่อนอยู่ในบางหน้ากระดาษ อย่างในหน้าที่หยิบยกโควตของ William Somerset Maugham ที่ว่า ‘การสร้างนิสัยรักการอ่าน คือการสร้างหลุมหลบภัยจากความทุกข์เกือบทั้งปวงในชีวิต’ มาจับคู่กับภาพของกระต่ายตัวโตที่โอบอุ้มเด็กน้อยที่ผล็อยหลับขณะอ่านหนังสือ ในหน้านั้นมีประโยคหนึ่งเพิ่มเข้ามาโดยคุณจิมมี่เอง ‘แต่ที่รัก เมื่อใดกันหรือ ที่ชีวิตไร้ซึ่งความเจ็บปวดและทุกข์ระทม’
ประโยคนั้นแง้มประตูสู่โลกที่สวยงามทว่าฉาบเคลือบด้วยสีน้ำเงินที่ฉันคุ้นเคยและตกหลุมรัก
ความคิดถึงก็พอจะทุเลาลงไปบ้าง
ประเด็นหลักใน หากโลกนี้ไม่มีหนังสือ คือการตั้งคำถามว่าทำไมคนอ่านหนังสือน้อยลง การหยิบยกโควตว่าด้วยการอ่านมาก็แสดงออกชัดเจนว่าคุณจิมมี่สนับสนุนฝ่ายใด แต่เพื่อไม่ให้ดูยัดเยียดจนเกินไป เขาจึงวาดตัวละครเด็กๆ ที่ขยันเถียงให้คนอ่านเห็นความคิดอีกมุมของคนที่ไม่อ่านหนังสือ ซึ่งก็ไม่ได้เลวร้ายเสียหน่อย
ระหว่างพลิกหน้าถัดไปและถัดไป ฉันสงสัยว่าหนังสือเล่มนี้ต้องการสื่อสารกับใครกันแน่ เพราะหนังสือจั่วหัวมาเหมือนจะชวนคนไม่อ่านหนังสือให้ลองอ่านหนังสือ แต่ก็ต้องเป็นคนรักการอ่านอย่างฉันสิถึงจะหยิบหนังสือเล่มนี้ออกจากชั้นในร้านหนังสือแล้วพากลับบ้าน
อีกอย่าง ฉันคิดว่าการเขียนกำกับว่าบุคคลเจ้าของโควตคือใคร มีผลงานหนังสือเล่มไหนบ้าง ก็เป็นกุศโลบายที่ทำมาเพื่อคนรักการอ่านอย่างฉันโดยเฉพาะ เพราะอ่านโควตแล้วฉันก็อยากจะตามไปอ่านผลงานของเจ้าของโควตบ้าง
สุดท้ายแล้วฉันจึงสรุปกับตัวเองว่า หากโลกนี้ไม่มีหนังสือ คือหนังสือว่าด้วยคุณค่าและความสำคัญของการอ่านซึ่งทำมาให้คนรักการอ่านอยู่แล้วอ่านนี่นา! ทว่าสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือการกระตุกให้คนรักการอ่าน (บางคน) ที่อาจจะคิดอยู่ลึกๆ ว่า คนไม่อ่านหนังสือกำลังพลาดบางอย่างหรือไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่ดีได้คิดใหม่ว่า ใครไม่อ่านหนังสือก็ไม่เห็นเป็นอะไร เป็นสิทธิของเขา เหมือนในหน้าท้ายๆ ที่เด็กๆ ที่มาร่วมหารือกันได้ข้อสรุปแล้วว่า
‘คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือไม่ควรจะต้องรู้สึกแย่’
‘การอ่านเป็นเรื่องดี แต่การไม่อ่านก็ควรเป็นเรื่องดีเหมือนกัน’
และ
‘คนที่รักการอ่านก็จะรักต่อไป’
หลังจากอ่านหน้าสุดท้าย (ฉันไล่เรียงอ่านแม้กระทั่งหน้าเครดิตที่มีรายชื่อคนจัดทำ ขอบคุณพวกเขาในใจที่ช่วยกันสร้างสรรค์หนังสือดีๆ) ความคิดถึงในใจก็พวยพุ่ง ฉันลุกขึ้นเดินตรงไปยังชั้นหนังสือสีขาว สายตาไล่หาหนังสือของคุณจิมมี่ หยิบพวกมันออกมากอง ปัดฝุ่นที่เคลือบอยู่บางๆ ออก นั่งลง และเริ่มต้นอ่าน
หนังสือของคุณจิมมี่ยังคงปลอบประโลมจิตใจฉันได้เหมือนเดิม
พบกับ To Read or Not to Read, That Is My Question พร้อมด้วยหนังสือเล่มอื่นๆ และกิจกรรมสำหรับคนที่มีหนังสือเป็นที่พักใจได้ในงาน a book sanctuary วันที่ 8-11 กรกฎาคมนี้ เวลา 10:00-20:00 น. ณ Terminal21 ชั้น M – Paris หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ godaypoets.com/product/to-read-or-not-to-read