“การเป็นตัวของตัวเองคือความสำเร็จของเราแล้ว” Three Man Down กับ 8 ปีในดนตรีที่รัก

Highlights

  • ตั้งแต่เพลง ฝนตกไหม กลายมาเป็นหนึ่งในเพลงโปรดของใครหลายคน ชื่อของ Three Man Down วงดนตรีป๊อป-ร็อกที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 5 คน ก็กลายเป็นหนึ่งในวงที่น่าจับตามองในยุคนี้
  • พวกเขารวมตัวกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เดินสายประกวดดนตรีมาหลายเวที ชนะบ้าง แพ้บ้าง จนมาถึงรายการ Band Lab และก้าวเข้าสู่ชายคาบ้านหลังใหม่อย่าง Gene Lab ภายใต้การดูแลของปัณฑพล ประสารราชกิจ หรือโอม Cocktail
  • หากนับจากจุดเริ่มต้นจนก้าวมาสู่การเป็นศิลปินอาชีพ พวกเขายืนยันว่านอกจากความสามารถทางดนตรี อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Three Man Down ยืนหยัดในความฝันของพวกเขาจนกลายเป็นวงดนตรีที่มีแฟนเพลงรอติดตามผลงานอยู่เสมอ คือตัวตนและความเชื่อมั่นที่จะเติบโตช้าๆ แต่หนักแน่นในทุกๆ ก้าวเดิน

นับตั้งแต่เพลง ฝนตกไหม กลายมาเป็นความหมายแฝงของประโยค “คิดถึงนะ” ที่มีคนส่งไปถึงใครอีกคน เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า Three Man Down กลายมาเป็นวงดนตรีป๊อป-ร็อกที่ได้รับความนิยมจากแฟนเพลงไม่ขาดสาย 

จนมาถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พวกเขาก็ปล่อยเพลงเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่ในสถานะแฟนเก่าอย่าง ฝันถึงแฟนเก่า จนได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ก่อนจะหยิบเพลง นอนไม่หลับ ของ Zaza มารีเมคใหม่ด้วยการใส่ดนตรีป๊อปๆ และปล่อยออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังกันไม่นานนี้  

ระยะเวลา 8 ปี คือสิ่งที่ กิต–กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์ (นักร้องนำ), ตูน–พีรพล เอี่ยมจำรัส (กีตาร์), โอม–กิจฎิเมธ ชาญพานิช (เบส), เต–เตธนันท์ วงศ์ปรีชาโชค (กลอง) และ เส็ง–วิศรุต ปฐมสิริไพศาล (คีย์บอร์ด) ได้พาความฝันที่ชื่อว่า Three Man Down มายืนอยู่ตรงหน้าผู้คน พวกเขาเริ่มจากวงดนตรีของเด็กมหาวิทยาลัยสู่เวทีประกวดมากมาย จนมาถึงรายการ Band Lab ที่ทั้ง 5 คนโชว์ความสามารถจนได้รางวัลรองชนะเลิศและป๊อปปูลาร์ โหวตไปครอง และในที่สุดก็ได้ก้าวเข้ามาเป็นศิลปินเต็มตัวในค่าย Gene Lab ภายใต้การดูแลของ โอม–ปัณฑพล ประสารราชกิจ

เรามีโอกาสพูดคุยกับพวกเขาทั้ง 5 คนในช่วงที่เพลง ฝันถึงแฟนเก่า คว้ายอดผู้ชมกว่าล้านวิว หลังเพิ่งปล่อยเพลงออกมาได้ไม่นาน เรื่องราวในเส้นทางสายดนตรีของ Three Man Down ที่มีทั้งรอยยิ้ม น้ำตา และความเชื่อมั่นบนเส้นทางตัวเอง บรรจุอยู่ในบทสนทนาต่อจากบรรทัดนี้แล้ว

ขอย้อนไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นของวง พวกคุณเคยให้สัมภาษณ์ว่ารวมตัวกันครั้งแรกช่วงมหาวิทยาลัย แต่สมาชิกบางคนเรียนกันคนละที่เลย แล้วพวกคุณมาเจอกันได้ยังไง  

เส็ง : พวกเรา 4 คน (เส็ง เต ตูน และโอม) คุ้นเคยกันอยู่แล้วเพราะอยู่โรงเรียนเดียวกันตอนมัธยม พอเข้ามหา’ลัยต้องแยกย้าย โชคดีที่ผมกับโอมอยู่คณะและมหา’ลัยเดียวกัน แล้วอยากทำวงเหมือนกันเพราะยังอยากเล่นดนตรีอยู่

โอม : แล้วเตก็โทรมาพอดี บอกว่ามีงานประกวดไปเล่นด้วยกันไหม ผมก็โอเคอยากเล่น เลยชวนเส็งไปที่ห้องซ้อมด้วย ไปเจอเต ตูน และกิต เราก็รวมตัวกัน แล้วก็ไปเริ่มประกวดดนตรีด้วยกันตั้งแต่ตอนนั้น

กิต : งานนั้นคือ 5 GUM Presents a day live house เป็นงานประกวดดนตรีที่นิตยสาร a day ทำร่วมกับ believe records ในปี 2556 ถือว่าเป็นเวทีแรกที่ทำให้ Three Man Down รวมตัวกัน ผมขอเล่าเหตุการณ์ตอนส่งคลิปไปออดิชั่นหน่อย จำได้ว่าวันนั้นเรา 5 คนนัดรวมตัวกันที่สยาม แล้วเอาโทรศัพท์อัดคลิปส่งไป วันต่อมาต้องไปอัดคลิปอีกในห้องซ้อมที่คลองเตย ผมเองต้องไปทำธุระก่อนแล้วฝนตกลงมาพอดีเลยต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์ตากฝนจากธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ไปคลองเตย พอมาถึงห้องซ้อมเราก็ถ่ายคลิปส่งประกวด ผลปรากฏว่าได้เข้ารอบ หลังจากนั้นผมคิดเสมอว่าอะไรที่ทำให้เราลำบากเดี๋ยวได้ดีแน่นอน

เส็ง : ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดๆ (หัวเราะ)

ได้ยินมาว่าคุณมี 5 คนก็จริง แต่ตอนนั้นตั้งชื่อว่า Three Man down เพราะสมาชิกอีก 3 คนเคยมีวงดนตรีมาก่อน 

กิต : ผมขอสารภาพที่มาของชื่อตรงนี้เลยละกัน (หัวเราะ) เรื่องมันมีอยู่ว่าวันนั้นพวกเรานั่งอยู่บนรถ เตถามว่าวงเราชื่อว่าอะไรดี ผมเลยเสนอว่าชื่อ Crew แปลว่าทีม และมีอีกชื่อที่คิดไว้คือ White Line แต่มีวงต่างประเทศใช้ไปแล้ว สักพักตูนโปรยมาคำเดียวอยู่หมัดเลยว่า ‘Three Man Down ปะ’ ตอนนั้นเอามาจากไหนนะตูน (หันไปถามตูน)

ตูน : เกม (หัวเราะ)​

กิต : เราเลยตกลงกันว่าจะใช้ชื่อนี้เป็นชื่อวง ทีนี้ตอนไปประกวดแข่งขันดนตรี พิธีกรจะถามว่า Three Man Down มีที่มาจากอะไร ด้วยความที่ผมเรียน Storytelling จากสาขาภาพยนตร์มา ถ้าจะตอบว่ามาจากเกมคงไม่ได้ เราจำเป็นต้องหาเบื้องหลังการตั้งชื่อมาใส่ ตอนนั้นผมเลยผุดเรื่องขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ จนกลายเป็นเรื่องผู้ชาย 3 คนที่เคยมีวงของตัวเอง แล้วมารวมตัวกันใหม่ในวงนี้ อย่างที่ทุกคนได้ยินมาจากสื่ออื่นๆ ตั้งแต่นั้นมาผมก็อยู่บนหลังเสือแล้ว ลงไม่ได้ (หัวเราะ)

ตอนรวมตัวกันครั้งแรก ทำไมถึงตัดสินใจไปประกวดดนตรีกันเลย 

กิต : มันเป็นเรื่องของยุคสมัยด้วย ยุคนั้นวิธีเดียวที่จะทำให้เราได้เล่นดนตรีคือการประกวด ถ้าจะอัพโหลดคลิปลงยูทูบแบบยุคนี้ เรายังไม่รู้วิธีทำเลยด้วยซ้ำ คงทำได้ยาก เราเลยเดินสายประกวดกัน ล้มลุกคลุกคลาน ชนะบ้าง แพ้บ้าง เวทีแรกที่ชนะคือ 5 GUM นี่แหละ หลังจากนั้นเราก็แพ้มาตลอดเลย (หัวเราะ)

จนเดินทางมาถึงเวที Melody Of Life Music Festival ของ SpicyDisc ตอนนั้นวงที่มาประกวดด้วยคือวงที่เฉิดฉายในวงการเพลงทุกวันนี้ มีทั้ง Safeplanet, Zweed n’ Roll และ Whal & Dolph จำได้ว่าตอนนั้นเรายังมีความคิดอยู่เลยว่าจะเอาเพลงที่เล่นคัฟเวอร์เจ๋งๆ มาโชว์ แต่ตอนอยู่ข้างล่างมองดูวง Zweed n’ Roll เขามีพลังมากเลย

ตูน : เพราะวงอื่นๆ เขามีเพลงเป็นแนวทางของตัวเอง แต่พวกเราแม้จะประกวดมาหลายเวทีแต่ก็ยังไม่มีสไตล์เป็นของตัวเองเลย หลังจากงานแข่งดนตรีครั้งนั้น เราจึงตัดสินใจเลิกประกวดแล้วเริ่มหาสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ ลงมือทำเพลงของตัวเองบ้าง

 

แนวคิดในการทำงานเพลงของพวกคุณเป็นยังไง

เส็ง : ด้วยความที่พวกเราส่วนใหญ่เรียนภาพยนตร์กัน ทำให้วิธีคิดแบบนักดนตรีน้อยมาก เวลาทำเพลงเราจะคิดจากภาพก่อนแล้วถึงเอาดนตรีและรายละเอียดมาใส่ทีหลัง มันเลยเป็นการเขียนเพลงจากคอนเซปต์ 

เต : อีกอย่างวงเราใช้ระบบไดเรกเตอร์ในการคิดและผลิตผลงาน แบ่งกันว่าใครมีจุดเด่นหรือถนัดเรื่องไหนก็ดูแลเรื่องนั้น การทำงานของพวกเราจึงคล้ายๆ การทำหนัง อย่างตูนจะเป็นคนทำเพลงเขียนเพลง เราจะเชื่อมั่นในสิ่งที่ตูนทำ ในเรื่องของภาพหรือ MV กิตก็จะเป็นคนนำ หรืออย่างการ management ผมจะดูแลเป็นหลัก

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

โพสต์ที่แชร์โดย Three Man Down (@threemandown) เมื่อ

 

หลังจากผ่านการประกวดมาหลายเวที จนมาถึงรายการ Band Lap และก้าวเข้าสู่ครอบครัวค่ายใหญ่อย่าง Gene Lab ตอนนี้วิธีการทำงานของคุณเปลี่ยนไปบ้างไหม

กิต : มันก็เปลี่ยนไปนะ ด้วยความที่ Gene Lab เป็นค่ายเพลงที่ค่อนข้างให้อิสระกับนักดนตรี มีระบบไทม์ไลน์ที่แน่นอน แต่เราต้องจัดการเวลาเหล่านี้ด้วยตัวเอง คือค่ายให้อิสระเราว่าจะทำวิธีไหนก็ได้ แต่พอถึงเวลาต้องมีงานส่งค่าย

เต : ในยุคนี้ถ้าไม่ผลักดันตัวเองก่อน ผมคิดว่าเราก็ไม่เหมาะที่จะเป็นศิลปิน ดังนั้นอย่างแรกต้องเริ่มต้นด้วยตัวเองก่อน อย่างที่พี่โอมเคยพูดว่าเขามีน้ำมันให้เราแต่เราต้องจุดไฟเอง จะจุดได้นานแค่ไหนก็อยู่ที่ตัวเรา

อย่างช่วงที่ปล่อยเพลงออกมาแล้วกระแสตอบรับไม่เป็นไปตามคาด ทั้งเพลง ไปเถอะเธอ และเพลง ทีมรอเธอ ซึ่งมันมีผลต่อการโชว์เล่นดนตรีสดที่ไม่ค่อยเข้ามาด้วย ช่วงนั้นเราเริ่มเปลี่ยนวิธีการทำงานแล้วมาคุยกันว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว 

กิต : ประชุมกันหนักมาก ข้อดี-ข้อเสียของวงคืออะไร แล้วพอเราไม่มีงานโชว์มันส่งผลยังไง นั่นก็คือคนไม่เห็นภาพว่า Three Man Down เล่นโชว์เป็นยังไง เชื่อมโยงไปอีกว่าทำให้ไม่มีงานโชว์

เต : ทีนี้ดูว่าร้านไหนว่างอยู่ เราลงเงินกัน เอาเครื่องเสียงไปในร้าน บอกเจ้าของร้านว่าถ้าพี่อยากขายบัตรพี่ขายเลย แต่ผมไม่ขอค่าตัว ขอแค่ค่าเครื่องเสียงจากทีมงานของผมพอ

เส็ง : ก็เรียกคนรู้จักมาช่วยถ่ายวิดีโอเป็น live session ให้เลย แล้วเอาลงเพจของเรา ทำให้เป็นคลิปแรกๆ ที่คนเห็นว่า Three Man Down เล่นดนตรีสดได้ ก็เริ่มมีลูกค้าติดต่อมามากขึ้น 

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

ขอบคุณทุกคนที่ออกจากบ้านมาในวันที่ฝนตกครับ #tuktukfestival2020 #changmusicconnection #amazingthailand photoby : @oatjiww

โพสต์ที่แชร์โดย Three Man Down (@threemandown) เมื่อ


พอกระแสตอบรับเพลงของเราดีขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกกดดันขึ้นบ้างไหม 

ตูน : หลังจากที่เพลง ฝนตกไหม ดังก็กดดันนะ เหมือนกับว่าทุกคนได้ฟังเพลงที่ดีไปแล้ว หลังจากนั้นถ้าเราทำเพลงไม่ดีก็จะทำให้คนฟังผิดหวัง ทางค่ายเพลงเองก็ผิดหวัง เรารู้สึกกดดันขึ้นเยอะเหมือนกัน

กิต : พี่โอมเคยบอกว่าถ้าเพลงคือช็อกโกแลตแล้วให้เราเรียงลำดับความหวาน เพลง ฝนตกไหม อาจจะเป็นช็อกโกแลตรสหวานจนติดปากคนฟังไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเพลง เลือกคนที่เขารักเรา จะไม่ดี มันแค่มีความหวานน้อยกว่า พอมาถึงเพลง ฝันถึงแฟนเก่า อาจมีรสชาติที่หวานกว่าเพลงที่แล้ว ความจริงแล้วเราชอบทุกเพลงที่ทำ แต่รสนิยมของคนฟังไม่เหมือนกันเพราะบางคนอาจจะชอบหรือไม่ชอบกินหวานก็ได้

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

ในภาพนี้มีสองคนที่อู้งาน☔️ #ฝนตกไหม #threemandown #genelab

โพสต์ที่แชร์โดย Three Man Down (@threemandown) เมื่อ


หลังจากเป็นที่รู้จักมากขึ้น ตัวตนของคุณมีความเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน

กิต : ในด้านภาพลักษณ์เปลี่ยนตรงที่เราต้องทำให้ตัวเองดูดีขึ้น ซึ่งความจริงแล้วไม่เกี่ยวกับการแต่งตัวซะทีเดียว แต่สิ่งที่เราจะเสียสละและทำออกมาเป็นรูปธรรมได้มากที่สุดคือการทำให้ตัวเองดูดีเพื่อให้เกียรติแฟนๆ ที่มาดูพวกเรา 

เต : เรื่องความคิดก็เปลี่ยนด้วย ก่อนหน้านี้อยากพูดอะไรเราพูดได้เลย แต่ตอนนี้ต้องคิดมากขึ้นว่าใครจะได้รับผลกระทบไหม ทั้งพี่โอมค่าย Gene Lab และแฟนคลับ ทุกคนได้รับผลกระทบหมด เราก็ต้องไตร่ตรองมากขึ้นด้วย

กิต : ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตก็ไม่เปลี่ยนนะ เรายังกินก๋วยเตี๋ยวเหมือนเดิม กินข้าวมันไก่ร้านเดิม แต่อาจจะกินก๋วยเตี๋ยวเสียงดังไม่ได้แล้ว (หัวเราะ)

ถ้านับตั้งแต่วันแรกที่รวมตัวกันไปประกวดดนตรีจนถึงตอนนี้ ระหว่างทางเคยรู้สึกเหนื่อยบ้างไหม

กิต : ถ้ายอมรับตรงๆ มีเหนื่อยครับ แล้วพวกเราทั้ง 5 คนเคยพูดกันว่าถ้า 25 แล้วพวกเรายังไม่มีอะไรเป็นเป็นชิ้นเป็นอันจะแยกย้าย แต่พูดตามความจริงเราก็ยังไม่อยากเลิกหรอก อยากทำมันต่อไปเรื่อยๆ พยายามหาสิ่งต่างๆ มาหล่อเลี้ยงจิตใจ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่เรายังอยู่ด้วยกันทั้ง 5 คน

บังเอิญที่เพลง ฝนตกไหม ปล่อยออกมาตอนเราอายุ 25 พอดี เรามีโอกาสได้ไปเล่นครั้งแรกที่สยาม ผมขอเล่าถึงเหตุการณ์นี้ มันอะเมซิ่งมาก เราเป็นวงที่ 6 ในค่าย Gene Lab ที่ขึ้นไปเล่น ผมบอกตูนว่าเดี๋ยวมีเซอร์ไพรส์ให้ เพราะเราจะเปิดตัวเพลง ฝนตกไหม ครั้งแรก ทีมงานก็เตรียมเอฟเฟกต์เป็นไฟ LED ที่คล้ายๆ ฝนอยู่หลังเวที พอเริ่มเล่นเพลงปุ๊ป ผมมองไปข้างหน้า ปรากฏว่าฝนตกจริงๆ ตกหนักเลย พอเราเล่นเพลงจบฝนก็หยุดตกพอดีเลย

เส็ง : ผมกับกิตร้องไห้เลยตอนเห็นฝนตก แต่ตูนหันหน้ามาหาพวกเราแล้วพูดว่า ‘เจ๋งว่ะ’ เพราะคิดว่ากิตเป็นคนทำเอฟเฟกต์ฝนมาเซอร์ไพรส์เพื่อน (หัวเราะ)   

กิต : ลงจากเวทีพวกเราก็ร้องไห้กันแล้วพูดว่าขอสักทีเถอะ ถ้าเพลงที่จะดังก็ขอให้เป็นเพลงนี้ แล้วหลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนก็ได้ฟีดแบ็กที่ดีกลับมา

หรือนี่จะเป็นอย่างที่กิตบอกตอนแรกว่าต้องลำบากก่อนถึงจะได้ดี

กิต : เห็นไหมอะไรที่ต้องลำบากก่อนได้ดีเสมอ (หัวเราะ)

 

ต่อจากนี้คุณมองการเติบโตของ Three Man Down เอาไว้ยังไง

เส็ง : ผมมองว่า Three Man Down ไม่มีจุดที่ตกฮวบลงเลย เราสัมผัสได้ว่าวงจะค่อยๆ โตขึ้น ไม่ว่าช้าหรือเร็ว แต่เราโตขึ้นมาโดยตลอด แล้วคาดหวังว่ามันจะขึ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

เต : อีกอย่างการเติบโตของเรามาในจังหวะที่ถูกต้อง อย่างเช่นเพลง ฝนตกไหม ก็ปล่อยในช่วงที่วงเล่นโชว์ดี แต่ถ้าหากเราปล่อยออกมาก่อนหน้านี้สัก 2-3 ปี ก็อาจจะรับมือกับเพลงที่ดังขนาดนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำว่าค่อยๆ โตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญกับ Three Man Down มากๆ

 

สุดท้ายแล้ว จากการเดินทางล้มบ้าง ชนะบ้าง จนมาเป็นศิลปินในค่ายใหญ่เต็มตัว พวกคุณคิดว่า Three Man Down ประสบความสำเร็จหรือยัง

กิต : เราคิดว่าวงเราเป็นวงกลางๆ ไม่ได้เป็นสีสันของยุคขนาดนั้น เราเลยทำอะไรก็ได้ เป็นตัวของตัวเอง เลยสบายใจที่จะอยู่ตรงนี้ ต่อให้ดังหรือยังไม่ดังกว่านี้ อันนี้คือความสำเร็จสำหรับเราแล้ว เรานึกเสมอว่ามีทุกวันนี้เพราะแฟนคลับ สุดท้ายแล้วถ้าแฟนคลับชอบตัวตนของเราผมว่าก็ประสบความสำเร็จมากๆ แล้ว

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ปัณณทัต เอ้งฉ้วน

เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา