ปีนี้สอนให้รู้ว่า “เพลง Tilly Birds แม่งดังได้เหมือนกันว่ะ” Tilly Birds

Highlights

  • Tilly Birds คือวงดนตรีอายุ 10 ปีที่เริ่มจากการทำเพลงในสไตล์ที่ตัวเองชอบฟัง มาวันนี้พวกเขาคือเจ้าของเพลงไทยที่มียอดสตรีมสูงสุดบน Spotify เกาะอันดับในเพลย์ลิสต์ Thailand Top 50 อย่างเหนียวแน่นมานานหลายเดือน
  • “ปีนี้วงเรา break through แล้วก็ทำให้เรามีงานเล่นเยอะมาก ทำให้ได้ใช้ชีวิตนักดนตรี ทัวร์กับวง ทำเพลง รู้สึกว่าเป็นปีแรกของการเป็นศิลปินจริงๆ”
  • “ทุกวันนี้เรามีงานเล่นสม่ำเสมอ ในแต่ละเดือนเราทำเงินมากพอที่จะเลี้ยงชีพตัวเองได้ คือสิ่งที่ achieve ในปีนี้ และทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นศิลปินมากขึ้น ต่างจากปีก่อนๆ ที่ยังทำไม่ได้ มันเป็นจุดที่เราได้เล่นดนตรีในฐานะอาชีพของตัวเองจริงๆ”

ถ้าประเทศไทยมีการประกาศรางวัล Song of the Year รางวัลปีนี้คงตกเป็นของเพลง คิด(แต่ไม่)ถึง ของ Tilly Birds อย่างไม่ต้องสงสัย 

ยืนยันด้วยสถิติเพลงไทยที่มียอดสตรีมสูงสุดบน Spotify เกาะอันดับในเพลย์ลิสต์ Thailand Top 50 อย่างเหนียวแน่นมานานหลายเดือน ส่วนมิวสิกวิดีโอในยูทูบล่าสุดก็มียอดวิวแตะ 90 ล้านครั้งไปแล้วเรียบร้อย ทุกวันนี้ไม่ว่าจะไปห้าง ผับ หรือเข้าร้านปิ้งย่างไหนก็เป็นต้องได้ยินเพลงนี้ทุกครั้ง 

ด้วยความสำเร็จนี้ ไม่แปลกที่หลายคนจะยกให้ 2020 เป็นปีทองของ Tilly Birds

บางคนบอกว่าพวกเขาโชคดี แต่ใครที่ติดตามพวกเขามานานสักหน่อยคงพอรู้ว่า เส้นทางที่ผ่านมาของพวกเขานั้นไม่ได้ง่ายดาย

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน เติร์ด–อนุโรจน์ เกตุเลขา และ บิลลี่–ณัฐดนัย ชูชาติ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นนักเรียน ม.ปลาย เริ่มฟอร์มวงกันเป็นครั้งแรกภายใต้ชื่อ Skinny Jeans Hero

ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเป็น Tilly Birds ซึ่งผวนมาจาก ‘บิลลี่เติร์ด’ ใน 2 ปีให้หลัง และเมื่อสมาชิกในวงเติบโตขึ้น ชีวิตในรั้วมหา’ลัยพวกเขาได้พบกับ ไมโล–ธุวานนท์ ตันติวัฒนวรกุล มือกลองประจำวงที่เข้ามาเสริมทัพ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Tilly Birds ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาแล้วหลายครั้ง สมาชิกบางคนตัดสินใจออกจากวงเพื่อไปเรียนต่อหรือทำงานในสายงานอื่น ขณะเดียวกันสมาชิกที่เหลือก็รู้ดีว่ารายได้ของวงในตอนนั้นยังไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพในแต่ละเดือน พวกเขาจึงผันตัวไปทำอาชีพต่างๆ ทั้งนักเขียนบทภาพยนตร์ เล่นดนตรีตามร้านเหล้า หรือเล่นแบ็กอัพให้วงดนตรีอื่นๆ 

นับจากวันที่พวกเขายังไม่มีลายเซ็นเป็นของตัวเอง เพียงแค่แต่งเพลงในสไตล์เดียวกับที่ชอบฟัง มาถึงวันนี้ที่พวกเขามีทั้งอัลบั้มเต็ม และเพลงฮิตเพลงแรกในยุคโควิด-19 ก่อนที่ปีนี้จะผ่านพ้นไป เราจึงไม่อยากพลาดโอกาสชวนพวกเขามาพูดคุยถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากปีแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ 

 Tilly Birds

ปีที่ผ่านมาพวกคุณตั้ง New Year’s Resolution ไหม

บิลลี่ : มีใครตั้งว่ามีเพลงจะดังหรือเปล่า

ไมโล : อันที่ถูกตั้งไว้ชัดๆ น่าจะเป็นอัลบั้มมากกว่า

บิลลี่ : เรื่องเพลงดังน่าจะเป็นเป้าหมายที่ Tilly Birds วางไว้ แต่ไม่ใช่เป้าหมายส่วนตัวของเรา อย่างผมคาดหวังให้ไม่มีพุง ซึ่งไม่สำเร็จ แต่เป้าหมายของ Tilly Birds ก็คงถือว่าสำเร็จ

เติร์ด : เรารู้สึกว่าปีนี้วงเรา break through แล้วก็ทำให้เรามีงานเล่นเยอะมาก ทำให้ได้ใช้ชีวิตนักดนตรี ทัวร์กับวง ทำเพลง รู้สึกว่าเป็นปีแรกของการเป็นศิลปินจริงๆ

เอาเข้าจริงการมีเพลงที่แมสสักเพลงน่าจะเป็นเป้าหมายของวงมาหลายปีแล้วหรือเปล่า

บิลลี่ : ใช่ แต่มันก็จะเป็นอารมณ์ที่ว่า ปีที่แล้วไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สู้ต่อไปทาเคชิ เดี๋ยวปีหน้าต้องมีแหละ แต่เราก็ไม่คิดว่าสุดท้ายมันจะมาแบบนี้เหมือนกัน

แบบนี้คือแบบไหน

บิลลี่ : แบบโควิด-19 (หัวเราะ) เพราะเราก็ไม่คาดคิดว่าเพลงจะมาดังช่วงที่ทุกคนต้องกักตัว อย่างตอนแรกๆ ที่มันเริ่มดังเราก็อยากออกไปเล่น แต่มันยังเล่นไม่ได้

Tilly Birds

การที่เพลงเพลงหนึ่งของเรามันไปได้ถึงจุดนั้นสะท้อนอะไรบ้าง

บิลลี่ : มันสะท้อนให้เห็นว่าปีนี้พวกเราขยันมากๆ แต่ปีหน้าจะขยันได้เท่าเดิมหรือได้ดีกว่าเดิมไหม เพราะด้วยเวลาที่น้อยลงมันก็ไม่อำนวยสักเท่าไหร่

เติร์ด : แต่ในทางกลับกันคือมันพิสูจน์แล้วว่าเราทำได้ และเราจะทำได้อีกแหละ แต่ต้องถามว่าจะทำได้เมื่อไหร่มากกว่า เพราะเอาเข้าจริงเราก็ไม่รู้หรอก บางเพลงที่เราไม่ได้ตั้งเป้าให้มันแมส เป็นเพลงที่ทำตามใจพวกเราสุดๆ มันอาจจะดังขึ้นมาก็ได้

คิด(แต่ไม่)ถึง คือเพลงที่ตามใจพวกคุณไหม

เติร์ด : เพลงนี้เกิดจากที่ค่ายบรีฟมาว่าขอลดความหนักลงก็จริง แต่เราไม่ฝืนนะ คือมันก็อาจจะมีนิดหนึ่งเพราะเพลงนี้เราไม่ได้แอดลิปเลย แต่สุดท้ายเราก็มาใส่ตอนร้องสดอยู่ดี (หัวเราะ) แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งตัวตนความเป็นเรา ทุกคนฟังก็ยังรู้ว่านี่คือ Tilly Birds

บิลลี่ : มันมีความเป็น Tilly Birds ชัดมากด้วยซ้ำ แต่เป็น Tilly Birds ที่ย่อยง่ายเพราะโดนตัดนู่นนี่ เช่น ตัดแอดลิปนั่นแหละ (หัวเราะ)

เติร์ด : ก่อนหน้านี้ Tilly Birds จะมีความฉลาด เป็นเพลงที่ยากและซับซ้อน คราวนี้เขาเลยขออะไรที่ฟังง่าย ย่อยง่าย แต่ในแง่ดนตรีเราก็ยังครอบด้วยความเป็น Tilly Birds อยู่ และทุกวันนี้เราก็ไม่ได้รู้สึกเขิน เราก็ยังดีใจและภูมิใจที่ได้เล่น คิด(แต่ไม่)ถึง ยังไม่เบื่อด้วย

ที่คุณบอกว่าปีนี้คือปีแรกของการเป็นศิลปินตัวจริง อะไรทำให้คิดแบบนั้น

เติร์ด : ทุกวันนี้เรามีงานเล่นสม่ำเสมอ ในแต่ละเดือนเราทำเงินมากพอที่จะเลี้ยงชีพตัวเองได้ คือสิ่งที่ achieve ในปีนี้ และทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นศิลปินมากขึ้น ต่างจากปีก่อนๆ ที่ยังทำไม่ได้ มันเป็นจุดที่เราได้เล่นดนตรีในฐานะอาชีพของตัวเองจริงๆ

ไมโล : มันก็ทำให้เราเริ่มมีความหวังในการบริหารจัดการเงิน เรามีเงินเก็บ มีตังค์ใช้ ชีวิตดีขึ้นหน่อยหนึ่ง ขยับไปซื้อกาแฟที่แพงขึ้นได้อีกหน่อยหนึ่ง แล้วก็มีความหวังในการเก็บเงินไปใช้หนี้พ่อแม่ที่เราเคยยืมมา เรื่องพวกนี้สำคัญมากสำหรับผม เพราะมันคือความรับผิดชอบด้วยส่วนหนึ่ง แล้วก็เป็นสิ่งที่ภูมิใจด้วยว่าเรามีลู่ทางของตัวเองแล้ว

บิลลี่ : ณ ตอนนี้ก็สามารถพูดได้เต็มปากว่า Tilly Birds กำลังเริ่มคืนทุน หลังจากที่เข้าเนื้อมานาน

การทำวงดนตรีมีค่าใช้จ่ายอะไรที่เข้าเนื้อบ้าง

เติร์ด : ก็คงไม่ต่างจากวงอินดี้ที่ไม่มีค่ายอื่นๆ เราทำกันเองหมดตั้งแต่เพลง เอ็มวี ยันเพจ การทำพีอาร์และมาร์เก็ตติ้งต่างๆ

ไมโล : แม้ว่าวงดนตรีหลายวงจะทำเพลงกันเองได้ แต่งเองได้ แต่การจะจบกระบวนการมาสเตอร์เพลงมันต้องผ่านการเข้าห้องอัดและมิกซ์มาสเตอร์ ซึ่งคนที่เราถูกชะตาก็ดันเป็นฝรั่งที่เขาอยู่พัทยา

สิ่งที่ทำเป็นงานที่เหนื่อยไหม

เติร์ด : มันเหนื่อยเพราะมันต้องทำทุกอย่างเอง แล้วก็ต้องเรียนด้วย มีทีสิสของเราด้วย มันเลยต้องแบกหลายอย่าง หลังจากเรียนจบก็เริ่มโอเคขึ้น แต่ก็มีอุปสรรคอื่นเข้ามาแทนคือเรื่องเงิน เพราะถึงแม้ว่าเราอยากจะทำตรงนี้เป็นอาชีพจริงๆ แต่เรายังไปไม่ถึงจุดที่ทำได้ 

เมื่อยังไม่อยู่ในจุดที่ทำวงดนตรีเป็นอาชีพหลักได้ คุณทำยังไง

เติร์ด : ตอนเรียนจบเราไปทำงานเขียนบทภาพยนตร์ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งมันทำให้เหนื่อยมาก ไม่ใช่ว่างานไม่ดีนะ แต่การคิดไอเดียบทหนังไปด้วยและเขียนเพลงไปด้วย แยกสมองเป็นสองซีกเพื่อทำสองไอเดียนี่มันเหนื่อยมาก ก็เลยตัดสินใจลาออก

ปรากฏว่าพอออกมาแล้ววงยังไม่ได้มีงานให้ไปเล่นมากนัก มันจึงกลายเป็นช่วงชีวิตที่แทบจะไม่มีเงินเลย ต้องประทังชีวิตด้วยการไปเล่นดนตรีตามร้านเหล้า จากตอนนั้นเราก็เลยตั้งเป้าหมายว่า เราอยากมีชีวิตที่หาเลี้ยงชีพได้ด้วยวงของตัวเองและเพลงของตัวเองจริงๆ

 Tilly Birds

มาถึงวันนี้ที่พวกคุณเป็นศิลปินเต็มตัวแล้ว Tilly Birds อยาก contribute อะไรให้วงการเพลง

บิลลี่ : ผู้เดียว The Album ก็เป็นอย่างหนึ่ง คือเราอยากให้มันมีอัลบั้มจริงๆ ในวงการเพลงไทยบ้าง คำว่าอัลบั้มคือเป็นอัลบั้มที่ฟังเป็นอัลบั้มได้ ไม่ใช่อัลบั้มที่เอาเพลงฮิตมาต่อกัน แล้วเอาเพลงแถมๆ ไปต่อไว้ข้างล่าง แต่อันนี้มันคือเพลงที่เราร้อยเรียงมาให้แล้วว่าเราจะเล่าเรื่องแบบนี้

ไมโล : เราตั้งใจให้อัลบั้มของเราฟังแล้วได้ความรู้สึกเหมือนดูหนังเรื่องหนึ่ง มันจะมีองก์หนึ่ง องก์สอง องก์สาม มีไคลแมกซ์ ดูจบปุ๊บมี end credit ขึ้น ส่วนตอนท้ายก็แอบทิ้งไว้ให้รู้ว่าจะทำภาคสองต่อนะ  

บิลลี่ : และถึงแม้จะฟังจบไปแล้วก็ยังกลับมาฟังซ้ำได้อีก เอาเข้าจริงมันก็คลาสสิกนะ

การปล่อยอัลบั้มเต็มครั้งแรกนี้สอนอะไรกับพวกคุณ

เติร์ด : มันเหมือนการอันล็อกตัวพวกเรา ว่าจริงๆ เราก็ทำเพลงได้กว้างและหลากหลาย หลังจากนี้เราจะไปต่อแนวไหนก็ได้ ดังนั้นมันจึงขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจะทำแนวไหน ภาพและซาวนด์ในหัวเป็นแบบไหน เราก็แค่ลองเขียนดู ตราบที่ว่ามันไม่ไกลจากตัวตนของเรามากเกินไป

ไมโล : และจากที่เราปล่อยออกมา จริงๆ เราก็ได้ยินคนพูดถึงทุกเพลงในอัลบั้มเลยนะ ซึ่งแปลว่าสิ่งนี้มันสามารถสื่อสารไปถึงคนหลายกลุ่ม แม้เขาจะไม่ได้ชอบทุกเพลง แต่มันก็ทำให้เราได้คอนเนกต์กับคนฟังเพิ่มขึ้นอีก สมมติเราทำเพลงแบบ คิด(แต่ไม่)ถึง 13 เพลง เราก็จะได้คนฟังกลุ่มเดียว แต่ตอนนี้พอเรามีเพลงที่ไม่เหมือนกันเลย 13 เพลงเราก็เลยได้กลุ่มคนฟัง 13 กลุ่มที่มารวมกัน โดยที่เราก็แค่หวังให้เขาชอบในตัวตนของวงเรา

บิลลี่ : เรามีมุมมองต่ออัลบั้มและวงการเพลงในยุคนี้ว่า การที่วงวงหนึ่งจะยึด genre เดียวมันยากแล้ว เราคิดว่าการทำเพลงหลากหลายแนวให้อยู่รวมกันแล้วฟังออกว่านี่คือเรา ตรงนี้คือจุดที่ประสบความสำเร็จมากด้วยซ้ำ

คอนเซปต์ที่เป็นจุดร่วมของแต่ละเพลงในอัลบั้มนี้คือกระจกถูกไหม

บิลลี่ : ใช่ มาจากเพลง ผู้เดียว ในท่อนที่บอกว่า “เพียงแค่เธอมองดูกระจกบานนั้น…”

เติร์ด : “…เธออาจจะเห็นใบหน้าใครอยู่ในนั้น ที่เฝ้าให้เธอรักเขาสักครั้ง” ก็คือตัวเอง

บิลลี่ : พอแต่งเพลงนี้เสร็จเราก็รู้สึกว่าธีมนี้มันแข็งแรงมากจนเอามาเป็นคอนเซปต์อัลบั้มได้ และเราก็มีเพลงอยู่อีก 3-4 เพลงที่สามารถลิงก์มาเรื่องนี้ได้ด้วย ก็เลยปักไว้ว่าอัลบั้มนี้จะชื่อ ผู้เดียว 

ไมโล : อัลบั้มนี้ของเราเริ่มมาตั้งแต่เมื่อ 1-2 ปีก่อน แต่คำว่ารักตัวเองที่เราพูดถึงในเพลง มาปีนี้ผมเพิ่งได้เข้าใจจริงๆ ว่าคำว่ารักตัวเองอาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมด มันคือคำว่าเข้าใจตัวเองมากกว่า การเข้าใจตัวเองต้องใช้ทั้งสมองและสปิริต สมองคิดเป็นหลักการ แต่สปิริตสั่งให้เรามีชีวิตต่อ สองอย่างนี้ทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข มีเป้าหมาย และมีประโยชน์ต่อผู้อื่น

Tilly Birds

ในมุมมองส่วนตัว พวกคุณได้เรียนรู้อะไรจากปีที่ผ่านมา

บิลลี่ : เป็นปีที่ไม่ควรโทษตัวเอง ต้องยอมรับว่าเราทำอะไรไม่ได้ ในบางเรื่องที่บางครั้งก็ไม่มีใครผิด แต่บางครั้งเราโทษตัวเองอยู่นั่นแหละ และผมว่าการที่เราโทษตัวเองมันไม่เกิดประโยชน์อะไร กลายเป็นว่าออกมาพูด ออกมาแชร์ มันน่าจะดีกว่า

ไมโล : ปีนี้สอนให้ผมรู้ว่า จงอย่าหยุดที่จะเรียนรู้และเข้าใจตัวเอง เพราะบางทีเราก็รู้สึกสับสน หลงทาง เศร้า เรารู้สึกว่าเราทำสิ่งเหล่านี้ให้คนอื่นเต็มร้อย แล้วเราอาจจะได้กลับมาไม่เต็มร้อย ท้ายที่สุดแล้วเราเป็นได้แค่ไหน รับได้แค่ไหน ก็อย่าไปเทียบกับคนอื่น เรารู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุขที่สุดแล้วในปีนี้

สำหรับปี 2020 ที่ยากลำบาก Tilly Birds ผ่านปีนี้มาโดยมีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ

เติร์ด : ปีนี้สำหรับเราต้องบอกว่า เบญจเพส is real shit อย่าดูถูกเบญจเพส ปีนี้เราสูญเสียหลายอย่าง สูญเสียแม่ สูญเสียสัตว์เลี้ยง สิ่งที่ยึดเหนี่ยวคือทีมเลย เราว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของปีนี้เราใช้เวลาอยู่กับวงเยอะมาก ดังนั้นจึงต้องพยายามดึงกันและกันขึ้นมา การมีวงดนตรีมันเหมือนมีแฟน เราต้องถนอมจิตใจเขามากๆ เพราะเราต้องทำงานด้วยกัน ต้องสื่อสาร ต้องคุยกันตลอด

บิลลี่ : อย่างเหตุการณ์ของเติร์ดถือว่าเป็นเหตุการณ์ใหญ่ในปีนี้ มันกระทบมาถึงผมกับไมโลแน่นอน ช่วงนั้นเติร์ดก็เศร้ามาก สิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือเศร้าไปกับเติร์ด นายไม่ได้เศร้าคนเดียวนะ ซึ่งผมว่าเรื่องนี้มันต้องใช้เวลาแหละ เวลาเป็นสิ่งเดียวที่ดึงเรากลับมาได้ 

เติร์ด : อีกส่วนคืองานนะ แทนที่เราจะต้องเศร้า เราก็เอาไปทำงาน มีอะไรให้โฟกัสให้ยึดเหนี่ยว ยิ่งเป็นงานที่เราทำกับเพื่อนที่สนิทกันอยู่แล้วมันก็ทำให้เราไม่ต้องมานั่งฟูมฟาย

พูดถึงเรื่องงาน ในวันที่วงยุ่งขนาดนี้ อะไรที่ทำให้คุณยังมีแรงตื่นไปทำงานในทุกวัน

บิลลี่ : damn ชอบคำถามนี้

เติร์ด : ตอนเริ่มทัวร์ทีแรกเราก็ห่วงนะว่าเราจะรู้สึกเบื่อหรือเหนื่อยไหม สุดท้ายคือมันก็เหนื่อยจริงๆ แต่ไม่เคยเบื่อเลย เพราะเวลาทัวร์แต่ละที่ คนดู สถานที่ สภาพแวดล้อมมันไม่เคยเหมือนกันเลย เราได้เจอกับอะไรใหม่ๆ ทุกครั้งที่ได้ขึ้นไปบนเวทีเราจะรู้สึกตื่นเต้นเท่ากันหมด

บิลลี่ : เอาจริงเราเซอร์ไพรส์ด้วยนะ ก่อนทัวร์ไมโลเคยบอกว่าทุกคืนเราจะได้เจอคนที่เขามาดูวง คิด(แต่ไม่)ถึง หรือวง จำเก่ง แต่ปรากฏว่าที่ทัวร์มาสองเดือนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียหมด 

ไมโล : บางครั้งเราก็เจอคนที่เขาร้องตามได้ทุกเพลง

เติร์ด : หรืออย่างเมื่อคืนที่ผ่านมา เราได้ไปเล่นในร้านที่คนร้องเพลงเราดังกว่าเพลงคัฟเวอร์ ทุกคนเฝ้ารอเพลงพวกเรามากกว่าเพลงอื่นที่เขาร้องได้อยู่แล้ว 

บิลลี : สิ่งเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ทำให้มันไม่น่าเบื่อและทำให้มีกำลังใจ

ถ้าจะสรุปบทเรียนสำหรับ Tilly Birds ปีนี้สอนให้พวกคุณรู้ว่า

บิลลี่ : ปีนี้สอนให้พวกเรารู้ว่าเพลง Tilly Birds แม่งดังได้เหมือนกันว่ะ ที่ผ่านมาเราพูดกันมาตลอดว่าเพลง Tilly Birds มันอาจจะไม่ดังขนาดนั้นหรอก

เติร์ด : ที่ผ่านมาเราคิดว่ามันคงต้องใช้เวลานานในการซึมซับ ให้คนค่อยๆ ย่อย อาจใช้เวลาเป็นสิบปี แต่อ้าว ปีเดียวก็ย่อยได้ (หัวเราะ)

หลังจากพ้นปีนี้ไปแล้ว พวกคุณมองเห็นตัวเองในอนาคตยังไง

บิลลี่ : เราก็คงต้องเซอร์ไพรส์คนต่อไป ต้องสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป ทำให้คนเห็นว่า เฮ้ย มันยังทำได้อีก มันยังทำได้อยู่ เราอยากให้คนดูรู้ว่า Tilly Birds ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้นะ ตอนนี้เราเพิ่งเริ่มด้วยซ้ำ

Tilly Birds

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน